Juliane Koepcke เด็กสาวผู้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่21"
กันยายน 08, 2024, 07:12:29 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Juliane Koepcke เด็กสาวผู้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า  (อ่าน 141 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13998


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2024, 08:16:47 AM »





Juliane Koepcke เด็กสาวผู้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า
โดยปกติ เครื่องบินโดยสาร
จะบินที่ความสูง 18,000 -51,000 ฟุตเหนือพื้นดิน
ขึ้นอยู่กับเส้นทางการบินและภูมิประเทศ
ลองคิดเล่นๆ ถ้าเครื่องบินที่เรานั่งเกิดรูโหว่ขึ้นมา
และดูดตัวเราออกไปนอกเครื่อง
ร่วงหล่นจากความสูง 33,000 ฟุต
ด้วยความเร็ว 200 กม./ชม.
เราจะมีเวลาเพียง 3 นาทีเพื่อสวดมนต์
และหวังว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างไม่ทรมาน

แต่ในบางกรณี การดิ่งพสุธาอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของทุกรกิริยาเท่านั้น
ขอเชิญรับชมเรื่องราวสุดพิสดาร
ของสาวน้อย Juliane ได้ในย่อยประวัติบทนี้ครับ

เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 1954 ณ กรุงลิม่า ประเทศเปรู
Juliane Koepcke (จูลี่แอน เคิ้ปเค่)
เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของ
พ่อ Hans-Wilhelm Koepcke และแม่ Maria Koepcke
นักสัตววิทยาชาวเยอรมัน

พอ Julianne อายุได้ 14 ปี
พ่อและแม่ของเธอก็ตัดสินใจย้ายจากกรุงลิม่า
ไปตั้งศูนย์วิจัยกลางป่าอเมซอนชื่อว่า Panguana
เพื่อศึกษาพันธุ์สัตว์ป่า แน่นอนเธอเอง
ก็ติดสอยห้อยตามผู้ปกครองไปด้วย
ในป่าอเมซอนไม่มีโรงเรียนมัธยมหรอกครับ
มีแต่โรงเรียนชีวิตจริง Juliane ถูกสอนการดำรงชีพในป่า

โดยพ่อกับแม่ของเธออยู่สองปี
ถ่ายทอดให้จนหมดทั้งวิธีการสังเกตสัตว์,
การเอาตัวรอดในพงไพร
และการป้องกันตัวเองจากแมลง
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่มาพบเธอเข้า
จึงบังคับให้พ่อและแม่พา Juliane กลับไปเข้าโรงเรียน
ในระบบที่กรุงลิม่าดังเดิม
ซึ่งครอบครัว Koepcke ก็ปฏิบัติตามโดยดี

ครั้น Juliane เรียนจบมัธยมปลาย คุณแม่ Maria
เห็นสมควรแก่เวลาจะพาลูกกลับไปอยู่ป่า
เธอวางแผนบินกลับศูนย์วิจัยในวันที่ 20 ธันวาคม 1971
แต่ Juliane ขอร้องให้อยู่ร่วมพิธีจบการศึกษา
ในวันที่ 22 ธันวาคมเสียก่อน Maria เห็นด้วย
จึงเลื่อนวันกลับเป็นคืนคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม แทน

เมื่อถึงวันบิน ปรากฏว่าเที่ยวบินทุกเที่ยวเต็มหมด
เหลือเพียงสายการบินโลว์คอสอันมีชื่อเสียง
ด้านความปลอดภัยไม่ดีนักชื่อ
Líneas Aéreas Nacionales South America (LANSA) เท่านั้น

หลังจากคุยกันทางโทรศัพท์กับสามีที่อยู่ในป่า Wilhelm
ออกอาการไม่เห็นด้วยอย่างแรงที่จะให้ลูกเมีย
เดินทางกับสายการบินนี้
แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลย
ทุกคนจึงจำใจไปเสี่ยงเอาดาบหน้า

เวลา 11:00 น. เจ้าหน้าที่สนามบินร้องเรียก
ให้ผู้โดยสารเที่ยวบิน LANSA 508 ขึ้นเครื่องเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่ Juliane และ Maria
จะขึ้นไปนั่งในแถวที่ 2 จากท้ายสุด
โดยเด็กสาวนั่งติดหน้าต่างทางขวา
แม่ของเธอนั่งกลาง และมีชายร่างใหญ่
นั่งทางฝั่งซ้ายติดกับทางเดิน

ไม่นานเครื่อง Lockheed L-188A ก็เร่งเครื่องเต็มกำลัง
ส่งสามล้อเหล็กพ้นพื้นดิน ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าไปตามปกติ
การเดินทางแบ่งเป็น 2 ช่วงครับ
ช่วงแรกระยะทาง 489 กม.ไปเมือง Pucalpa ในเวลา 70 นาที
ซึ่งผ่านไปได้โดยสวัสดิภาพ
เด็กสาวและแม่ดูจะเอนจอยกับอาหารบนเครื่อง
ซึ่งเสิร์ฟแซนด์วิชเป็นพิเศษ
จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงที่สองได้ประมาณ 10 นาที

