ภาษาวิบัติคืออะไร ?ภาษาวิบัติ คือคำพูดที่ไม่ได้รับการยินยอมให้ใช้ทั่วไปในระดับสากล หากแต่ใช้พูดกันเองในกลุ่มเพื่อนฝูงหรือในกลุ่มวัยรุ่น โดยมักจะได้รับการต่อต้านจากผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมอยู่เสมอ
ที่มาผู้ที่เริ่มใช้ภาษาวิบัติเป็นคนแรกนั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่อาจกล่าวได้ว่าเริ่มขึ้นมาในช่วงก่อนที่ทุจศิล กินชะมัดจะขึ้นมาเป็นนาย-งกรัดถะมนตี ด้วยการให้บริการค่าส่งแมสเซจที่แสนแพง ประชาชนในยุคนั้นจึงไม่มีทางเลือก ทำให้ต้องหาวิธีพิมพ์แมสเซจที่น้อยกว่าเพื่อค่าส่งที่ถูกกว่า ทำให้ภาษาวิบัติเริ่มฟักตัวขึ้นในยุคนั้น
และต่อมา ผู้ที่ทำให้ภาษาวิบัติแพร่หลายมากขึ้นอีกครั้ง คือเด็กโง่คนหนึ่ง ใน
โคดสะนาของบริษัททุย เนื่องจากใน
โคดสะนาดังกล่าว เด็กคนนั้นสะกดคำว่า "ปาฏิหาริย์" ไม่เป็น จึงต้องเขียนว่า "ปาติหาน" และแล้วอีกไม่นานต่อมา คำว่า "ปาติหาน" นี้ก็เป็นที่ยอมรับกันในเหล่าขาแชททั่วไป
การใช้ภาษาวิบัตินั้น ส่วนใหญ่จะใช้ในการแชทกัน (เช่น ออนเอ็ม ของ ฮอทแมว เป็นต้น) เนื่องจากต้องการพิมพ์ให้เร็วๆ นั่นเอง แต่ในบางครั้งอาจใช้เพื่อความคิกขุ หรือเพื่อการสื่ออารมณ์ก็ได้
จริงๆ แล้ว ภาษาวิบัติ เป็นภาษายอดนิยมของนักกวีสมัยก่อนเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าไม่วิบัติ มันก็จะไม่คล้องนี่หว่า เลยวิบัติมันซะเลย ซึ่งสมัยนี้บางครั้งก็วิบัติกันจนเกินไป
แต่หากจะเขียนภาษาเพื่อสื่ออารมณ์ หรือภาษาที่ไม่เป็นทางการ ก็สามารถทำการวิบัติได้ ยิ่งวิบัติก็ยิ่งสื่อถึงอารมณ์ได้ดี! เช่นคำว่า "นู๋" วิบัติได้เท่ห์มาก แต่ไม่มีในพจนานุกรม
รูปแบบของภาษาวิบัติภาษาวิบัติแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มที่ใช้เวลาพูด กับกลุ่มที่ใช้ในเวลาเขียน
กลุ่มที่ใช้เวลาพูด * ตะเอง (ตัวเอง)
* เตง (ตัวเอง)
* ขอบคุง (ขอบคุณ)
* แม่ม (แม่ง)
* แสด (สัตว์)
* พ่อง (พ่อเมิง)
* สลัด(สัตว์)
* สรัด,สรัส(สัตว์ :ออกเสียง ร เรือ ด้วย)
กลุ่มที่ใช้ในเวลาเขียนรูปแบบของภาษาวิบัติชนิดนี้ โดยทั้งหมดจะเป็นคำพ้องเสียงที่หลายๆคำมักจะผิดหลักของภาษาอยู่เสมอ โดยส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะใช้ในเวลาเขียนเท่านั้น โดยยังแบ่งได้เป็นอีกสามประเภทย่อย
กลุ่มพ้องเสียงรูปแบบของภาษาวิบัติชนิดนี้ จะเป็นคำพ้องเสียง โดยส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะใช้ในเวลาเขียนเท่านั้น และคำที่นำมาใช้แทนกันนี้มักจะเป็นคำที่ไม่มีในพจนานุกรม
* เทอ(เธอ)
* จัย(ใจ)
* งัย(ไง)
* นู๋(หนู)
* มู๋(หมู)
* ปันยา(ปัญญา)
กลุ่มขี้เกียจพิมพ์พวกนี้จะคล้ายๆกับกลุ่มคำพ้องเสียง เพียงแต่ว่าบางครั้งการกด Shift มันน่ารำคาญ พวกนี้เลยขี้เกียจกด แล้วเปลี่ยนคำที่ต้องการเป็นอีกคำที่ออกเสียงคล้ายๆกันแทน
* กุ(กู)
* เหน(เห็น)
* เปน(เป็น)
ซึ่งสองตัวอย่างหลังนี่ ถ้าเคยเปิดอ่านหนังสือเก่าๆ ดู จะพบว่าไปซ้ำกับอักขรวิธีในสมัยก่อน (ประมาณปี พ.ศ. 2480)
กลุ่มโชว์InwInw!
