สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)  (อ่าน 3259 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: เมษายน 19, 2009, 08:53:49 PM »

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียบเรียงประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้เป็นความย่อๆเรียกว่า “เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์” พิมพ์ขึ้นปีพ.ศ. 2466 กล่าวว่า “…สมเด็จพระพุฒาจารย์ มีนามเดิมว่า “โต” เมื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา ได้นามฉายาว่า “พรหมรังสี” อุบัติขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 ที่บ้านท่าหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา…” โยมบิดาของสมเด็จ[ต้องการแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม] คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครั้งทรงพระยศเป็น เจ้าพระยาจักรี โยมมารดาชื่อนางงุด บุตรของนายผลกับนางลา ชาวนาเมืองกำแพงเพชร โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นโอรสนอกเศวตฉัตรของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

บรรพชาและอุปสมบท
เมื่อถึงวัยพอสมควรแล้วได้บรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา ต่อมาปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดและเมตตาสามเณรโตเป็นอย่างยิ่ง ครั้นอายุครบอุปสมบทปีพ.ศ. 2350 ได้โปรดเกล้าฯให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระสังฆราช (สุก) เป็นพระอุปัชฌาย์ ในรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดฯรับไว้ในพระราชูปถัมภ์


ธุดงควัตรและไม่ปรารถนาสมณศักดิ์
ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงสถาปนาสมณศักดิ์เพื่อยกย่องในกิตติคุณ และเกียรติคุณแต่ท่านไม่ยอมรับ (ปกติท่านไม่ปรารถนายศศักดิ์ดังจะเห็นได้จากเจ้าประคุณสมเด็จฯ ศึกษาพระธรรมวินัยแตกฉาน แต่ไม่ปรารถนายศศักดิ์จึงไม่ยอมเข้าแปลหนังสือเพื่อเป็นพระเปรียญ) ต่อมาเล่ากันว่า “…ท่านออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ และได้สร้างปูชนียสถานในที่ต่างๆกัน เช่น สร้างพระพุทธไสยาศน์ไว้ที่วัดสตือ ตำบลไก่จัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สร้างพระพุทธรูปหลวงพ่อโต วัดไชโย จังหวัดอ่างทอง นอกจากนี้ยังมีปูชนียสถานที่เจ้าประคุณสมเด็จฯได้สร้างไว้ในที่ต่างๆอีก ซึ่งทุกอย่างที่ท่านสร้างจะมีขนาดใหญ่โตสมกับชื่อของพระคุณท่าน อนึ่ง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่ว่าท่านจะไปอยู่ ณ ที่ใดๆท่านย่อมเป็นที่รักใคร่ของมหาชนทุกหนทุกแห่งและด้วยบารมีของเจ้าประคุณสมเด็จฯ
นี้เอง จึงทำให้บรรดาพุทธศาสนิกชนในยุคนั้นเคารพเลื่อมใส ดังจะเห็นได้จาก พระพุทธรูปองค์ใหญ่โตที่ท่านสร้างจะต้องใช้ทุนทรัพย์และแรงงานจำนวนมากในการก่อสร้าง
จึงจะทำได้สำเร็จ ฉะนั้น จึงสรุปได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อท่านจะทำการใดคงจะต้องมีผู้อุทิศทั้งทรัพย์แ
ละแรงงานช่วยทำการก่อสร้างปูชนียวัตถุจึงสำเร็จสมดังนามของท่านทุกประการ


สมณศักดิ์สมเด็จพระพุฒาจารย์ฯ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ทรงโปรดปรานสมเด็จฯเป็นอย่างมาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2395 ได้พระราชทานสมณศักดิ์ครั้งแรกถวายเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิติ ขณะนั้นท่านอายุ 65 ปี ครั้งนั้นท่านยอมรับสมณศักดิ์ (โดยมีเหตุผลที่ทำให้ต้องยอมรับสมณศักดิ์) ครั้นต่อมาอีก 2 ปี คือพ.ศ. 2397 ได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ “ พระเทพกวี “ อีก 10 ปี (พ.ศ. 2407) จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ มีนามจารึกตามหิรัญบัตรว่า “สมเด็จพระพุฒาจารย์” เอนกปรีชา วิสุทธศีลจรรยาสมบัติ นิพัทธุตคุณ สิริสุนทร พรตจาริก อรัญญิกคนฤศร สมณนิกรมหาปริณายก ตรีปิฎกโกศล วิมลศีลขันธ์ ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร พระอารามหลวงฯ อนึ่งกิตติคุณ และชื่อเสียงของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้ขจรกระจายไปทั่วทิศานุทิศว่า “ เจ้าประคุณสมเด็จ คือ ที่พึ่งของสัตว์โลกผู้ตกอยู่ในห้วงของความทุกข์ทั้งมวล”


