ปัญหาสัมปทานไทยคม อย่าแก้ที่ปลายเหตุ
ธันวาคม 22, 2024, 02:49:12 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ปัญหาสัมปทานไทยคม อย่าแก้ที่ปลายเหตุ  (อ่าน 1489 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13885


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2016, 08:49:13 am »



ข้อกังขาเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนในกิจการดาวเทียมเกิดขึ้นสองช่วงเวลา
ช่วงเวลาแรก คือ กรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานในยุครัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (ยศในขณะนั้น)
ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 แล้วว่า
 ดาวเทียมไอพีสตาร์ (ไทยคม 4) ถือเป็นโครงการใหม่ที่อยู่นอกกรอบสัญญาสัมปทานเดิม
หากมีการขอรับสัมปทานโดยเปิดให้มีการประมูลแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม
จะมีมูลค่าโครงการเป็นเงินกว่า 16,000 ล้านบาทเป็นรายได้เข้ารัฐ
ส่วนความรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐในคดีที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์นั้น
ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคมที่จะถึงนี้

ข้อกังขาช่วงที่สอง เกิดจากการที่เอกชนขอประกอบกิจการดาวเทียมไทยคม 7 และ ไทยคม 8
โดยกระทรวงไอซีทีเป็นผู้พิจารณาในประเด็นวงโคจร และ กสทช. เป็นผู้พิจารณาอนุญาตการประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสาร
โดยที่ไม่มีการกำหนดระยะเวลาของการใช้วงโคจร และไม่มีการเปิดประมูลแข่งขันอย่างเสรี
และเป็นธรรมตามแนวคำพิพากษาของศาล ซึ่งส่งผลให้เอกชนมีภาระค่าธรรมเนียมลดลงกว่าในระบบสัมปทานเดิม
จึงมีข้อสงสัยว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนอีกหรือไม่ จนปรากฏข่าวว่า
 มีข้อเสนอให้นำดาวเทียมทั้งสองดวงนี้ถอยกลับไปอยู่ภายใต้ระบบสัมปทาน
 แต่ก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่า ข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นการแก้ปัญหาดาวเทียมไทยคมได้อย่างแท้จริง

เราจึงต้องพิจารณาพัฒนาการของปัญหาไทยคมอย่างละเอียด เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

โดยหลักการสากลแล้ว พื้นที่ในอวกาศเป็นพื้นที่ซึ่งทุกประเทศสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ไม่มีประเทศใดมีกรรมสิทธิ์เด็ดขาด สำหรับกิจการดาวเทียมนั้น มีหน่วยงานกลางของสหประชาชาติ
คือสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) เป็นองค์กรกลางในการประสานการใช้ประโยชน์
บนหลักการพื้นฐานว่า ทุกประเทศมีสิทธิขอส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศ
แต่ต้องมีการประสานงานคลื่นความถี่มิให้มีการรบกวนกัน
และ ITU จะเป็นผู้บันทึกและเผยแพร่ทะเบียนสิทธิในการใช้ประโยชน์นั้น
ถือเป็นสิทธิที่ประเทศอื่นๆ รับรู้และยอมรับ (Right to International Recognition)

ในการรับรองสิทธินั้น ITU มีการพิจารณาจัดสรรคลื่นความถี่ (Frequency Assignment) เพื่อให้ใช้
ณ ตำแหน่งวงโคจรที่ระบุ (ITU มิได้จัดสรรวงโคจรให้กับแต่ละประเทศอย่างที่บางฝ่ายเข้าใจผิดกันไปเอง)
เราจึงพบว่า ณ ตำแหน่งวงโคจรหนึ่งๆ อาจมีดาวเทียมหลายดวงจากหลายประเทศอยู่ที่องศาเดียวกัน
แต่ใช้คลื่นความถี่ที่ไม่รบกวนกัน แต่ระบบราชการไทยกลับก่อให้เกิดความสับสน
โดยแยกวงโคจรดาวเทียมออกจากคลื่นความถี่ดาวเทียม ทั้งที่นานาประเทศถือว่า
คลื่นความถี่ดาวเทียมเป็นสิทธิประธานที่ได้รับการจัดสรร
ส่วนวงโคจรดาวเทียมเป็นสิทธิรองไม่สามารถแยกออกจากสิทธิประธานได้