* Inw(เทพ)
* uou(นอน)
* เกรีeu(เกรียน)
* IInJIISJIISJ (แทงแรงแรง)
อะไรที่ไม่ใช่ภาษาวิบัติเนื่องจากในปัจจุบัน มีคำอื่นๆที่ใช้กันในสังคมปัจจุบัน แต่ยังไม่ได้บรรจุอยู่ในพจนานุกรม จึงทำให้มีข้อถกเถียงกันอยู่เสมอว่าคำนั้นๆ เป็นภาษาวิบัติ (ภาษาที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง) หรือภาษาวิวัฒนาการ (ภาษาที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่แย่ลง) กันแน่ เช่น
ภาษาพูดคือคำที่มีอยู่จริงแต่เมื่อใช้พูดกันแล้ว มีเสียงที่ออกมาเปลี่ยนไป บางครั้งก็ใช้ในการเขียนด้วย เพื่อให้เข้าถึงอารมณ์ในวรรณกรรมนั้นๆมากกว่า
* ชั้น(ฉัน)
* เค้า(เขา)
แบบคำย่อ * มหาลัย(มหาวิทยาลัย)
* วิดวะ(วิศวะ)
* จาน (อาจารย์)
* สินสาด (ศิลปศาสตร์)
* สินกำ (ศิลปกรรมศาสตร์)
* เสารีย์ (อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ)
* โรงบาน (โรงพยาบาล)
* ซอย (สีลมซอย 2)
* อาร์ (อาร์ซีเอ)
* ตรอก (ตรอกข้าวสาร)
* โปร,โปรโกง (โปรแกรมโกงเกมส์)
คำอุทาน * เว้ย
* เฮ้ย
* เจ๊ดเข้
* อุ๊ยแม่เมิงตก
* เสม็ตดุ๋ย
* ชะมดเช็ดสะเด็ดยาด
* ตะแบ๊บ ตะแบ๊บ เป๊าะแป๊ะ เป๊าะแป๊ะ แอ๊ว แอ๊ว
แบบคำเติมท้ายในที่นี้คือคำเติมท้ายที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรมไทย แต่ก็จะใส่ มีไรมะ (เพราะเป็นคำที่ใช้แสดงอารมณ์หรือใช้แสดงความคิกขุของผู้เขียน/พิมพ์)
* งุงิ
* เงอะ
* ง่า
* งับ(ครับ)
* แง่ว
แบบลากเสียง * อาราย (อะไร)
* คร้าบ(ครับ)
แบบพิมพ์ผิดคนที่มีปัญญาแล้ว คงรู้ว่ามันพิมพ์ผิด ไม่ใช่ภาษาวิบัติ
* เป้น(เป็น)
* เห้น(เห็น)
แบบจำมาผิด * ลำใย (ลำไย)
อันนี้ขอร้องทางภาครัฐช่วยแก้ไขหน่อย เจออยู่ในรถเมล์ทุกคันเลย
* ศรีษะ(ศีรษะ)
แบบพิมพ์ไม่ถูก * ปาติหาน
* อัศจรร
* สมมุต
แบบคำแสลง ภาษาวัยรุ่น * แอ๊บแบ๊ว
* เสี่ยว
แบบคำทับศัพท์ * เกรท
* กู๊ด
* คาวาอี้
* อิคึ
* คิโมชิ
* คิกขุ
แบบอิโมติค่อน * ^__^
* @__@
* -*-
แบบจำเป็นต้องเปลี่ยนเพราะไม่อย่างนั้นจะถูกเซ็นเซอร์(อันนี้ขอยกบางตัวอย่างนะครับ ที่เหลือผมเห็นว่าไม่สมควรที่จะลง เดี๋ยวป๋าพรเทพเชือดผมตาย
)
* กรู / กุ / GOO / GU (กู)
* ฟาย / ฟราย / ฟลาย / Kwai (ควาย)
ช่วยกรูเขียนหน่อยคับขอบคุงนะคับ
แบบภาษาโบราณอันนี้ เอามาแบบเป็นข้อความเลย
“หากเป็นเยี่ยง นี้ เหตุใดมิกลับไปใช้ภาษาเมื่อกาลสมัยอโยธยาเสียเลยเล่า ภาษาที่พวกท่านจักใช้ในเพลานี้ มันเกิดวิบัติมามากมายเสียเหลือเกิน มันวิบัติมานับแต่เมื่อคราท่านที่เดือดเนื้อร้อนใจในเหตุนี้จะเกิดเสียอีก