องค์หลวงพ่อโตอนุสรณ์งานก่อสร้างครั้งสุดท้าย
ในราวปี พ.ศ. 2410 เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้มาเป็นประธานก่อสร้างปูชนียวัตถุครั้งสุดท้ายที่สำคัญของท่าน คือ องค์หลวงพ่อโต ที่วัดอินทรวิหาร ครั้นท่านทำการก่อสร้างได้สูงถึงพระนาภี (สะดือ) ก็มีเหตุให้ไม่สำเร็จ เพราะวันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน 2415 เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒจารย์ (โต) พรหมรังสี ได้สิ้นชีพตักษัย (มรณภาพ) บนศาลาเก่าบางขุนพรหม สิริอายุคำนวณได้ 84 ปี 2 เดือน 5 วัน และมีชีวิตอยู่ในสมณเพศได้ 65 พรรษา


กิตติคุณและคุณลักษณะพิเศษบางอย่างเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
บทความนี้ไม่ได้รับการยอมรับเกี่ยวกับความเป็นกลาง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และต้องการการแก้ไขโดยด่วนเพื่อสอดคล้องกับการเป็นสารานุกรม
กรุณาดูบทสนทนาที่เกี่ยวข้องที่หน้าพูดคุย


เจ้าประคุณฯสมเด็จ เป็นอัจฉริยะและสั่งสมบุญบารมีดียิ่ง ดังจะเห็นได้จากสติปัญญาตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณรโต คือ รอบรู้ในสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งครูอาจารย์ที่สอนยกย่องว่า “สามเณรโตไม่ได้มาให้ฉันสอน แต่มาแปลหนังสือให้ฉันฟัง” คือแทนที่อาจารย์จะต้องสอนแต่ท่านก็ว่าแปลกมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
เจ้าประคุณสมเด็จฯไม่ปรารถนาทรัพย์สมบัติในทางโลก หลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้างข้างต้น คือ เมื่อบุคคลใดทำบุญถวายพระคุณท่าน ปัจจัยนั้นจะต้องไปถึงบุคคลอื่นที่กำลังมีความทุกข์ยากต่างๆ ดังมีเรื่องเล่ากันหลายสิบเรื่อง อาทิเช่น “…สองผัวเมียเป็นทุกข์เรื่องค้าขายแตงโมกำลังจะเน่าขาดทุนต้องเป็นหนี้สิน ครั้นสมเด็จฯท่านผ่านมาพบ และรู้ว่าสองผัวเมียนี้เป็นทุกข์เรื่องค้าขายขาดทุน พระคุณท่านจึงช่วยซื้อแตงโมเท่าที่มีปัจจัยจากคนอื่นถวาย เมื่อซื้อแตงโมพร้อมจ่ายเงินให้แล้วก็ยกแตงโมให้สองผัวเมียอีกด้วย นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีเรื่องอื่นๆอีกหลายสิบเรื่อง ดังนั้นจึงสรุปว่า “ทรัพย์สมบัติในทางโลกของพระคุณท่านนั้นไม่มี”

