สไบทอง เด็กหญิงหัวใจแกร่ง "ถ้ามีพรสัก 3 ข้อให้เลือก
ข้อ 1 หนูขอให้แม่หายป่วย
ข้อ 2 ขอให้ตามีบ้านดีๆ อยู่
ข้อ 3 ขอให้หนูได้เรียนสูงๆ ได้เป็นตำรวจ"
ความฝันเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ของ "สไบทอง" หรือ เด็กหญิงมนัสนันท์ อิ่มกระจ่าง วัย 13 ปี
เด็กหญิงหัวใจแกร่ง ที่ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อคือใคร
เนื่องจากแม่ของเธอมีสติไม่สมประกอบ
ถูกข่มขืนจนตั้งท้อง อีกทั้งแม่ของเธอไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือสายเลือดของตัวเอง
(ปัจจุบันแม่ของเธอถูกส่งไปอยู่สถานสงเคราะห์วังทอง มาเป็นเวลานานมานับสิบปีแล้ว)
"ตั้งแต่เกิดมาหนูไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย. . . แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้จัก"
สไบทอง บอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวที่อยู่ภายในใจของเธอให้ฟัง
สำหรับชาวบ้านในอำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก จะเห็นเด็กหญิงสไบทอง
ในลักษณะของผู้หญิงรูปร่างผอมบาง สูงยาว ใบหน้าไม่ค่อยประดับด้วยรอยยิ้ม
เวลาก้าวเดินไหล่ของเธอจะคู ก้มหน้าก้มตาเป็นประจำ
ประหนึ่งว่าบนบ่าจะแบกภาระไว้ตลอดเวลา
ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และกำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.1 โรงเรียนวัดโบสถ์
สไบทอง เติบโตมาจากการเลี้ยงดูของตากับยาย ในอำเภอพรหมพิราม
แต่ยายก็เสียชีวิตไปตั้งแต่เธออายุได้ 6 ขวบ
ต่อมาตาที่เลี้ยงดูเธอเพียงคนเดียวประสบอุบัติเหตุ สมองกระทบกระเทือนทำให้สติฟั่นเฟือน
เธอจึงย้ายมาอยู่กับป้าและลุงผู้เป็นสามี ที่อำเภอวัดโบสถ์ จังหวัดพิษณุโลก
อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ในซอกแคบๆ พอให้ได้ซุกหัวนอน
ป้าของเธอไม่มีอาชีพอะไร ส่วนลุงหาปลาขาย ซึ่งรายได้ก็ไม่แน่ไม่นอน
ทุกวันนี้สไบทองต้องทำงานอย่างหนัก ด้วยจิตสำนึกที่คิดอยากจะช่วยหรืออยากตอบแทนป้าบ้าง โดยการทำงานอย่างทุกอย่างที่กำลังของตัวเองจะสามารถทำได้
ทุกๆ วันหลังเลิกเรียนเธอไม่เคยได้สัมผัสชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป ไม่เคยได้วิ่งเล่น ไม่เคยออกไปเที่ยวเตร่
เพราะเธอต้องรีบไปรับน้องชาย (หลานของป้า)
พากันกลับบ้าน "เล่นไปไม่ได้อะไร รีบกลับมาทำงานบ้านดีกว่า"
นี่คือคำพูดใสซื่อที่ออกมาจากใจ สไบทอง จากนั้นเธอต้องมีหน้าที่ปั่นซาเล้งคู่ใจคันเก่าๆ โทรมๆ เอาปลาที่ลุงหามาได้ไปขาย
แต่ถ้าวันไหนไม่มีปลาก็ใช่ว่าเธอจะหยุดอยู่นิ่ง
เพราะเธอก็จะปั่นซาเล้งออกไปเก็บขยะ เก็บขวด เก็บของเก่าเพื่อนำไปขาย กว่าจะได้เหยียบย่ำเข้าบ้านพระอาทิตย์ก็เลยลับขอบฟ้าพระจันทร์ขึ้นมาแทนที่ไปนานแล้ว