ข้าพเจ้า อยากย้อนถามท่านอีกครา ว่าตั้งแต่ท่านเกิดออกมาจากครรภ์แล้วไซร์ ได้ใช้ภาษาแลสำเนียงเดียวกับที่ข้าพเจ้ากำลังพรรณานี้แล้วหรือไม่เล่า ณ. ครานี้ท่านได้ใช้ภาษาสำเนียงเดียวกับข้าพเจ้าหรือไม่เล่า หากมิใช่ ท่านนั่นแล ที่เป็นเหตุทำให้ภาษาวิบัติมาจนถึงบัตินี้
กาลสมัยเปลี่ยน ภาษาเปลี่ยน หาใช่เหตุพิลึกพิลั่นอันใดไม่''” ลองอ่านดูดีๆ มันน่าจะภาษาเมื่อสมัยอยุธยานะนี่
คำวิพากษ์วิจารณ์ * ภาษาวิบัติไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีเสมอไป บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะภาษาไม่ตาย ดังนั้นจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
* จะบ้าเรอะ! ภาษาวิบัติมันก็บอกอยู่แล้วว่า "วิบัติ" ไม่ใช่ "วิวัฒนาการ" วิวัฒนาการมันคือการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่า ส่วนวิบัติคือการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่
* ถ้าเปรียบภาษาเหมือนรูปภาพ การวิวัฒนาการคือการที่ศิลปินชื่อดังผู้รักและเข้าใจการวาดภาพมาเขียนภาพต่อๆกัน
ส่วนภาษาวิบัติคือการที่ใครก็ไม่รู้ผู้ที่ไม่รู้ความสำคัญของการวาดมาเขียนภาพต่อจากเรา
* เมื่อก่อนไม่มีพจนานุกรม มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะเกิดภาษาวิบัติ หรือการวิวัฒนาการของภาษาขึ้น
แต่เมื่อมันมีแล้ว แล้วเราจะแกล้งโง่ทำให้มันเปลี่ยนไปทำไมล่ะ?
* เพราะคนเรามีสมองมีจินตนาการสร้างสรรค์ได้ แล้วพจนานุกรมก็ไม่ใช่กฏ
* แม้พจนานุกรมไม่ใช่กฏ แต่มันเป็นหลักที่สมควรจะปฏิบัติ คล้ายกับระเบียบ ข้อแนะนำ หรือจรรยาบรรณ คุณไม่ต้องทำตามก็ได้ แต่มันจะดีกว่าถ้าคุณทำตาม
* ความคิดสร้างสรรค์ใช้กับความคิดที่ดี แต่ถ้าเป็นความคิดที่ไม่ดี ความคิดที่แย่ ความคิดที่เสื่อม หรือมาจากความขี้เกียจ มันไม่ได้เรียกว่าความคิดสร้างสรรค์หรอก มันเป็นความคิดหรือไอเดียที่ไม่สร้างสรรค์
ปล.ทั้งหลายทั้งปวงนี้ เพียงนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อประดับความรู้ มิได้มีจิตเจตนาจะกระทบกระเทียบผู้ใดให้เกิดความอับอาย หรือเพียงโพสต์เพื่อความบันเทิงเท่านั้น หากบทความนี้ ไปทำให้ท่านใดรู้สึกไม่พอใจเป็นการส่วนตัว กระผมกราบขออภัยล่วงหน้ามา ณ. โอกาสนี้ด้วยครับ เครดิต :
ไร้สาระนุกรม