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ปรารถนาที่จะช่วยให้บุคคลนั้นสมความปรารถนาตรงตามหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ว่า “…ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง…” เมื่อบุคคลมีความปรารถนาสิ่งใดครั้นไม่ได้สิ่งนั้นบุคคลนั้นก็เป็นทุกข์ จากความจริงในทางโลกดังกล่าว ถ้าเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านได้พบหรือได้รู้ท่านเป็นต้องหาทางช่วยให้บุคคลที่อยู่ในห้วงของความทุกข์ได้สมคว
ามปรารถนาในวิถีทางที่ท่านจะช่วยได้ ดังจะเห็นได้จากการปฏิบัติของพระคุณท่านในเรื่องที่ผ่านมาและเรื่องอื่นๆอีกเช่น “…เมื่อพระคุณท่านทราบว่า เรื่อที่ท่านได้เคยนั่ง และกำลังนั่งข้ามฝากกำลังจะหมดสภาพ เพราะรั่วโดยเจ้าของเรือบอกเจ้าประคุณสมเด็จฯว่า “ไม่มีสตางค์จะซ่อมเรือ” พอถึงฝั่งเจ้าประคุณสมเด็จฯก็หยิบพัดยศให้เจ้าของเรือถือไว้ จากนั้นเจ้าประคุณก็ขึ้นฝั่งไปทำกิจที่ได้รับนิมนต์ในพิธีหลวง พอถึงพิธีเจ้ากรมสังฆการีรู้ว่าพัดยศสมเด็จฯ อยู่ที่คนแจวเรือจ้าง โดยพระคุณท่านปรารถนาจะช่วยเหลือให้เจ้าของเรือจ้างได้รับเงินประมาณแปดสลังเฟื้อง เพื่อเป็นค่ายาเรือ ดังนั้นเจ้ากรมสังฆาการีจึงต้องนำเงินแปดสลึงเฟื้องไปถ่ายพัดยศที่เจ้าประคุณสมเด็จม
อบให้คนแจวเรือจ้างถือไว้…” นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีอุทาหรณ์อีกว่า “ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ปรารถนาจะช่วยบุคคลไม่เลือกบุคคลว่าจะเป็นคนเลวหรือเป็นคนดี “ ดังเช่น “ขโมยเอื้อมมือลอดล่องจากใต้กุฏิที่ท่านพักอาศัยเพื่อควานหาของมีค่าแต่เอื้อมไม่ถึง
พระคุณท่านรู้ใจขโมยว่าอยากจะได้อะไรจึงหยิบของนั้นส่งให้ขโมยเพื่อช่วยให้ขโมยสมควา
มปรารถนา” นอกจากเรื่องนี้แล้ว เมื่อครั้งขโมยเข้ามาลักเรือที่ใต้กุฏิ สมเด็จฯ ยังโผล่หน้าต่างมาบอกขโมยว่า ถ้าจะให้ดีต้องทำอย่างใดจึงจะเอาเรือไปได้โดยไม่เกิดเสียงดัง เพราะถ้าเกิดเสียงดังเด็กวัดตื่นเดี๋ยวจะมีเรื่องเจ็บตัว ดังนั้น เพื่อช่วยให้ผู้ปรารถนาสมหวังจึงช่วยแนะนำขโมยเพื่อให้ขโมยได้สมความปรารถนา” จึงนับได้ว่าพระคุณท่านมีปณิธานจะช่วยให้บุคคลทุกคนสมความปรารถนาอย่างแท้จริง

เจ้าประคุณสมเด็จฯ กอร์ปด้วยคุณธรรมพิเศษยิ่ง คือ เมตตา กรุณา จากอุทาหรณ์ที่เล่ามาหลายๆเรื่องที่แล้วมาเป็นหลักฐานสนับสนุนว่า “ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี” เจริญธรรมพิเศษ คือ ให้ความเมตตา กรุณา และปรารถนาที่จะให้บุคคลอื่นสมความปรารถนา นอกจากบุคคลแล้วในเรื่องของสัตว์ก็เช่นเดียวกัน คือ ถ้าพระคุณท่านได้พบเป็นต้องช่วยเหลือดังอุทาหรณ์ที่เล่ากันมาว่า “ … เมื่อครั้งท่านธุดงค์ พบสัตว์กำลังอยู่ในระหว่างมีทุกข์ เพราะติดอยู่ที่บ่วงท่านก็ปลดปล่อยสัตว์นั้นให้พ้นทุกข์แล้วเอาเท้าของพระคุณท่านไว้
แทนที่รอกระทั่งเจ้าของบ่วงมาถึง จึงขอบิณฑบาตรสัตว์นั้นแล้วเทศน์อานิสงฆ์การทำบุญเพื่อให้เจ้าของบ่วงเลิกทำอกุศล…”
เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเป็นพระธรรมกถึกเอก คือเป็นพระเถระที่เทศน์ได้ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง รวมทั้งสัมผัสติดต่อกันได้ ซึ่งในยุคนั้นเป็นที่กล่าวขวัญเลื่องลือกันมาก ฉะนั้นกิจนิมนต์ของเจ้าประคุณสมเด็จจึงมีมิได้ขาด แต่ผู้ที่ต้องการจะฟังเทศน์ของเจ้าประคุณสมเด็จฯจะต้องมีข้อแม้ คือ “จะกำหนดเวลาไม่ได้ ต้องสุดแท้แต่เจ้าประคุณสมเด็จฯท่านจะมาได้ และจะมาเวลาใด” สำหรับเรื่องเทศน์นั้นมีเรื่องเล่าลือมากมาย และที่กำลังจะนำมาเล่านี้ก็เป็นคุณลักษณะพิเศษที่เจ้าประคุณสมเด็จฯท่านปฏิบัติ ถ้าท่านคิดให้ลึกซึ้งท่านจะทราบซึ้งในคุณธรรมอันสูงส่งยิ่ง “มีหญิงหม้ายคนหนึ่ง บ้านอยู่ตำบลบ้านช่างหล่อ ไม่ไกลจากวัดระฆังมากนักได้ศรัทธาและนิมนต์สมเด็จฯไปเทศน์ ก่อนเทศน์หญิงหม้ายได้เอาเงินติดเทียนกัณฑ์เทศน์ 100 บาท พร้อมกราบเรียนว่า “ขอพระเดชพระคุณนิมนต์เทศน์ให้เพราะๆสักหน่อยนะเจ้าคะ เพราะดิฉันมีศรัทธาติดกัณฑ์เทศน์ 100 บาท” เจ้าประคุณสมเด็จฯพอท่านนั่งบนธรรมาสน์ให้ศีลบอกศักราช ตั้งนะโม จากนั้นท่านก็เทศน์ว่า “พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ธัมมัง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ยถา…สัพพี” จบก็ลงจากธรรมาสน์เป็นอันว่าการเทศน์สิ้นสุดลง หญิงนั้นขุ่นข้องหมองใจมาก เพราะไม่สบอารมณ์สมความตั้งใจ แต่ก็ไม่ว่าอะไร พอวันรุ่งขึ้น

เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ไปเทศน์บ้านนี้อีกครั้ง โดยที่มิได้มีการนิมนต์ก่อนเทศน์ เจ้าประคุณสมเด็จบอกหญิงนั้นว่า “เมื่อวานนี้ฉันรับจ้างเทศน์จ๊ะ แต่วันนี้ฉันมาเทศน์ให้เป็นธรรมทานนะจ๊ะ” คราวนี้ประคุณสมเด็จฯ เทศน์ได้เพราะจับใจผู้ที่ได้ฟังเป็นยิ่งนัก จากอุทาหรณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเป็นพระเถระที่น่าศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
เจ้าประคุณสมเด็จฯ อนุเคราะห์คนยากจนด้วยใจที่ปรารถนาจะช่วยคนยากจน สมัยก่อนมีหวยชนิดหนึ่งเกิดขึ้นเรียกกันว่าหวย กข มีการออกวันละ 2 เวลา คือ เช้ากับเย็น บุคคลเป็นจำนวนมากที่อยู่ในกรุงเทพฯนิยมเล่น แต่ถ้าคิดกันให้ดีแล้วโอกาสถูกยาก เพราะตัวผิดมากกว่าตัวถูกจำนวนมาก ดังนั้นเจ้ามือจึงร่ำรวย คนจนๆจึงยิ่งจนมากขึ้น เพราะหลงหวย กข สำหรับหวย กข นี้มีการออกเบอร์ไว้แล้วเพียงแต่จะชักรอกที่ใส่เบอร์ลงมาดูกันว่าวันนี้เวลาเช้าจะเป
็นตัวอะไร และตอนบ่ายจะเป็นเบอร์อะไรทั้งนี้สุดแท้แต่เจ้ามือหวยจะเป็นผู้กำหนดให้ออกตัวอะไร อุทาหรณ์ที่เล่าลือกันมากก็คือ “เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านรู้ว่าหวยจะออกอะไร ดังนั้นท่านมักจะอนุเคราะห์คนยากจนด้วยปริศนาต่างๆ อาทิเช่น ถ้ามีผู้นิมนต์ท่านไปเทศน์ในตอนท้ายสุด พระคุณท่านมักจะไบ้หวยโดยลงท้ายว่า “เอวัง กังสือ” บางวันก็บอกว่า “เอวัง หุนหัน” ถ้าใครคิดทันก็ตีเป็นหวยถูกเล่าลือกันไป กระทั่งวัดระฆังมีผู้มาคอยดูพฤติกรรมสมเด็จฯแล้วนำไปคิดเป็นหวยก็มีจำนวนไม่น้อย อนึ่งหลายครั้งท่านเทศน์ไม่ให้คนลุ่มหลงในหวยเพราะเป็นอบายมุขไปสู่ความยากจน แต่ในขณะเดียวกันท่านก็เมตตาคนจนอยากจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือ โดยบางครั้งพระคุณท่านตั้งใจช่วยคนยากจน เช่นแทนที่จะใช้รัตประคตคาดเอวกับใช้เชือกปอคาดเอวแทนพอเทศน์ไปก็ขยับเชือกปอที่คาดเ
อวคล้ายจะเป็นปริศนาให้คิดว่าวันนี้หวยจะต้องออกตัว “ป” ถ้าใครมีปัญญาก็คิดได้ บางวันแม่ค้านำขนมจีนมาถวายพอแม่ค้าหันหลังกลับ ท่านก็ตะโกนบอก 2 จานนะจ๊ะ โดยตะโกนบอกอยู่เช่นนั้น 2-3 ครั้ง เหตุที่ท่านตะโกน ก็เป็นปริศนาบอกไบ้หวยว่าวันนี้หวยจะออก “จ” จากคำเล่าลือในเรื่องเจ้าประคุณสมเด็จฯไบ้หวยได้แม่นยำได้เล่าลือไปถึงพระกรรณของสมเ
ด็จพระเจ้าอยู่หัว