ท้องฟ้าภายนอกเครื่องบินจากเคยสว่างจ้า
จนต้องใส่แว่นกันแดด ก็แปรเปลี่ยนเป็นมืดดำ
ราวกับเวลากลางคืน ใช่แล้ว ไฟลท์ LANSA 508
กำลังบินเข้าสู่ใจกลางพายุ
ฟ้าแลบแปลบปลาบด้านนอกเครื่องตลอดเวลา
ข้าวของที่เก็บไว้เหนือหัวบ้างหล่นลงมา
เครื่องตกหลุมอากาศใหญ่หลายครั้ง
จนทุกคนรู้สึกเหมือนไม่มีลำไส้
ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ระงมทั่วทั้งลำ

"หวังว่าเราจะผ่านไปได้ด้วยดีนะ"
Maria แม่ของเธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และ
เปรี้ยงง!!
เสียงดังกัมปนาทถึงขั้นทำให้ทุกคนหูดับ
ตามมาด้วยแสงสว่างวาบสร้างความตื่นตระหนก
ให้กับผู้โดยสารมากขึ้นไปอีก
เครื่องบินเคราะห์ร้ายถูกฟ้าผ่าลงมา
ที่ปีกขวาตรงจุดถังน้ำมัน
ทำให้เกิดแรงระเบิดเปิดตัวเครื่องเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่
Juliane ได้ยินแม่ของเธอร้องไห้และพูดเบาๆว่า
"การเดินทางของเราคงจบตรงนี้แล้วล่ะ"

สิ้นเสียงสุดท้ายของแม่ เครื่อง Lockheed L-188A
ก็ปักหัวลงอย่างรวดเร็ว เสียงแห่งความเงียบ
จากเครื่องยนต์สองข้างที่ดับสนิท
เธอลืมตามองไปข้างกายจึงพบว่า
แม่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
อันที่จริง เธอไม่ได้อยู่บนเครื่องบินแล้วต่างหาก!

Julianne ร่วงหล่นจากความสูง 11,000 ฟุต
ตัวล็อคแน่นติดกับเก้าอี้โดยสาร
ขณะอยู่กลางอากาศ เธอบอกว่ามันช่างเงียบเชียบ
และมองไม่เห็นวิวอะไรทั้งสิ้น
สติสัมปชัญญะของเธอวูบหายไปเมื่อไหร่ไม่รู้

ในห้วงเวลาไม่กี่วินาทีนั้น เธออยากจะลืมตาตื่นขึ้นบนเตียง
นุ่มอันอบอุ่นของเธอ หวังให้ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฝันร้าย
อีกไม่กี่อึดใจเธอก็คงได้ยินเสียงบ่นของแม่
เร่งร้องให้รีบตื่นไปโรงเรียนเสียที

แต่เมื่อลืมตา เธอก็ยังดำดิ่งสู่ความตาย
นี่คือเรื่องจริง Juliane อยู่ในสภาพหัวปักพื้น
และสัมผัสกับยอดไม้แห่งป่าทึบเปรูเข้าอย่างจัง
แรงเสียดทานเพิ่มมากขึ้นและ
เธอรู้สึกปวดแสบปวดร้อนตามร่างกาย
ก่อนจะหมดสติไป

Juliane ตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อพบว่าตัวเองนอนอยู่กลางป่าดงดิบ
ตัวเธอหลุดออกจากเก้าอี้แล้ว
อาจเพราะตื่นมาปลดเข็มขัดออกโดยไม่รู้ตัว
เธอเริ่มคลานไปรอบๆ ทั้งที่มองเห็นไม่ชัด
เพราะดวงตาขวาบวมปูด
ก่อนจะสลบไปอีกครั้งเป็นเวลานานถึง 19 ชั่วโมง

รอดชีวิตอย่างน่าเหลือเชื่อ
เธอร่วงจากเครื่องบินความสูงนับหมื่นฟุตโดยไร้ชูชีพ
แต่ใครจะรู้ว่า วิบากกรรมของ Juliane เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น...

ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อและกิตติศัพท์ของป่าอเมซอนกันมาบ้าง
เนื้อที่ 5,500,000 ตร.กม.
อันเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด
บนบกมีงูอนาคอนด้า, ในน้ำมีปลาปิรันญ่า
และในอากาศก็เต็มไปด้วยแมลงนานา
การจะเอาชีวิตรอดในป่านี้ได้คุณต้องเป็น แบร์ กริลส์
(ผู้เชี่ยวชาญการดำรงชีพในพื้นที่ยากลำบาก)

หรือไม่คุณก็ต้องถูกสอนให้อยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก
โชคยังดีที่ Juliane มีคุณสมบัติข้อหลัง

อย่างไรก็ตาม Juliane เป็นเพียงเด็กหญิงอายุ 17
แถมยังได้รับบาดเจ็บหลายแห่งจากการเหตุการณ์เครื่องบินตก
เธอปวดช่วงคอ หลัง และเอว, มีแผลถูกบาด
โดยชิ้นส่วนเครื่องบินค่อนข้างลึกที่แขนขวา
แถมยังมองอะไรไม่ค่อยเห็นเพราะสายตาสั้น

เธอพยายามร้องเรียกหาแม่ของเธอและคนอื่น
ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงเสียงสัตว์ป่าร้องกันเซ็งแซ่
ในช่วงวันแรก Juliane ต้องอาศัยการดื่มน้ำจากใบไม้ประทังชีวิต

สัญญาณแห่งความหวังมาถึงในวันที่ 3
เมื่อเธอได้ยินเสียงเครื่องบินค้นหาบินผ่านเหนือหัวไป
แต่ด้วยยอดไม้รกทึบ ทำให้โอกาสในการพบเธอนั้นแทบไม่มีเลย
เธอจึงกำหนดเป้าหมายแรก คือออกไปสู่พื้นที่โล่งให้ได้
หลังตัดสินใจเดินตะลุยป่ารกชัฎ
เธอใช้วิธีที่พ่อสอนมาคือ
ปารองเท้าไปข้างหน้าเพื่อให้งูตกใจหนี
ก่อนจะเดินไปเก็บและปาต่อไปเรื่อย ทีละก้าว ทีละก้าว
อาหารเพียงอย่างเดียวตอนนี้คือลูกอมถุงหนึ่ง
ที่เก็บได้จากซากเครื่องบิน
หลังจากเดินอย่างมุ่งมั่นหนึ่งวันเต็ม
เธอก็พบเข้ากับลำธารเล็กๆ
และระลึกถึงคำสอนของพ่อแม่

"หากลูกหลงป่าและเจอลำธาร จงเดินตามไป มนุษย์จะอยู่ไม่ไกล"

Juliane เดินไปเรื่อย จนลำธารเริ่มกลายเป็นคลองใหญ่
แต่ของกินเธอเริ่มร่อยหรอเหลือลูกอมเพียงไม่กี่ชิ้น
ทำให้แรงในการเดินน้อยลงทุกที
อีกทั้งสภาพภูมิประเทศและอากาศก็โหดร้ายมาก
ฝนตกตลอดวัน พอฝนหยุดก็มาพร้อมความหนาวและยุงป่า
อีกสิ่งหนึงที่น่ากลัวคือ
เริ่มมีแมลงวันเข้าไปวางไข่เล็กๆ
ในแผลที่แขนขวาของเธอแล้ว

ด้วยความกลัวว่าแขนจะเน่าและเสียแขนไป
เธอพยายามรีดแผลอย่างรุนแรงเพื่อให้หนอง, เลือด
และไข่แมลงวันหลุดออกมา
เจ็บปวดทรมานแต่ก็ไม่สามารถทำให้ไข่
ที่ฝังแน่นหลุดออกมาได้เลย

สักพักเธอก็สังเกตเห็นนกแร้งเกาะอยู่บนซากอะไรสักอย่าง
มันคือซากเครื่องบินไฟลท์ LANSA 508 นั่นเอง
เมื่อ Juliane เข้าไปสำรวจ
เธอก็พบศพผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง
สร้างความหดหู่ใจให้เธอยิ่งนัก

ในวันที่ 6 ของการเดินทาง Juliane
ได้ยินเสียงร้องของนก Hoatzin นกชนิดนี้
มักหากินอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำ เธอรู้ทันทีว่าเธอใกล้
จะถึงจุดหมายแล้ว ซึงก็จริง
ในที่สุดเธอก็มาถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่
การเดินทางอันโหดร้ายจะได้จบเสียที
แต่เธอคิดผิดถนัด

สิ่งที่เธอควรจะเจอคือมนุษย์ที่สามารถช่วยเธอได้
แต่ก็ไร้วี่แวว Juliane ได้ยินเสียงเครื่องบินค้นหาอยู่บ้าง
ก่อนค่อยๆเงียบหายไป บ่งบอกได้ว่า
ทางการยกเลิกการค้นหาซากเครื่องบินแล้ว
เพราะสภาพแวดล้อมอันยากลำบาก
ความหวังของเธอเริ่มเลือนลาง
แผ่นดินลุ่มแม่น้ำที่เธอใช้ชีวิตอยู่ก็หดเล็กลงเพราะน้ำขึ้น
ที่สุดเธอก็ต้องลงไปอยู่ในน้ำตื้น
และเมื่อเท้าลงน้ำ อันตรายก็คืบคลานเข้ามา
จระเข้อเมซอน, ปลากระเบน และปลาปิรันญ่า
คือแขกขาประจำที่แวะมาเยี่ยมเยียนเธอทุกวัน
ซึ่งวิธีเอาตัวรอดจากพวกมัน
ก็เหมือนตอนท่านผู้อ่านยังเป็นเด็ก
คือการเล่นจรเข้ขึ้นบก
ต้องรีบหนีให้ทันไม่งั้นโดนลากลงไปแน่

