ค้นคว้ามาจากทุกเว็บไซต์ที่พอหาได้ครับ
http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=4953ทำแล้วรถเก๋งไฟฟ้า กินไฟ กม.ละ 2 สลึง
ปัญหาที่คนไทยได้รับจากวิกฤติน้ำมันแพง ข้าวของแพง ค่าโดยสารแพง ค่าครองชีพประจำวันแพง ประเทศชาติต้องสูญเสียเงินนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง จากต่างประเทศมากมายมหาศาล
ต้นตอหลักไม่ได้มาจากกลไกตลาดโลกอย่างเดียว
นักการเมือง ผู้บริหารประเทศไทย เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้คนไทยต้องเผชิญกรรมยุคข้าวยากหมากแพง
ปรากฏการณ์น้ำมันขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพิ่งเกิดแค่ในช่วงปีสองปี หากเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปี เกือบ 10 ปีเข้าไปแล้ว
แต่นักการเมืองผู้กำหนดนโยบายของประเทศ ไม่เคยมีความจริงใจในการหาพลังงานอย่างอื่น มาทดแทนการใช้น้ำมันได้อย่างเป็นรูปธรรมใดๆ สิ่งที่พอเห็นจับต้องได้ก็มีบ้างแค่แก๊สโซฮอล์ สำหรับรถยนต์เติมเบนซิน...ซึ่งก็ช่วยได้ไม่มาก ได้แค่ 10% เท่านั้น
คนไทยยังต้องพึ่งน้ำมันจากต่างประเทศอีกมาก
ไบโอดีเซลไม่ต้องพูดถึง...นักการเมืองได้แค่พูดสร้างฝันไปวันๆ เรื่องจริงยังไม่ถึงฝั่งฝันในทางปฏิบัติ
ถ้านักการเมืองไทยมีวิสัยทัศน์ มีความจริงใจ การหาพลังงานอื่นมาทดแทนน้ำมันเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนของประเทศไทยนั้น...ไม่ใช่เรื่องยาก เกินความสามารถของคนไทยแต่อย่างใดเลย
เพียงแต่ขอให้นักการเมืองเสียสละ ลดประโยชน์ส่วนตนหันมาสนับสนุนผลประโยชน์ของ ประเทศชาติประชาชนมากขึ้น
วันนี้คนไทยกำลังเดือดร้อนเงินค่าน้ำมันรถยนต์ส่วนตัว คิดเฉลี่ยแล้วเฉียดกิโลเมตรละ 3 บาท
แต่ด้วยความสามารถของคนไทย วันนี้คุณสามารถขับรถยนต์ ส่วนตัว เสียค่าใช้จ่ายพลังงานแค่กิโลเมตรละ 50 สตางค์เท่านั้น
ประหยัดเงินค่าน้ำมันได้ถึง 83 เปอร์เซ็นต์
นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นเรื่องจริง พล.อ.ท.มรกต ชาญสำรวจ อดีตเจ้ากรมสรรพาวุธทหารอากาศ ผู้ประดิษฐ์จรวดเห่าฟ้า อันลือลั่นเมื่อปี 2523 ได้คิดประดิษฐ์และผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่มีคุณสมบัติ รถวิ่งได้ 1 กม.เสียค่าไฟฟ้า 50 สตางค์
นี่ไม่ใช่เพิ่งคิดประดิษฐ์ได้เมื่อไม่กี่วัน ทำสำเร็จมาตั้งแต่ปี 2546 โน้นแล้ว...