ดังนั้นวันหนึ่งในปีจุลศักราช 1226 เจ้าประคุณสมเด็จฯได้ถูกนิมนต์เทศน์หน้าพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วจึงสัพยอกว่า “เขาพากันชมเจ้าคุณว่าเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องลองฟังดู” พระธรรมกิติ (โต) ถวายพระพรว่า “ผู้ที่ไม่มีความรู้เหตุผลในธรรม ครั้นเขาฟังรู้เขาก็ชมว่าดี” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวล และทรงถามว่า “ได้ยินข่าวอีกว่าเจ้าคุณบอกหวยเขาถูกกันจริงหรือ” พระธรรมกิติ (โต) ทูลว่า “…ตั้งแต่อาตมาภาพได้อุปสมบทไม่เคยออกวาจาว่าหวยจะออก ด กวางเหม้ง ตรงๆเหมือนดังบอก ด กวางเหม้ง แด่สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าอย่างวันนี้…” ปรากฏว่าวันนั้นหวยออก ด กวางเหม้ง ตรงตามที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จได้กล่าวไว้ทุกประการ อนึ่งเรื่องการไบ้หวยของเจ้าประคุณสมเด็จฯนั้น ท่านมีเจตนาที่จะช่วยเหลือคนยากจน เพราะไม่เช่นนั้นเจ้ามือหวยจะร่ำรวย โดยคนจนก็จนมากขึ้นไปอีก แต่

ถึงกระนั้นท่านก็พยายามเทศน์ไม่ให้ศิษย์เล่นหวยหรือการพนัน เพราะเป็นทางของความเสื่อมเจ้าประคุณสมเด็จฯ พระอมตะเถระพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์ตลอดกาล จากการศึกษาประวัติเจ้าประคุณสมเด็จฯ โดยตลอดจะเห็นได้ว่าท่านอุบัติมาในโลกเพื่อช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์โลกอย่างแท้จริง ดังจะเห็นได้จากประวัติได้กล่าวมาแล้ว และที่กำลังจะกล่าวถึง ก็เป็นอุทาหรณ์ที่ชี้ให้เห็นว่า “พระคุณท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่สูงยิ่ง” ครั้งหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปทอดกฐินที่อ่างทองเรือบรรทุกกฐินจอดอยู่ท้ายเกาะท่านขึ้นไปจำวัดบนโบสถ์วัดท่าซุง คนในเรือหลับหมด ขโมยมาล่วงเอาเครื่องกฐินไปหมดเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านกลับดีใจยิ้มแต้ลงเรือโดยไม่มีความโกรธเลย ชาวบ้านถามว่า “พระคุณท่านทอดกฐินแล้วหรือ” เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านตอบว่า “ทอดแล้วจ๊ะ แบ่งบุญให้ด้วย” ตอนกลับท่านเลยซื้อหม้อบางตะนาวศรีบรรทุกเต็มลำเพื่อไปแจกชาวบ้านที่กรุงเทพฯ (โดยเฉพาะบ้านที่คลองโอ่งอ่าง คลองสะพานหินส่วนมากมักจะได้รับแจกหม้อดิน) จากข่าวที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ แจกหม้อบุคคล บุคคลที่มีปัญญาเก็บไปคิดเป็นหวยแล้วซื้อ “ม หันหุน” ก็ถูกร่ำรวยไปตามๆกัน อนึ่งเรื่องหวย กข และคุณลักษณะพิเศษอื่นๆของเจ้าประคุณสมเด็จฯยังมีอีกมาก ถ้าจะเขียน หรือเล่าอีก 3 วันก็ยังไม่จบ เพราะเกียรติคุณและชื่อเสียงของหลวงพ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ ขจรกระจายไปทั่วทิศแม้แต่ประชาชนต่างจังหวัดก็เคารพศรัทธา เช่น ชาวสระบุรี ลพบุรี นับถือและเล่าลือกันมากว่าน้ำล้างเท้าเจ้าประคุณสมเด็จฯ รักษาโรคฝีดาษได้ ซึ่งเป็นโรคที่น่ากฃัวมากที่สุดในสมัยนั้น ฉะนั้น ชาวลพบุรี และสระบุรี จึงเก็บน้ำล้างเท้าเจ้าประคุณสมเด็จฯไวเป็นน้ำมนต์ และเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่แถวนั้นไม่ค่อยจะมีใครเป็นโรคฝีดาษ เพราะโรคฝีดาษกลัวน้ำล้างเท้าเจ้าประคุณสมเด็จฯพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
พระเครื่องและวัตถุมงคลสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี วัตถุมงคลทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น “ พระพุทธรูป “ หรือ “ พระสมเด็จ “ ซึ่งเป็นพระเครื่องขนาดเล็ก