อยู่ตรงนั้นได้พักใหญ่ Juliane ก็ตัดสินใจ
ไปตายเอาดาบหน้า โดยรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีว่ายน้ำ
ไปเกาะซุงท่อนใหญ่ที่ลอยมา
และลอยไปตามกระแสน้ำอเมซอน
ปล่อยชีวิตไว้กับลิขิตพระเจ้า
ไม่นานเธอก็เห็นกระท่อมริมน้ำหลังหนึ่ง
เมื่อเข้าไปสำรวจก็พบน้ำมันหนึ่งแกลลอน Juliane
รีบหยิบน้ำมันนั้นมาราดตัวเธอเพื่อฆ่าเชื้อโรค
และได้ผล ตัวหนอนแมลงวันที่อยู่ในแขนเธอ
ไหลออกมาอย่างน่าอัศจรรย์
เธอตั้งใจพักแรม ณ กระท่อมน้อยเป็นเวลา 2-3 วัน
ในระหว่างนั้นก็พยายามไล่จับกบที่กระโดดอยู่รอบๆเป็นอาหาร
เธอช้าเกินไปจึงจับไม่ได้สักตัว
แต่นั่นก็นับเป็นโชคดีของเธอ
เพราะมันคือกบพิษมีฤทธิ์ถึงตาย
เช้าวันออกเดินทาง Juliane ตื่นขึ้น
เพราะได้ยินเสียงคนคุยกัน ในตอนแรกเธอคิดว่า
คงประสาทหลอนเหมือนเคย
แต่แล้วก็ปรากฎร่างของชายตัดไม้ 3 คน!

ทุกคนอยู่ในอาการช็อครวมถึง Juliane ด้วย
น้ำตาไหลริน ชายเหล่านี้คือคนที่เธออยากเจอมากที่สุดในชีวิต
หลังได้สติทั้งสามจึงช่วยกันพา Juliane
ที่อยู่ในสภาพใกล้ตายเต็มทีส่งโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน
เธอถูกส่งถึงมือหมอ
และได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด.
เด็กสาวฟื้นตัวจากอาการป่วยทางกายอย่างรวดเร็ว
แต่รอยแผลเป็นทางใจนั้นยังคงอยู่
เธอคิดถึงแม่ ด้วยไม่รู้แม้ชะตากรรมของแม่เธอ
เธอคิดถึงพ่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าข่าวของเธอ
จะถูกส่งไปถึงเขาไหม
ก๊อก ก๊อก...
ชายร่างใหญ่เดินเข้ามาภายในห้อง Juliane
จำเขาได้ในทันที พ่อและลูก
โผกอดกันไม่มีแม้แต่คำพูดสักคำ
คงไว้เพียงน้ำตาแห่งความดีใจ
ที่ได้เจอกันอีกครั้งในชีวิต แต่ก็มาพร้อมกับข่าวเศร้า

มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ LANSA ไฟลท์ 508 ตก 91 คน
เป็นลูกเรือ 6 คน และผู้โดยสาร 85 คน
มีผู้รอดชีวิต 1 คน ชื่อ Juliane Koepcke
ไม่ว่าปัญหาของท่านผู้อ่านจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน
ขอจงอย่าทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป
#ปาฏิหารย์เกิดขึ้นได้เสมอ…
------
เกร็ดเล็ก : นักบินถูกกดดันจากความหวัง
ของผู้โดยสารที่ต้องการกลับไปฉลองวันหยุดคริสต์มาสกับครอบครัว
ทำให้พวกเขาตัดสินใจเสี่ยงบินฝ่าพายุ นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมในที่สุด
เกร็ดน้อย : หลังการสืบสวนพบว่า Maria แม่ของเธอ
รอดชีวิตจากการตกสู่พื้น แต่เสียชีวิตเพราะอาการบาดเจ็บ
และความโหดร้ายของป่าอเมซอน
ส่วน Juliane ต่อสู้อยู่ในป่ายาวนานถึง 11 วัน
- Xyclopz
           
___________________ ___
ที่มา :เพจย่อยประวัติ
โค๊ด:
https://www.facebook.com/yoyhistory
___________________ ______
#ภาพและเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจ

 Wink


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!