มูลเหตุของความสับสนน่าจะเกิดจากการก่อตั้งองค์กรอิสระทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งแต่เดิมกรมไปรษณีย์โทรเลขเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแลการใช้คลื่นความถี่
และได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานด้านอำนวยการของประเทศไทย (Administration)
ในกิจการโทรคมนาคมระหว่างประเทศด้านการบริหารความถี่วิทยุ รวมถึงกิจการดาวเทียมสื่อสาร
แต่ต่อมามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งบัญญัติให้มีองค์กรอิสระ
ในการกำกับดูแลการใช้คลื่นความถี่ และได้มีการตราพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่
และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งในมาตรา 63 (10) ประกอบกับมาตรา 78
ได้กำหนดให้คณะกรรมการร่วมตามกฎหมายฉบับนี้ ดำเนินการในฐานะหน่วยงานด้านอำนวยการ
ของรัฐบาลในกิจการสื่อสารระหว่างประเทศกับองค์การระหว่างประเทศ
รัฐบาลและหน่วยงานต่างประเทศด้านการบริหารคลื่นความถี่ (แทนกรมไปรษณีย์โทรเลข)
และมาตรา 82 กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ ของกรมไปรษณีย์โทรเลข
ไปเป็นของสำนักงาน กทช. เว้นแต่กิจการไปรษณีย์และงบประมาณ

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการ กทช. ชุดแรกในเดือนตุลาคม 2547
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีทีกลับแจ้งองค์กรโทรคมนาคมระหว่างประเทศต่างๆ
ให้เปลี่ยน Contact Point จากกรมไปรษณีย์โทรเลขซึ่งได้ยุติภารกิจไปแล้ว
มาเป็นกระทรวงฯ แทน และกระทรวงฯ ก็ได้ดำเนินการในฐานะหน่วยงานอำนวยการ ทั้งที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

ต่อมาเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
และมีการตราพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่
และกำกับการประกอบกิจการกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ขึ้นใหม่
 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้มีหนังสือตอบความเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า
ตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ในมาตรา 27 (14) ประกอบกับมาตรา 27 (22) ภารกิจของ กสทช.
มีลักษณะเดียวกันกับภาระหน้าที่ของ Administration ใน ITU แต่ในขณะนั้นยัง
ไม่มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง กสทช. จึงยังไม่มีการหาข้อยุติในเรื่องนี้
ผลของความสับสนในอำนาจหน้าที่ทำให้ประเทศไทยมี กสทช. เป็นองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่
แต่มีกระทรวงฯ ปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยงานอำนวยการด้านกิจการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ
จึงเกิดแนวคิดว่า กสทช. ดูแลคลื่นความถี่ดาวเทียม กระทรวงฯ ดูแลวงโคจรดาวเทียม
ทั้งที่ ITU ไม่เคยแยกจัดสรรวงโคจรดาวเทียมใดๆ ให้กับใครก็ตาม
มีแต่การจัดสรรคลื่นความถี่ ณ วงโคจรหนึ่งๆ (Frequency Assignment)

ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากการแยกวงโคจรดาวเทียมออกจากคลื่นความถี่ ยังมีผู้กล่าวอ้างว่า
วงโคจรไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของประเทศ และอยู่นอกอำนาจอธิปไตยของไทย
แต่หากเทียบเคียงกับสิทธิการให้บริการเดินอากาศระหว่างประเทศซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
คณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษได้เคยมีความเห็นแล้วว่า สิทธิการให้บริการเดินอากาศระหว่างประเทศเป็นสิทธิของรัฐ
และเป็นสิทธิที่มีมูลค่าอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ อีกทั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ก็ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 ว่าให้ดำเนินการจัดหาดาวเทียมด้วยการให้สัมปทานภายใต้พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535
ซึ่งสอดคล้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ได้กล่าวถึงข้างต้น

แต่ปรากฏว่า ในรัฐบาลชุดต่อมากลับมิได้ดำเนินการภายใต้กฎหมายดังกล่าว
(โดยได้มีการปรับปรุงเป็นพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556)
แต่ได้มีมติคณะรัฐมนตรีมอบหมายให้เอกชนดำเนินการรักษาวงโคจร
โดยมิได้ระบุระยะเวลาการมอบสิทธิให้เอกชนอย่างชัดเจน
ทำให้เกิดข้อกังขาว่า เอกชนได้สิทธิอันเป็นของรัฐที่มีมูลค่ามหาศาลไปฟรีๆ อย่างไม่มีกำหนดเวลา

อย่างไรก็ตาม ในส่วนคลื่นความถี่ดาวเทียมนั้น ก็มีข้อกังขาว่า แต่เดิมสัญญาสัมปทานระบุอย่างชัดเจนว่า
กระทรวงจะจัดสรรคลื่นความถี่สำหรับระบบสื่อสารดาวเทียมภายในประเทศตามสัญญานี้ให้เอกชน
 (ผู้ประกอบกิจการดาวเทียม) และคณะกรรมการ กทช. ปฏิบัติหน้าที่ กสทช. ก็ได้ยึดแนวทางนี้
 โดยถือว่าผู้ให้บริการภาคพื้นดินมิใช่ผู้ขอรับการจัดสรรคลื่นความถี่ จึงไม่ต้องประมูลคลื่นความถี่
แต่ปรากฏว่าต่อมา กสทช. ได้ออกใบอนุญาตประกอบกิจการดาวเทียมไทยคม 7 และ ไทยคม 8 ให้กับเอกชน
โดยไม่ผ่านการประมูลคลื่นความถี่เช่นกัน จึงกลายเป็นว่า
ทั้งกิจการดาวเทียมภาคพื้นดิน และภาคอวกาศของไทยไม่มีฝ่ายใดต้องประมูลคลื่นความถี่ตามกฎหมายเลย
ซึ่งน่าจะพอสรุปได้ว่า มีกรณีใดกรณีหนึ่งไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ
องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ยิ่งกรณีที่เอกชนนำสิทธิของประเทศไปพัฒนาเป็นดาวเทียมใช้งานร่วมกับต่างชาติ
แต่ก็ไม่มีหน่วยงานใดของรัฐเข้าไปพิจารณาอย่างจริงจังว่า เหมาะสมหรือชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

จะเห็นได้ว่า ปัญหาไทยคมนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง
แต่บางส่วนก็เป็นผลมาจากการดำเนินการและการตีความกฎหมายอย่างไร้บรรทัดฐานของหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงาน

อย่างไรก็ดี ในส่วนเอกชนเองก็ทราบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่า ในการขออนุญาตกิจการดาวเทียมทั้งสองดวงที่ผ่านมา
มีความเสี่ยงในเรื่องความไม่ชัดเจนของการกำกับดูแล และทั้งกระทรวงฯ และ กสทช.
ได้แจ้งสงวนสิทธิการเปลี่ยนแปลงการอนุญาต ตามหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินการในอนาคต
โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า (Subject to Future Regulation)
การที่ตัดสินใจลงทุน จึงมิใช่การตัดสินใจโดยไม่ทราบความเสี่ยงมาก่อนแต่อย่างใด

ดังนั้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จึงควรมุ่งพิทักษ์สิทธิของรัฐที่มีมูลค่ามหาศาล
 และควรเร่งตีความกฎหมายในประเด็นการอนุญาตกิจการดาวเทียมของหน่วยงานต่างๆ
ให้เป็นบรรทัดฐานเดียวไปพร้อมกัน และต้องแก้ไขการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายโดยเร็ว
ส่วนการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ควรมีการปฏิรูปกฎหมายกิจการดาวเทียมให้มีเอกภาพ
ไม่แยกส่วนจนเกิดความลักลั่นและก่ออุปสรรคในการพัฒนากิจการดาวเทียมของประเทศ



Cr:http://www.isranews.org


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!