ปรากฏว่ามีพุทธคุณเป็นที่เลื่องลือ และเป็นที่นิยมของมหาชนทุกยุคทุกสมัย ในปัจจุบันมีสนนราคา แสน-ล้าน ยังมีบุคคลศรัทธาเช่า และแสวงหาพระเครื่องของเจ้าประคุณสมเด็จฯยิ่งกว่าพระเครื่องชนิดใดๆทั้งหมด อนึ่งพระสมเด็จที่แท้จริงนั้นตามตำนานว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯท่านสร้างไว้เพียง 84,000 องค์ เท่าพระธรรมขันธ์ ส่วนจะเป็นพิมพ์ใดมีจำนวนเท่าใดนั้นไม่มีใครทราบ บางท่านก็คิดว่าแต่ละพิมพ์มีจำนวน 84,000 องค์ แต่ในทัศนะส่วนตัวคิดว่า “พระสมเด็จวัดระฆัง” คงจะมีจำนวนทั้งหมดไม่ถึง 84,000 องค์ ส่วนพระสมเด็จกรุวัดใหม่บางขุนพรหมอาจจะมีจำนวน 84,000 องค์ ในสมัยนั้นก็ต้องนับว่ามากโข เพราะกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2410 ประชาชนทั้งกรุงเทพฯ จะมีประมาณ 15,000 ครอบครัว หรือประมาณ 75,000 คน สำหรับพุทธานุภาพพระเครื่องของสมเด็จฯนั้นมีผู้โจษขานเลื่องลือกันมาก โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญเมื่อครั้งอหิวาตกโรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ในอดีต เมื่อปีระกา พ.ศ. 2416 ปรากฏว่าบ้านใดมีพระสมเด็จแล้วอาราธนาพระสมเด็จทำน้ำมนต์อาบ บริโภคจะปราศจากโรคร้ายได้ แต่ถึงกระนั้นประชากรในกรุงเทพฯก็ล้มตายกันประดุจใบไม้ล่วงถึงกับมีคำขวัญว่า “คนหัวโตกินแตงโมวัดแจ้ง ไปดูแร้งวัดสระเกศ ไปดูเปรตวัดสุทัศน์” คำว่าแร้งวัดสระเกศหมายถึงบรรดาแร้งที่ลงกินศพคนตาย ซึ่งไม่สามารถจะเผาศพได้ทันจึงนำมาสุมกันไว้ เมื่อใครได้มาเห็นจะเกิดธรรมสังเวชในจิตใจเป็นอย่างยิ่ง

ปัจจุบันมีผู้พยายามปลอมพระเครื่องสมเด็จ กระทั่งมีคำกล่าวกันว่า “พระปลอมพิมพ์สมเด็จลดบรรทุกสิบล้อ 3 คันขนยังไม่หมด” ฉะนั้นท่านที่ปรารถนาพระเครื่องสมเด็จจงคิดใคร่ครวญให้ดี และจากประสบการณ์พบว่าบุคคลจำนวนมากไม่ทราบว่าพระสมเด็จที่แท้จริงเป็นอย่างไรจึงมัก
ทึกทักไว้ว่าของตัวเองแท้ก็มีจำนวนไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีคณะบุคคลแอบอ้างทำพระปลอมแล้วนำไปบรรจุไว้ในที่ต่างๆแล้วอุปโลภสร้างเ
รื่องว่าเป็นพระของสมเด็จ หรือสร้างหลักฐานเท็จพร้อมพิมพ์หนังสือประวัติประกอบพระเครื่องเพื่อสร้างความมั่นใจ
ในพระสมเด็จปลอมก็ยังมี ฉะนั้นขอท่านที่ปรารถนาพระสมเด็จจงใช้ปัญญาให้ถูกต้อง และขอเตือนด้วยใจจริงว่า “ไม่ควรจะไปแสวงหา เพราะโอกาสที่ท่านจะได้พระสมเด็จวัดระฆังมีน้อยมาก นอกจากนี้บุคคลจำนวนมากได้ถูกหลอก หรือหมดเงินทอง เพราะความอยากได้พระสมเด็จฯ มีเป็นจำนวนมาก ถ้าท่านศรัทธาหรือเชื่อมั่นในบารมีเจ้าเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แล้วขอท่านจงปฏิบัติแต่คุณงามความดีและบูชาสมเด็จฯด้วยจิตใจมั่นคง ท่านจะมีแต่ความสุขและเหมือนมีพระสมเด็จฯอยู่กับตัว

