“สัพพปาปัสสะอกรณัง(วิธีกสิกรรมแบบพุทธ)
ธันวาคม 23, 2024, 04:08:15 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “สัพพปาปัสสะอกรณัง(วิธีกสิกรรมแบบพุทธ)  (อ่าน 2709 ครั้ง)
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3008


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 02, 2009, 05:55:24 pm »

พูดถึงการทำกสิกรรมธรรมชาติ หลายคนที่ทำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ก็คงจะเหนื่อยและท้อถอยไปบ้าง จึงอยากจะเสนอ การทำกสิกรรมธรรมชาติแบบพุทธโอวาทปาติโมกข์ บ้าง กล่าวคือ

     เริ่มตั้งแต่ “สัพพปาปัสสะอกรณัง” ไม่นำสิ่งที่เป็นพิษลงไปในดิน ซึ่งจะทำให้สิ่งมีชีวิตในดินตาย โดยเฉพาะจุลินทรีย์ที่สร้างสรรค์สิ่งดีให้แก่ดิน แต่จะส่งเสริมสิ่งมีชีวิตที่สร้างความเสื่อมโทรมให้ดิน ดังนั้นเราต้องปราบอกุศลก่อน คือ จุลินทรีย์กลุ่มทำลายที่อยู่ในดินบริเวณนั้นก่อน โดยการเลิกนำสารเคมีทุกชนิดมาลงในพื้นที่ และนำจุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์มาครองพื้นที่แทน แล้วสรรพชีวิตในดินจะเปลี่ยนไปตามกระแสระบบวงจรการสร้างสรรค์ มิฉะนั้นแล้วปุ๋ยและอินทรียวัตถุที่ท่านนำมาใส่ลงดินก็เท่ากับขนเสบียงอาหารมาให้โจรร้ายขยายอาณาเขต และเพิ่มพลพรรคมากขึ้นอีก เปรียบเหมือนคนที่ตกอยู่ใต้อารมณ์ของกิเลสที่ถูกเร้าด้วยการโฆษณา การกระทำทุกอย่างแม้จะออกมาดูเหมือนดี แต่ก็เป็นไปเพียงเพื่อเสริมกิเลสให้โตขึ้น

     พร้อมกันนั้นเราต้องทำ “กุสลัสสูปสัมปทา” ไปพร้อมๆกันด้วย กล่าวคือ ต้องนำสิ่งดีคืนสู่ดินด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมให้ดิน โดยการนำเอาอินทรียวัตถุที่เรามีในพื้นที่มาปกคลุมดิน เพื่อป้องกันจุลินทรีย์จากการถูกแดดเผาตาย และปลูกพืชหมุนเวียนลงไปโดยไม่ต้องลงทุนไปขนอินทรียวัตถุจากแหล่งอื่น ซึ่งขอบอกว่าอาหารและแร่ธาตุในดินนั้นพอเพียงสำหรับพืช ถ้าไม่ถูกจุลินทรีย์กลุ่มทำลายแย่งไปกินเสียก่อน เมื่อเราสร้างระบบห่วงโซ่อาหารให้ดำเนินไปในทิศทางสร้างสรรค์และต่อเนื่อง นี่ก็คือมรรควิธีที่จะเดินไปสู่ “สจิตตปริโยทปนัง”

     เนื่องจากเราเข้าใจผิดว่า การทำกสิกรรมธรรมชาติ คือไม่ทำอะไรเลย จึงเกิดทางสุดโต่ง 2 ทาง คือทางหนึ่งเดินไปสู่เส้นทางของฤๅษี กล่าวคือไม่ทำอะไรเลยรอให้ดินผลิตอาหารและพืชขึ้นมาเอง อย่างดีก็แค่หว่านหรือหยอดเมล็ดลงไป รอให้ดินบันดาลผลเองและอดทนรอคอยเท่าที่จะรอได้ เมื่อรอไม่ไหวแล้วก็ตบะแตก จึงไปขนปุ๋ยและอินทรียวัตถุมาใส่ให้มากๆ โดยไม่รู้ตัวว่ามีโจร คือ จุลินทรีย์กลุ่มทำลายนั่งยิ้ม รอกินอินทรียวัตถุอยู่ ไม่ฆ่าอกุศลก่อน มุ่งแต่จะทำแต่กุศลให้มากๆ อาจจะดูดี แต่เมื่อหมดอุตสาหะทำดีลงเมื่อใดอกุศลก็จะกลับมาครอบครองหัวใจดังเดิม

     ถ้าเราเดินทางสู่มรรควิธีกสิกรรมแบบพุทธแล้ว เราก็มีอันหวังได้ว่าจะเจริญไปตามลำดับเท่าที่เราจะมีความเพียร.

ขอบคุณแหล่งที่มา : หนังสือ น้ำหมักชีวภาพและจุลินทรีย์พื้นบ้าน Ensyme Ionic Plasma by Indigenous Microorganisms


บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!