Credit :
http://www.chaloke.com/article/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8Dวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าการออกพระราชกำหนดทางด้านการเงินของรัฐบาลไม่ผิดกฏหมาย
ตุลาการศาล รธน.มีมติเป็นเอกฉันท์ การออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการน้ำ
และสร้างอนาคตประเทศ ของรัฐบาลไม่ขัด รธน. มาตรา 184 วรรค 1 และ วรรค 2
ส่วน พ.ร.ก.เงินกู้ช่วยกองทุนฟื้นฟูฯ มีมติ 7 ต่อ 2 ไม่ขัด รธน.เช่นกัน
นี่คือส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามที่ลุงได้ทำนายเอาไว้
สงครามระหว่างนักการเมืองกับประชากรโลก ผู้ชนะคือนักการเมือง
แต่จะชนะบนความหายนะของโลก เป็นชัยชนะที่พ่ายแพ้กฏแห่งกรรม
นักการเมืองในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบทุนนิยมสามานย์
จะถูกซื้อตัวให้ออกกฏหมายเอื้อประโยชน์นายทุนเจ้าของพรรค
งานต่อไปคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้นักการเมืองได้อำนาจเบ็ดเสร็จ
ทั้งอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ
การกู้หนี้ยืมสินจะเพิ่มขึ้นอีก นักการเมืองใช้เงินทุจริตกันมากมาย
ประชาชนเป็นหนี้ทั้งชาติ เหมือนที่ Greece เป็นอยู่ในขณะนี้
ข่าวจาก Greece จะถือเป็นข่าวดีก็ได้ กลุ่มประเทศ Euro zone ตกลงให้เงินช่วยเหลือ
เป็นข้อสรุปที่ชัดเจนว่า ถ้าปกครองด้วยความเลว ทำประเทศให้ล่มสลาย
ประเทศอื่นต้องเข้ามาช่วย ต่อไปจะมีการล่มสลายจากประเทศต่างๆตามมา
และในที่สุด ผู้ที่จะช่วยเป็นคนสุดท้ายคือประชาชนทั้งโลก
ช่วยโดยการยินบอมให้ลดค่าเงินที่ทุกคนถืออยู่ ขาดทุนทั้งโลก
กำไรเฉพาะกลุ่มคนเลว โลกเป็นอย่างนี้แน่นอน
ประชาชนทั้งโลกจะต้องยากจนลงแน่นอน
เราสามารถดูค่าของเงินได้จากการเปรียบเทียบกับค่าของทองคำ
ค่าของเงิน $252.5 สามารถซื้อทองคำได้ 1 Troy ounce ในปี 1999 เวลา 13 ปีมานี้เอง
วันนี้ต้องใช้เงินสูงถึง $1725.9 เพื่อซื้อทองคำในปริมาณเท่ากัน ทองคำแพงขึ้นกว่า 583%
หรือเมื่อเอาค่าของเงินเป็นหลัก เงิน $1.0 เคยซื้อทองคำได้ 0.003909 Troy ounces
วันนี้ซื้อได้เพียง 0.0005741 Troy ounces ค่าของเงินหายไป 85.31%
ประชาชนทั่วโลกยากจนลง 85.31%
ตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา ในปี 1999 อยู่ที่ 1300 วันนี้ก็ยังคงอยู่ที่ 1300
แสดงว่าหลักทรัพย์ของอเมริกาลดค่าลง 85.31%
สมแล้วที่ประชาชนทั้งโลกจะได้นักการเมืองเลวๆขึ้นมาปกครอง
ประชาชนส่วนใหญ่โง่ และเห็นแก่ตัว
เห็นแก่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่มีความรักชาติรักแผ่นดิน เลือกตั้งครั้งใดก็เลือกแต่คนเลวบัดซบเข้ามาเป็นใหญ่
สมแล้วที่ต้องเดือดร้อนกันไปทั้งโลก
ทหารที่ประชาชนจ้างมารักษาประเทศก็เก่งอย่างเดียว
คือโง่เก่ง ข้าราชการก็เก่ง ทุจริตเก่ง การยกแผ่นดินนี้ให้เขาไปเลยอาจจะเป็นทางออกที่ดีก็ได้นะ
คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าสถานะการณ์ขณะนี้อีกแล้วในแผ่นดินของเรา
ถามลูกชายคนโต (คนที่เขียน CDCDL สำหรับ download ข้อมูลให้ชมรม)
ว่าในมุมมองของเขา บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรบ้าง
เขายกตัวอย่างธุรกิจสัมปทานแรกของทักษิณ นั่นคือโทรศัพท์
พร้อมทั้งคำอธิบายว่าทำไมวันนี้ระบบโทรศัพท์ของเราจึงล้าหลังกว่าเขมร
เมื่อปลายปี 2553 ผมได้คาดการไว้ว่าประเทศไทยจะไม่มีระบบมือถือ
ยุคที่สามหรือที่เรียกกันว่า 3G โดยทั่วไปไปอย่างน้อยอีกสามปี
ตอนนี้เวลาได้ผ่านไปสองปีแล้วและระบบเครือข่าย 3G นั้นยังกระท่อนกระแท่น
อยู่โดยใช้ระบบมาตราฐานแปลกๆ ไร้ทั้งบริเวณครอบคลุมและสมรรถภาพ
หลายคนยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
การที่จะเข้าใจนั้นต้องให้นั่งเรียนประวัติศาสตร์ซักพักหนึ่ง
ก่อนที่จะเจาะลึกไปที่ปัญหาของแต่ละเครือข่ายต่อๆไป
หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่าแปรสัญญาสัมปทาน แต่อีกหลายคนก็ไม่เข้าใจ
ประเทศส่วนใหญ่ในโลกได้เปลี่ยนถ่ายระบบมือถือและระบอบการกำกับดูแลไปเป็นสามยุค โดยประมาณ
ระบบมือถือแรก ๆ ในประเทศไทย หรือในประเทศตะวันตกก็ตาม
เป็นระบบวิทยุ Analogue หรือ 1G ส่วนใหญ่จะดำเนินการโดยทางภาครัฐเอง
ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน โดยการสื่อสารแห่งประเทศไทยและองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
เป็นผู้ให้บริการในระบบ AMPS 800 และ NMT 470 โดยลำดับ
จากการที่รัฐลงทุนเอง ทุกๆประเทศก็ออกเป็นระบบสัมปทาน คือ
ให้ภาคเอกชนลงทุนโดยมีการแบ่งกำไรกัน ประเทศไทยก็เช่นกันโดยระบบ GSM 900 นั้น
ทางองค์การโทรศัพท์ได้ให้สัมปทานให้กับบริษัท AIS ของกลุ่มชิน
แล้วทางการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้ออกสัปทานให้กับทาง Total Access Communications
สำหรับ GSM1800 และต่อมา ได้ออกอีกให้กับบริษัท DPC และ TA-Orange หรือ TrueMove ในปัจจุบัน
สัมปทานนั้นเป็นสัญญาชนิด Build-Transfer-Operate กล่าวคือ
ทางเอกชนที่ร่วมทุนนั้นจะต้องสร้างเครือข่าย ถ่ายโอนกรรมสิทธ์ในทรัพย์สินให้กับทางผู้ให้สัมปทาน
แล้วค่อยใช้เครือข่ายนั้นดำเนินธุรกิจโดยแบ่งรายได้ให้กับทางผู้ถือสัมปทาน
การแบ่งได้เริ่มจากไม่เท่าไหร่
จนวันนี้บริษัทส่วนใหญ่ต้องแบ่งรายได้และขอเน้นว่ารายได้
ไม่ใช่กำไร ให้กับทางการถึงร้อยละ 30ปัญหาของระบบสัมปทานมีหลายอย่าง การแบ่งกำไรให้กับรัฐถึงร้อยละสามสิบของรายได้นั้น
ก็เสมือนหนึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมมหาศาล การที่ต้องโอนทุกอย่างให้กับทางผู้ถือสัมปทานก่อนนั้น
ก็ทำให้ขาดความคล่องตัว ไม่สามารถปรับปรุงเครือข่ายได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ถือสัมปทาน
ประเทศส่วนใหญ่ได้มีการทำสิ่งที่เรียกกันว่าแปรรูปสัญญาสัมปทานแล้วออกใบอนุญาต
ประเทศไทยยังติดอยู่ที่ตรงนี้ ทำให้ไม่มีใครอยากลงทุนในเครือข่ายอย่างแท้จริง
ทำให้ประเทศหยุดอยู่กับที่โดยสังเขบนั้นการแปรสัญญาสัมปทานจะกระทำโดยการที่ทางรัฐฯ
และทางผู้ร่วมลงทุนเอกชนจะมานั่งเจรจากัน แล้วตกลงจำนวนเงินที่ทางเอกชนต้องจ่าย
เพื่อซื้อตัวเองออกจากสัญญาสัมปทานแล้วออกใบอนุญาตให้แทน
ใบอนุญาตนั้นจะให้อิสระและอำนาจกับบริษัทโทรคมมากกว่าสัญญาทาสแห่งระบบสัมปทาน
โดยทั่วไปบริษัทสามารถที่จะเป็นเจ้าของเครือข่ายเอง และจ่ายค่าใบอนุญาตน้อยกว่ามาก
ในกรณีประเทศไทย การจ่ายส่วนแบ่งรายได้สัมปทานนั้นตอนนี้อยู่ที่ร้อยละ 30
ในเวลาที่ใบอนุญาตที่เกือบได้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วก่อนที่ศาลจะสั่งระงับการประมูลนั้นมีค่าใบอณุญาติเพียงร้อยละ 6
การที่ประเทศไทยไม่สามารถก้าวไปข้างหน้านั้น ก็มีที่มาจากระบบสัมปทานนี้เอง
ส่วนแบ่งรายได้ปีหนึ่ง ๆ นับแสนล้าน เป็นชิ้นปลามันที่ทำให้นักการเมือง ข้าราชการ
และผู้บริหารของของรัฐวิสาหกิจต่างหาเรื่องไปเรื่อยๆ
ไม่ยอมให้ระบบนี้ยุติลง
เสมือนหนึ่งเป็นยาเสพติด ไม่มีใครอยากให้มันหมดไปทางของรัฐวิสาหกิจก็อ้างว่าเป็นรายได้ที่จัดส่งให้รัฐฯ เป็นงบประมาณที่ใช้พัฒนาประเทศ
แต่หากดูแล้วที่แท้จริงเป็นงบที่เขาผลาญไปเกือบหมดเหลือแค่เศษส่งให้คลัง
หากดูงบปลายปีของทีโอที (ชื่อใหม่ขององค์การโทรศัพท์)
หากลบส่วนแบ่งรายได้ออกไป ก็ไปไม่รอด ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้
พูดอีกนัยหนึ่ง การที่ข้าราชการ นักการเมือง ผู้นำประเทศ สามารถที่จะคงไว้ซึ่งระบบสัมปทาน
ก็คือการคงไว้ซึ่งขุมทรัพย์นับแสนล้านต่อปีให้แบ่งกันไป
ประเทศจะมีระบบเครือข่ายโทรคมเพื่อให้เกิดการดำเนินการธุรกิจแล้วก่อให้เกิดรายได้โดยรวม
หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ทำไมคนหมื่นกว่าคนจึงรับผลประโยชน์ในคลื่นความถี่ของคนทั้งชาติ
ทำไมคนหมื่นกว่าคนจึงสามารถสำราญกับภาษีที่ขูดรีดจากคนอีก 65 ล้านคนได้ฝรั่งเขาก็ได้แต่หัวเราะและบ่นพอเป็นพิธี
บ่นที่ทำงานไม่สดวกแต่ก็หัวเราะที่คนไทยโง่
ปากว่าเป็นการนำเงินไปพัฒนาประเทศ
แต่ที่แท้ก็มีคนเสวยสุขจากเงินนี้โดยไม่มีใครรู้ว่าเงินหายไปไหนทางออกที่คนในวงการได้หวังคือพรบจัดสรรค์คลื่นความถี่
และองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับที่คลอดออกมาในนามว่า
คณะกรรมการสื่อสารและโทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งจะไว้อธิบายต่อไปในภายหน้า
หุ้นในกลุ่ม ICT เพิ่มค่าขึ้น 168% จากปี 2008 ที่ 48.72 มาเป็น 130.88 ในวันนี้
โลกนี้เลวลงทุกวัน เราอยู่ในสังวัฏกัล์ป
โลกจะเลวลงอีกเรื่อยๆตามพุทธทำนาย คนเลวจะมีอำนาจมากขึ้นอีก
แต่พวกเราต้องมีสติพิจารณาให้ดีว่า
แม้แต่ขี้ (อุจจาระ) ยังมีประโยชน์เอามาทำปุ๋ยได้ หน้าที่ของเราไม่ใช่การไปแก้ไขให้โลกเป็นอย่างอื่นนอกจากที่มันเป็นไปอยู่ในขณะนี้ตามวิบากกรรม
แต่อยู่กับโลกนี้แหละ ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นประโยชน์
ถ้าเราเอาขี้ไปหมักทำปุ๋ย ขี้ก็มีประโยชน์
แต่ถ้าเราคิดผิด เอาขี้มาทาตัวแทนน้ำหอม
เราจะไปโทษใครนอกจากความไม่รู้ของตัวเอง
ถ้ามีขี้มาก ผู้ฉลาดก็มีปุ๋ยมาก
คนเขลาก็บ่นว่าเหม็นเมื่อเอาขี้มาทาตัว
ในโลกที่เห็นแก่ตัวและเต็มไปด้วยคนเลวนี้
ระบอบเศรษฐกิจพอเพียงเป็นสิ่งที่ให้ผลกำไรเหมาะสมที่สุด
เราต้องรู้ Limitation ของทุกระบบ
ไม่มีระบบใดที่ดีเลิศประเสริษฐศรีไปทุกๆด้าน
ทุกระบบมีกำลังของมันเอง โดยประมาณอยู่ที่ 10% ถึง 15%
ถ้าใครมีสติ มีปัญญา ก็ใช้ระบบหากำไร 10% ถึง 15%
ก็จะได้ผลกำไรตามความปรารถนา
แต่ถ้าใครต้องการเกินกำลังของระบบ เช่นต้องการ 100% ถึง 1000%
เขาก็ต้องผิดหวังและขาดทุน เพราะไม่รู้จักใช้ระบบให้เหมาะสม
เหมือนเอาขี้มาทาตัวแล้วบ่นว่าไม่หอมเหมือนน้ำหอม
หรือเอาน้ำหอมราคาแพงไปรดต้นไม้
แล้วบ่นว่าไม่งามเหมือนเอาขี้เอาเยี่ยวมาใส่ สติคือเหตุและปัจจัยให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นฐานของปัญญา
คนฉลาดควรฝึกสติ ทำที่เหตุ ไม่ใช่ฝึกสมาธิ
ไปพยายามทำที่ผล ทำให้วุ่นวายเปล่าๆ และไม่สำเร็จ
การมีสติอยู่กับความ พอเพียง
ด้วยบารมีแห่งทานที่พวกเราร่วมกันสร้าง
คือทางแห่งความมั่งคั่งที่แท้จริง