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์พบว่าใครศรัทธาบูชาเจ้าประคุณสมเด็จฯ แม้จะไม่มีพระสมเด็จฯ แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลธรรมก็เหมือนมีพระสมเด็จฯ เพราะเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านมีความเมตตา กรุณา และปรารถนาจะช่วยสาธุชน โดยเฉพาะคนที่มีความทุกข์ หรือคนจนๆ ซึ่งท่านมีความปรารถนาจะช่วยอยู่แล้ว ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุด คือ มอบกายถวายชีวิตต่อสมเด็จฯแล้วบำเพ็ญตัวเองให้อยู่ในศีลธรรม และเคารพสวดมนต์บูชาสมเด็จฯแล้วเจริญธรรมเมตตา กรุณา รับรองชีวิตของท่านจะมีแต่ความสมหวังทุกประการ อนึ่งแม้ว่าเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี จะได้มรณภาพไปนานกว่า 115 ปีแล้วก็ตาม แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อก็มิได้ลดลงกลับเพิ่มทวีคูณอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ฉะนั้นเราชาวพุทธที่มีทุกข์และหมดที่พึ่งโปรดอย่าลืมมานมัสการบูชารูปหล่อเจ้าประคุณ
สมเด็จฯ ที่วัดอินทรวิหาร หรือวัดระฆัง หรือวัดที่มีรูปหล่อของเจ้าประคุณสมเด็จฯบางทีความทุกข์ร้อนของท่านอาจจะลดลง และอาจจะได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่ก็คงจะอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม คือบุคคลต่างๆย่อมมีกรรมเป็นของตนเอง เมื่อทำกรรมสิ่งใดไว้ย่อมได้รับผลกรรมนั้น ฉะนั้นขอท่านจงคิดและตั้งใจกระทำคุณงามความดี ถ้าเป็นไปได้ขอท่านจงสละกิเลส โดยยึดถือแนวทางการปฏิบัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นแนวทางของชีวิตแล้วท่านอาจจะได้พบความสุข สมหวัง โดยถ้วนหน้ากัน

คำสอน
"คำว่า นิพพาน นี้ต้องเข้าใจว่ามีหลักแห่งความจริงของคำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง ถ้าในหลักแห่งความจริงของพระสัมมาสัมพุทธโคดมแล้ว คำว่า นิพพาน ในโลกมนุษย์นี้ ก็คือว่า มนุษย์ผู้ใดปฏิบัติตนให้อยู่ในจิตแห่งความว่าง ให้อยู่ในจิตแห่งความนิ่ง ให้อยู่ในจิตแห่งความสิ้นจากสรรพกิเลสที่รอบล้อมอยู่ในตัว เขาเรียกว่า .... ใจกลางแห่งนิพพานตั้งอยู่เมือง รอบล้อมต่อเนื่องกำแพงอันแสนหนา ผู้ใดหาทางทะลุอยู่ในเมือง มนุษย์ผู้นั้นย่อมถึงนิพพาน นิพพานในโลกมนุษย์นี้เขาเรียกว่าปฏิบัติจิตให้ว่างที่สุด นานเท่านาน ผู้นั้นถึงนิพพานแห่งการเป็นมนุษย์ คือ สุญญัง นี้แหละเขาเรียกว่าสูญจากอาสวกิเลส สูญจากการป็นทาสอารมณ์แห่งการเป็นมนุษย์ จิตวิญญาณนี้พุ่งสู่แดนอรหันต์ ไม่ใช่สูญทั้งจิตและวิญญาณ ถ้าสูญทั้งจิตและวิญญาณ จะเอาอะไรไปเสวยกรรม สภาพการณ์วิญญาณที่สูญนั้นเขาเรียกว่า วิญญาณธาตุในเบญจขันธ์ วิญญาธาตุนี้เป็นอุปาทาน รูปนี้ประกอบขึ้นด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุจึงอยู่เป็นกาย แต่วิญญาณอีกอันหนึ่งเขาเรียกว่าวิญญาณซึ่งวนเวียนอยู่ในกฏแห่งวิฏสงสารนั้นแหล่"