ทำครั้งแรกเพื่อการศึกษาวิจัยให้กับสภาวิจัยแห่งชาติ โดยนำตัวถังของรถยนต์คันเล็กๆ ยี่ห้อไดฮัทสุ รุ่นมิร่า มาทดลองทำเป็นรถยนต์ไฟฟ้า โดยไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแม้แต่หยดเดียว
ช่วงนั้นน้ำมันแพงแล้ว พล.อ.ท.มรกตบอก
หลังความสำเร็จปี 2547 ผมเริ่มผลิตเพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป โดยปรับปรุงรูปแบบรถยนต์เสียใหม่ ให้สวยกว่าเดิม ออกมามีหน้าตาเหมือนอย่างรถฝรั่งที่เรียกว่ารถมินิคูเปอร์ ขนาด 2 ที่นั่ง เพื่อให้เหมาะกับสภาพการใช้งานในเมืองหลวงที่การจราจรติดขัด
แต่เมื่อผลิตออกมาแล้วกลับมีปัญหาเรื่องการขอจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของอดีตเจ้ากรมฯ เลยต้องชะงัก
ประเทศไทยยังไม่มีกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้า จึงไม่ ยอมอนุญาตให้รถไฟฟ้าวิ่งบนถนน ต้องใช้เวลาศึกษาข้อกฎหมาย
กรมการขนส่งทางบกตรวจสภาพทดสอบอยู่ปีเศษ กว่าจะจดทะเบียนได้
เงื่อนไขหนึ่งของกรมการขนส่งทางบก รถที่จะจดทะเบียนจะต้องผลิตได้หลายพันคัน ชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ผู้ผลิตต้องทำได้เอง การผลิตรถยนต์แบบมินิคูเปอร์ของเราจึงมีปัญหา เพราะชิ้นส่วนหลายอย่างเราไม่สามารถผลิตได้
เปลี่ยนมาผลิตรูปทรงรถแบบใหม่ รูปทรงเป็นเหลี่ยม แบบเดียวกับรถจี๊ปโฟล์กสวาเกนขนาดเล็ก คล้ายรถที่ใช้ในการตรวจพลสวนสนามในพิธ ีถวายสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามของหน่วยทหารรักษาพระองค์ รถแบบนี้ชิ้นส่วนเราผลิตได้เอง
รถยนต์ไฟฟ้าขนาด 4 ที่นั่ง ยี่ห้อ C-FEE รุ่น Super Jaab จึงเป็นรถไฟฟ้าคันแรก ที่สามารถจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก... มีป้ายทะเบียนสามารถวิ่งบนถนนได้ เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
รถไฟฟ้าคันแรก...นี้ วิ่งได้เร็ว 60 กม.ต่อชั่วโมง ความจริง พล.อ.ท.มรกต สามารถผลิตให้วิ่งเร็วถึง 80 กม.ต่อชั่วโมง แต่ตำรวจขอให้วิ่งแค่ 60 กม.ต่อชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยเพราะเป็นรถที่เหมาะกับการขับขี่ในเมือง...วิ่งไปไหนไกลไม่ได้
เสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง จะวิ่งได้ไกลประมาณ 80 กม. เสียค่าไฟประมาณ 40 บาท
รถยนต์ไฟฟ้าของไทยวิ่งได้ไกลแค่นี้ไม่ต้องตกใจ วิ่งได้แค่ 80 กม.นั้นเฉพาะในกรณีที่ขับรวดเดียว เหยียบคันเร่งตลอดเวลา ถ้าวิ่งในเมืองจริงๆ อาจวิ่งได้ไกลกว่า 100 กม. เพราะวิ่งในเมือง ตลอดเวลารถต้องวิ่งแล้วหยุด
การวิ่งแล้วหยุด แบตเตอรี่สามารถฟื้นฟูพลังงานได้ พล.อ.ท.มรกต ยกตัวอย่างเปรียบเทียบการทำงานของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าว่าเหมือนกับนักฟุตบอล
ถ้าปล่อยให้นักฟุตบอลวิ่งตลอดเวลาไม่ให้หยุด นักฟุตบอลจะวิ่งได้ไม่นานก็จะหมดแรง แต่ถ้าให้วิ่งบ้างเดินบ้างหยุดบ้าง นักฟุตบอลก็จะมีแรงวิ่งได้ครบ 90 นาที
แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าก็เหมือนกัน วิ่งไม่หยุดไม่มีพัก ก็ได้แค่ 80 กม. แต่ถ้าวิ่งแล้วหยุดรอไฟแดง หยุดตอนรถติด รถจะวิ่งไปไกลกว่านั้น...เหมาะกับสภาพการใช้งานของคนเมืองที่ขับไปทำงานแล้วขับกลับบ้าน ระยะทางไปกลับไม่เกิน 100 กม.
นอกจากจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแล้ว ยังช่วยลดมลพิษให้กับสังคมเมืองอีกด้วย
แค่นั้นไม่พอ ความสามารถของคนไทยในเรื่องช่วยชาติลดการพึ่งพาน้ำมัน อย่าง พล.อ.ท.มรกต ล่าสุด ยังได้คิดประดิษฐ์เรือโดยสารขนาด 20 ที่นั่ง โดยไม่ต้องเติมน้ำมันให้กับสภาวิจัยแห่งชาติ
เป็นเรือใช้พลังงานแสงอาทิตย์บวกผสมกับพลังงานไฟฟ้า แบบเดียวกับรถยนต์ เพื่อใบพัดที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าจะได้ช่วยทำหน้าที่วิ่งตัดคลื่น เร่งความเร็วและเดินหน้าถอยหลังตอนจอด
เป็นเรือที่แล่นแล้วเงียบ ไม่มีเสียงดัง ไร้ควันมลพิษ เพื่อนำไปใช้ในการท่องเที่ยวชมนกชมไม้ ชมหิ่งห้อย ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่สร้างปัญหาเสียงดังจนนกหนูบินหนี ควันเครื่องยนต์รมนักท่องเที่ยวเหมือนเรือทั่วไป
เรือลำนี้แล่นทั้งวันเปลืองค่าชาร์จไฟฟ้าวันละ 70 บาท เพราะได้ ออกแบบให้ท้องเรือมี 2 ท้อง ที่เรียกกันว่า ท้องเรือแบบ CANTAMARAN เพื่อลดแรงเสียดทาน ที่ทำให้เปลืองพลังงาน
ในขณะที่เรือใช้น้ำมันดีเซลขนาดนี้ แล่นทั้งวัน ปีหนึ่งต้องใช้ น้ำมันดีเซล 40,000 ลิตร ราคาน้ำมันตอนนี้ปีหนึ่ง...ก็ล้านกว่าบาท
ผลิตในขั้นการทดลองหมดเงินไป 3 ล้านบาท แต่ถึงตอนนี้ผลิตนำมาใช้งานจริงๆ ราคาเรือจะตกแค่ 1.5 ล้าน นำไปใช้แค่ปีกว่าๆก็คุ้มเงินค่าน้ำมัน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็นว่า คนไทยนั้นมีฝีมือ มีความสามารถที่จะประดิษฐ์คิดค้น หาพลังงานอย่างอื่นมาทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้
เพียงแต่ภาครัฐ นักการเมืองผู้กำหนดนโยบายมีวิสัยทัศน์ มีความจริงใจ ส่งเสริมให้เป็นจริงในทางปฏิบัติอย่างแพร่หลายเท่านั้นเอง
ไม่ต้องอะไรมาก แค่อดีตท่านเจ้ากรมผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ราคา 4 แสนบาท ที่ช่วยให้ประเทศชาติลดการพึ่งพาน้ำมันได้ แทนที่จะมีการสนับสนุนให้มีการผลิตเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อช่วยประเทศชาติลดการนำเข้าน้ำมัน และลดมลพิษทั้งทางเสียงและอากาศ
แต่กลับมีปัญหา มีเสียงกระซิบว่า...ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาอย่างนี้ ไม่เกรงจะไปกระทบกับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของต่างชาติ ที่นักการเมืองไทยมีผลประโยชน์อยู่หรือ
นี่แหละอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ...ที่ทำให้คนไทยต้องเดือดร้อนเพราะน้ำมันแพง.