ซึ่งเธอเริ่มทำแบบนี้มาตั้งแต่ชั้น ป.3
กิจวัตรทุกๆ วันหลังจากเก็บของเก่า
เธอจะอาบน้ำอาบท่าและกินข้าว . . .จานข้าวที่เธอกินประจำประกอบไปด้วยข้าวล้นจาน
ส่วนกับข้าวมีเพียงน้อยเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเธอก็จะล้างจานหรือทำงานบ้านต่ออีกเล็กๆ น้อยๆ เสร็จภารกิจต่างๆ
ก็ถึงเวลาที่ต้องหยิบเอาการบ้าน หรือหนังสือเรียนออกมาทบทวน
ซึ่งกว่าเธอจะทำอะไรต่อมิอะไรเรียบร้อยก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มกว่าแล้ว
ถึงจะได้เข้านอน ขณะที่เด็กคนอื่นในวัยเดียวกันคงเข้านอนก่อนเธอไปนานแล้ว
แต่เช้าวันเสาร์และอาทิตย์ก็ใช่ว่าเธอจะหยุดพักผ่อน
แต่กลับเป็นวันพิเศษกว่าทุกๆ วัน เพราะเธอต้องตื่นนอนตั้งแต่ ตี 3 ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของป้าไปตลาด เพื่อหาซื้อผักมาขาย แต่ก่อนที่จะปั่นซาเล้งไปขายผัก
เธอต้องสวมบทบาทเป็นแม่บ้านไปรับจ้างทำงานบ้านให้กับเพื่อนบ้านละแวกนั้น
แลกกับเงิน 100 บาท ถึงจะกลับมาเอาซาเล้งคู่ใจคันหนัก ที่อุดมไปด้วยพืชผักนานาชนิด
ไปปั่นตระเวนขายตามบ้านต่างๆ ทั้งใกล้และไกล
"ถ้าเป็นเด็กคนอื่นๆ รุ่นนี้คงจักรยานยนต์หัวแดงไปแล้ว
แต่เด็กคนนี้เลือกที่จะทำมาหากินช่วยครอบครัว"
คำพูดบอกเล่าของผู้ที่พบเห็นสไบทองเป็นประจำเล่าให้กับทีมงานฟัง
ในชีวิตของสไบทอง ทุกวันเธอต้องทำงานหนักเกินวัย ตั้งแต่เช้าตรู่ยันค่ำมืด ไม่มีวันหยุด
เธอบอกว่า อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้อะไร อยู่ไปก็ไม่ได้เงิน ก็เลยออกมาช่วยทำมาหากิน
ไม่มีใครบอกให้ทำ เธออยากทำเอง เพราะอยากเก็บไว้เป็นทุนเรียน
เก็บไว้ให้ป้าซื้อข้าวสาร และเก็บไว้ให้ตา เพราะตาอยู่คนเดียว
(เธอจะไปเยี่ยมตาทุกเดือน เดือนละ 3 ครั้ง เอาเงินและข้าวสารไปให้)
ทุกวันนี้ความหวังและความฝันของเด็กหญิงสไบทอง คือการที่แม่ของเธอจะหายเป็นปกติ
และเธอสามารถรับแม่มาอยู่ด้วยกันได้ มีบ้านเป็นของตัวเอง
พร้อมกับรับตาที่ห่วงใยมาอยู่ด้วยกัน ให้เหมือนกับครอบครัวของคนอื่น
เงิน 100 บาทสำหรับเด็กบางคนอาจได้แค่ไอศรีมแค่ 1 แท่ง แต่เงินตั้ง 100 บาท ของเด็กผู้หญิงสไบทองกลับต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน เพื่ออยากตอบแทนผู้มีพระคุณ
ติดตามเรื่องราวชีวิตของสไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำได้เลยครับ
http://www.dailymotion.com/swf/k1nw6kZdEMde65LRDe&related=1&canvas=medium เชื่อว่าหลายคนยังคงจำภาพ "สไบทอง" เด็กหญิงนัยน์ตาเศร้าหมอง สิ้นหวัง ใบหน้าที่น้อยคนนักแทบจะไม่ได้เห็นรอยยิ้ม พร้อมกับซาเล้งคู่ใจที่ทุกวันเธอต้องใช้มันในการหาเลี้ยงชีพอย่างแสนลำบาก
หลังจากชีวิตของเธอถูกนำมาตีแผ่ผ่านทางรายการ "คนค้นฅน"
ไม่นาน กำลังใจและความช่วยเหลือจากผู้ชมรายการก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมาย และนี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตที่ทำให้สไบทองเป็นที่รู้จักและมีชีวิตที่ดีขึ้น
ทุกวันนี้สไบทองไม่ได้อาศัยอยู่กับผู้เป็นป้าเหมือนดังเดิม หากแต่ได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่บังเกิดเกล้าที่สถานสงเคราะห์วังทอง หลังจากภรรยาผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เหล่ากาชาด และสถานสงเคราะห์วังทองนำเธอมาอุปการะ หลังจากได้เห็นความยากลำบากของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผ่านจอโทรทัศน์ และแม้ว่าความฝันของสไบทองที่ปรารถนาจะให้แม่ซึ่งมีอาการทางจิตจดจำเธอได้ยังไม่เป็นดังหวัง แต่สไบทองก็เริ่มที่จะได้สัมผัสกับคำว่า "ความสุข" และรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ หลังจากได้มาอยู่ที่นี่ และทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนนี้พวกเขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหญิงทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นเวลาที่เด็กหญิงเล่นอยู่กับเพื่อนๆ อยู่กับแม่
"พี่กล้ากอดหนูด้วยเหรอ รู้ไหมในชีวิตนี้ไม่เคยมีใครกอดหนูเลย ทุกครั้งที่เห็นป้ากอดหลาน หนูอิจฉา
หนูอยากได้อย่างนั้นบ้าง พี่อย่าปล่อยมือนะ . . . พี่กอดหนูอย่างนี้ทุกวันได้ไหม หนูอยากให้พี่กอดอยู่อย่างนี้ ไม่อยากให้ปล่อย
เราก็เลยต้องกอดเขาก่อนนอนทุกคืน" นี่คือคำพูดจากกุ๊กไก่ อุรารัตน์ ทอกไข
นักจิตวิทยาประจำสถานสงเคราะห์วังทอง ที่ดูแลเด็กหญิงสไบทอง
ชีวิตใหม่ของ "สไบทอง" หรือ "เด็กหญิงมนัสนันท์ อิ่มกระจ่าง" ยังเป็นสิ่งที่แปลกใหม่
ความไม่คุ้นเคยในเรื่องของการกินอาหารที่บริบูรณ์ กับการนอนและตื่นที่ผิดแผกจากชีวิตประจำวันเดิมๆ
ทำให้สไบทองต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่สักพัก จนคุ้นชินในเวลาไม่นานนัก
"แรกๆ ที่มาอยู่ใหม่ๆ น้องเขาจะสะดุ้งตื่นตอนตีสามทุกคืน ลุกแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องมีเสียงนาฬิกาปลุก เพราะมันเป็นเวลาที่เขาเคยตื่นไปซื้อผักที่ตลาด ส่วนตอนเข้านอนเขาก็จะนอนไม่ค่อยหลับ
เพราะเราจะเข้านอนประมาณสองทุ่ม แต่ปกติสามสี่ทุ่ม บางทีเขายังต้องตระเวนขายผักขายปลาอยู่เลย กว่าจะได้กลับบ้านเข้านอนก็ห้าทุ่ม หรือเที่ยงคืนจึงอาจทำให้เขาไม่ชิน . . . ส่วนเรื่องการกินข้าวนี่เขาก็ไม่ค่อยกล้าตักกับตักเนื้อมากิน จำได้ว่าเราซื้อปลาราดพริกมาสองตัว
เป็นกับข้าวให้เขากินตอนกลางวัน บ่ายเรากลับมาถามเขาว่ากินข้าวหรือยัง เขาบอกว่ากินแล้ว
พอเราไปดูปรากฎว่าปลายังอบยู่เหมือนเดิม แต่น้ำที่ราดตัวปลานี่แห้ง
ต่อมากินข้าวด้วยกันเราเลยบอกเขา ของบนโต๊ะนี้กินได้ทุกอย่างไม่ผิด ไม่มีใครว่า เขาจึงกล้ากิน" คำยืนยันของเจ้าหน้าที่ที่เล่าถึงการใช้ชีวิตแห่งใหม่ของเด็กหญิงสไบทอง
ความน่ารักของเด็กหญิงสไบทองนำผลให้เธอเป็นที่รักมากขึ้น
ทั้งจากเพื่อนในโรงเรียนที่แต่ก่อนเคยรังเกียจและไม่เคยเล่นกับเธอ เหล่าคุณครูที่ให้ความเอ็นดูและช่วยเหลือเธอมาตลอด หรือแม้แต่คนปลายสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบของสไบทองอย่างไม่ขาดสาย จึงไม่ผิดนักหากจะบอกว่า สถานสงเคราะห์วังทองเป็นที่ที่สอนให้เธอได้รู้จักคำว่า "มิตรภาพ" และทำให้เธอเข้าใจคำว่า "เพื่อน" มากขึ้น จากแต่เดิมที่ไม่น้อยนักที่เธอจะได้สัมผัสกับคำคำนี้ และสถานที่แห่งนี้ยังช่วยดึงความสดใส
ร่าเริงของเธอออกมาเติมเต็มชีวิตในวัยเด็กให้สมบูรณ์ เหมือนชีวิตของเด็กคนอื่นๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีน้ำใจและความช่วยเหลือจากผู้คนที่ไม่รู้จักต่างหยิบยื่นเข้ามาให้
แต่เด็กหญิงวัยสิบสี่คนนี้ก็ ไม่ได้รู้สึกทะนงตน หรือรู้สึกว่าตัวเองดีไปกว่าคนอื่น ทุกวันนี้เธอยังคงเรียกหารถซาเล้งคันเดิม เพื่อที่จะปั่นออกไปขายผักอย่างชีวิตในอดีต ด้วยความปรารถนาที่จะนำเงินมาสร้างบ้านให้ตาผู้เป็นที่รักของเธอเอง
อีกบุคคลหนึ่งที่สไบทองประทับไว้ในใจว่าเป็นผู้มีคุณของเธอ นั่นก็คือ "ป้า" ผู้ที่เลี้ยงเธอมากว่า 8 ปี แม้ชีวิตในสมัยที่อยู่กับป้าจะไม่ได้สบายนัก แต่สไบทองก็ยังอดเป็นห่วงป้าไม่ได้ ถ้อยคำแต่ละคำที่สไบทองพูดถึงป้านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องป้าของเธอ ให้พ้นจากการถูกกล่าวหาต่อว่า
นั่นเพราะในสายตาของสไบทอง ป้าก็คือคนที่มีบุญคุณกับเธอที่สุด และเธอก็หวังที่จะให้ป้าอยู่สบาย หลายครั้งที่ผู้เป็นป้ามาชวนสไบทองกลับไปอยู่ด้วยกัน
แต่เธอก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะเด็กน้อยเห็นว่าในขณะนี้ความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ เธอหวังว่าการมาอยู่ที่นี่จะทำให้แม่หายเร็วขึ้น และเป็นดังเดิมในอีกไม่นาน
ถึงแม้สไบทองมีภาพความทรงจำระหว่างเธอกับแม่ไม่มากนัก แต่เธอยังรักและผูกพันกับแม่ . . . เท่าที่จำได้ในช่วงชีวิตวัยเด็ก ตอนเย็นแม่จะพาเธอออกไปเดินเล่นตามรางรถไฟ โดยไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทาง ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการทักทาย ไม่มีประโยคอื่น มีเพียงบทเพลงที่ร้องจากปากแม่ และสายตาที่เหม่อลอยของแม่ ใครที่เห็นเขาจะบอกว่า
คนบ้าพาเด็กเที่ยว บางที่แม่จะพาสไบทองไปขึ้นรถโดยสาร แต่พอแม่ไม่มีตังค์จ่าย เขาก็จะไล่แม่และสไบทองลงจากรถ ตอนนั้นเธอและแม่เปียกทั้งคู่เลยทีเดียว
แรกเริ่มที่สไบทองมาหาแม่ ก็มาเพื่อเอาการ์ดที่เขียนและทำเองด้วยสองมือกับหนึ่งหัวใจมามอบให้ เธอเองมิได้ล่วงรู้ว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาใช้ชีวิตกับแม่อีกครั้งเหมือนในตอนเป็นเด็ก แม้เธอจะรับรู้สัมพันธภาพอยู่เพียงฝ่ายเดียวเนื่องจากผู้เป็นแม่ไม่รู้ว่าลูกเป็นลูก
แต่ผู้เป็นลูกกลับรับรู้ว่าแม่เป็นแม่และรู้สึกอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้ชิด และการที่แม่ไม่รับรู้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนักสำหรับเธอ
เพราะสิ่งที่เธอหวัง คือ การได้อยู่ใกล้ๆ คนที่เธอรัก โดยที่คนคนนั้นไม่ตอบแทนความรักของเธอด้วยการเหยียบย่ำ ทำร้าย เท่านี้ก็มากเกินพอแล้วสำหรับคำว่าความสุขที่เธอได้รับ
ในช่วงที่ลมพายุพัดกระหน่ำใส่เด็กหญิงตัวเล็กๆ
จนแทบจะไม่มีแรงยืน แต่สไบทองก็ยังสามารถยืนหยัดต่อสู้กับลมฝนนั้นอย่าง
ไม่หวาดหวั่น
ณ วันนี้ ลมพายุกำลังค่อยๆ พ้นผ่านไป
ด้วยความเชื่อมั่นว่าฟ้าหลังฝนของเธอก็คงจะสดใสพร้อมๆ กับรอยแผลในความทรงจำ
ที่จะลบเลือนหายไปตามกาลเวลา
ว่าแล้ว... เรามาร่วมเป็นกำลังใจให้สไบทอง
เด็กหญิงหัวใจแกร่ง มีชีวิตที่สดใสขึ้นทุกวันๆ กันดีกว่า... สู้ๆๆๆๆๆๆๆcredit
http://hilight.kapook.com/คลิป สไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำ ตอนที่ 2
http://www.dailymotion.com/swf/kEoygyECpwX0BdLREN&related=1&canvas=mediumสไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำ ตอนที่ 3
http://www.dailymotion.com/swf/k3EQVU8i0FhHYBLRP5&related=1&canvas=medium สไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำ ตอนที่ 4
http://www.dailymotion.com/swf/k6xu6sfV4s3v3lLRH5&related=1&canvas=mediumสไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำ 2 part1
http://www.youtube.com/v/EsofiWbhqg0&hl.swfสไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำ 2/2
http://www.youtube.com/v/nNPPxpwpcoA&hl.swfสไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำ ตอนที่ 2/3
http://www.youtube.com/v/BsdzISnGTYo&hl.swf สไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำ ตอนที่ 2/4
http://www.youtube.com/v/8FNj4m5GqAw&hl.swfสไบทอง เด็กหญิงหัวใจทองคำ
ดีใจกับน้องด้วยน๊ะ
...ได้เห็นรอยยิ้มที่น่ารักของน้องอีกครั้งหนึ่ง
ยังมีเด็กที่ตกทุกข์แบบน้อง สไบ อีกมากในสังคม
ที่ดิ้นรนกันแบบนี้