-นิพพาน คือว่างจากกิเลส จิตวิญญาณของพระอรหันต์ไม่สูญ ที่วิญญาณสูญนั่นคือวิญญาณในขันธ์ ๕ เท่านั้น-

" บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า ... "

" ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว...เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว...แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า
หมั่นสร้างบารมีไว้...แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง..." จงจำไว้นะ... เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้... ครั้นเมื่อถึงเวลา... ทั้วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่... จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า

 
พร้อมคาถา



• RomeoNuI •


Group: แม่ทัพนครหลวง
Posts: 2,323
Joined: 7-December 06
From: มจธ. บางมด
Member No.: 7



คาถาชินบัญชร

พระคาถาชินบัญชร

การเริ่มต้นสวดภาวนาให้หาวันดี
คือ วันพฤหัสบดีเป็นวันเริ่มต้น
โดยน้อมนำดอกไม้ธูปเทียน ถวายบูชาคุณพระรัตนตรัย
และดวงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าประคุณสมเด็จฯ

ถ้าไปที่วัดระฆังได้ก็ยิ่งดี ถ้าไปไม่ได้ก็ให้ระลึกถึงท่าน
และหันหน้าไปทางวัดระฆังก็ใช้ได้
เมื่อบูชาพระรัตนตรัยและดวงวิญญาณของเจ้าประคุณสมเด็จฯ
แล้วจึงเริ่มสวด โดยอ่านตามบทให้ได้ ๑ จบ ก็เป็นอันเสร็จพิธีเริ่มต้น


พระคาถาชินบัญชร

ก่อนที่เจริญภาวนาให้ตั้งนะโม ๓ จบ

แล้วระลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จด้วยคำว่า


ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโส ภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ

ชะยาสะนากะตา พุทธา
เชตะวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง
เย ปิวิงสุ นะราสะกา

ตัณหังกะราทะโย พุทธา
อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฎฐิตา มัยหัง
มัตถะเก เต มุนิสสะรา

สีเส ปะติฎฐิโต มัยหัง
พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฎฐิโต มัยหัง
อุเร สัพพะคุณากะโร

หะทะเย เม อะนุรุทโธ
สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฎฐิภาคัสมิง
โมคคัลลาโน จะ วามะเก

ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง
อาสุง อานันทะราหุลา
กัสสะโป จะ มะหานาโม
อุภาสุง วามะโสตะเก

เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง
สุริโยวะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน
โสภีโต มุนิปุงคะโว

กุมาระกัสสะโป เถโร
มะเหสี จิตตะวาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง
ปะติฏฐาสิ คุณากะโร

ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ
อุปาลีนันทะสีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา
นะลาเฏ ติละกา มะมะ

เสสาตีติ มะหาเถรา
วิชิตา ชินะสาวะกา
เอตาสีติ มะหาเถรา
ชิตะวันโต ชิโนระสา

ชะลันตา สีละเตเชนะ
อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
ระตะนัง ปุระโต อาสิ
ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ
วาเม อังคุลิมาละกัง

ขันธะโมระปะริตตัญจะ
อาฎานาฎิยะ สุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ
เสสา ปาการะสัณฐิตา

ชินาณา วะระสังยุตตา
สัตตัปปาการะลังกะตา
วาตะปิตตาทิสัญชาตา
พาหิรัชฌัตตุปัททะวา

อะเสสา วินะยัง ยันตุ
อะนันตะชินะเตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ
สะทา สัมพุทธะ ปัญชะเร

ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ
วิหะรันตัง มะฮีตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ
เต มะหาปุริสาสะภา

อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโค
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย

สัทธัมมานุภาวะปาลิโต
จะรามิ ชินะปัญชะเรติฯ

(ชินะปัญชะระคาถา นิฏฐิตา)




--------------------
 


บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 19, 2009, 09:42:33 PM »

ผมนำมาลงครั้งนึ่งแล้วครับ...............

เป็นคาถาชินบัญชรครับ...... http://www.ubmthai.com/leksoundsmf3/index.php?topic=54163.0 
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 09:07:15 AM »

(ขอโทษ) เศร้าจัง

ครับงั้นคาถาก็ใช้ไม่ได้ไช่ไหมครับ
ส่วนข่างบนเป็นเรื่องเล่า
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 09:27:55 AM »

ใช้ได้ครับ..........
ไม่เป็นไรครับ..ถึงจะซ้ำกัน เนื้อหาก็ คนละแบบ
ผมมีแค่คาถา  แต่คุณoom_2589  มีประวัติสมเด็จท่าน
ไม่เป็นไรครับ.................   THANK!!
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: