หัวข้อ: ปลูกปาล์มน้ำมัน เริ่มหัวข้อโดย: คนเกษตร ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2016, 11:51:25 am (http://upic.me/i/rr/4palm.jpg)
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับปาล์มน้ำมัน ปริมาณน้ำฝน ปาล์มน้ำมันชอบสภาพภูมิอากาศที่มีฝนตกชุกและสม่ำเสมอตลอดปี ความชื้นสูง แสงแดดจัด พื้นที่ทางภาคใต้ส่วนใหญ่จึงเหมาะสมเนื่องจากมีการกระจายของน้ำฝนสม่ำเสมอ ประมาณ ๑,๘๐๐ - ๒,๐๐๐ มม./ ปี และจะต้องไม่มีสภาพแล้งเกิน ๓ เดือน ปัจจัยที่สำคัญในการเลือกพื้นที่ปลูกต้องคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ สภาพดิน และการขนส่งด้วย อุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ในช่วง ๒๕ -๒๘0 ปริมาณแสงแดดอย่างน้อย วันละ ๕ ชั่วโมง และมีความชื้นสัมพันธ์ของอากาศในรอบปี ไม่ต่ำกว่า ๗๕% สภาพดินที่เหมาะสม คือ ดินร่วนเหนียวถึงดินเหนียว มีความลึกของชั้นหน้าดินมากกว่า ๗๕ ซม. อุ้มน้ำได้ดี มีธาตุอาหารสูงมีความเป็นกรดอ่อน pH๔.๐ ๖.๕ สูงกว่า ระดับน้ำทะเลไม่เกิน ๕๐๐ เมตรมีความลาดชันไม่เกิน ๑๒% ปริมาณแสงแดด โดยทั่วไปปาล์มน้ำมันต้องการแสงแดดอย่างน้อย ๕ ชั่วโมง หรือประมาณ ๑๘,๐๐๐ ชั่วโมงต่อปีถ้าปลูกปาล์มในสถานที่มีร่มเงา หรือปลูกในสภาพชิดกันเกินไป จะทำให้การสะสมน้ำหนักและการผลิตช่อดอกเพศเมียลดลง ทำให้ผลผลิตลดลง การขนส่ง การขนส่งผลผลิตทะลายปาล์มน้ำมันสู่โรงงานมีความสำคัญไม่น้อย ผลผลิตทะลายปาล์มน้ำมันอย่างรวดเร็ว (ไม่ควรเกิน ๒๔ ซม.) ควรมีพื้นที่ปลูกปาล์มห่างจากโรงงานสกัดไม่เกิน ๑๒๐ กม. และมีพื้นที่ทำการขนส่งได้สะดวก สภาพแวดล้อม เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การปลูกปาล์มน้ำมันได้รับผลสำเร็จ เมื่อพิจารณาสภาพภูมิอากาศข้างต้นแล้ว เกษตรกรควรพิจารณาศักยภาพของพื้นที่เหมาะสม โดยการตรวจสอบพื้นที่ก่อนปลูก ปาล์มน้ำมันเสียก่อนโดยสอบถามจากสำนักงานเกษตรจังหวัดและสำนักงานเกษตรอำเภอ ในพื้นที่ที่ปลูกปาล์มน้ำมันว่าเหมาะสมหรือไม่ เมื่อพื้นที่เหมาะสมควรปลูกปาล์มน้ำมันทันที หากพื้นที่ไม่เหมาะสมควรปลูกปาล์มน้ำมันทันที หากพื้นที่ไม่เหมาะสมควรปลูกพืชชนิดอื่น หากปลูกปาล์มน้ำมันไปแล้ว ควรพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือเปลี่ยนชนิดของพืชในลำต้นต่อไป พันธุ์ปาล์มน้ำมัน พันธุ์ดูร่า (Dura) มีชั้นนอกของเปลือกให้น้ำมันร้อยละ ๓๕ - ๖๐ ของน้ำหนักผลปาล์มทั้งหมด พันธุ์ปาล์มน้ำมันดูร่าที่ดีพบในแถบตะวันออกไกลซึ่งน้ำมันต่อทะลายประมาณ ร้อยละ ๑๘ - ๑๙.๕ กะลาหนาปานกลาง ๒ - ๘ มิลลิเมตร หรือร้อยละ ๒๕ - ๓๐ ของน้ำหนักผล และมีเปลือกชั้นนอกหนา ๒๐ - ๖๐ มิลลิเมตร ปาล์มน้ำมันดูร่าที่มีกะลาหนามาก ๆ ๔ - ๘.๕ มิลลิเมตร หรือร้อยละ ๕๐ ของน้ำหนักผล มีส่วนเปลือกนอกบาง พันธุ์ดูร่านี้ใช้เป็นแม่พันธุ์สำหรับผลิตลูกผสมพันธ์เทเนอร่า พันธุ์พิสิเฟอร่า (Pisifera) มีกะลาบางมาก เปลือกหนากว่าพันธุ์ดูร่าประมาณ ๕ - ๑๐ มิลลิเมตร) เมล็ดในเล็ก มีข้อเสียคือ ขนาดของผลเล็ก ช่อดอกตัวเมียเป็นหมัน และมีการผลิตทะลายต่อต้นจำนวนต่ำ ดังนั้นจึงเป็นพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะปลูกเป็นการค้า ปัจจุบันใช้พันธุ์นี้เป็น พ่อพันธุ์สำหรับผลิตพันธุ์ผสมเทเนอร่า พันธุ์เทเนอร่า (Tenera) คือพันธุ์ที่แนะนำให้ปลูกเป็นพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ดูร่ากับพันธุ์พิลิเฟอ ร่าใช้พันธุ์ดูร่าเป็นพันธุ์แม่ และพันธุ์พิสิเฟอร่าเป็นพันธุ์พ่อเข้าด้วยกัน (DXP) พันธุ์เทเนอร่ามีกะลาบาง (๐๕ - ๔ มิลลิเมตร) และมีน้ำหนักต่อทะลายประมาณร้อยละ ๒๒ - ๒๕ มีทะลายดกกว่าพันธุ์ดูร่า เนื่องจากพันธุ์เทเนอร่ามีคุณสมบัติดีคือมีกะลาบางได้น้ำมันจากส่วน เปลือกชั้นกลางมากกว่าพันธุ์ดูร่าประมาณ้ร้อยละ ๒๕ จึงมักนิยมปลูกเป็นการค้า ลักษณะผลผลิตสีดำ เมื่อสุกเปลือกนอกมีสีส้มแดง กะลาบาง ให้น้ำมันปาล์มสูง การเตรียมพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ก่อนปลูกปาล์มน้ำมัน ต้องมีดารเตรียมพื้นที่ก่อนปลูกอย่างน้อย ๑ ปี และควรทำให้ช่วงฤดูแล้ง ประมาณเดือนธันวาคม เมษายน ควรแบ่งพื้นที่ให้เป็นแปลงย่อย เพื่อให้ปฏิบัติได้ง่ายและสะดวก แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนพื้นที่และแรงงานด้วย การโค่นต้นไม่หรือถางป่า โดยใช้เครื่องมือตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ตามความเหมาะสม เคลื่อนย้ายต้นไม้ออกหรือเผา แล้วปรับสภาพพื้นที่ และพิจารณาการทำถนน การระบายน้ำ รวมถึงการวางแนวระยะปลูกด้วย เมื่อพิจารณาพื้นที่ส่วนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว จึงไถครั้งแรกด้วยไถแบบ ๓ จานจำนวน ๓ ครั้ง ห่างกันประมาณ ๒ สัปดาห์ แล้วไถด้วยไถแบบ ๗ จาน จำนวน ๑ ครั้ง หลังจากนั้นฉีดพ่นด้วยสารเคมีประเภทดูดซึม เช่น ราวอัพ เพื่อกำจัดวัชพืชครั้งสุดท้ายก่อนปลูก การสร้างถนนและทางระบายน้ำ ถนนในสวนปาล์มน้ำมันเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อเข้าปฏิบัติงานการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว และควรมีทิ้ง ๒ ประเภท คือ ๑.ถนนใหญ่ ความกว้างประมาณ ๖ เมตร และควรมี ๒ สาย ต่อ ๑ แปลงใหญ่คือด้านหน้าและด้านหลังแปลง ควรอยู่ห่างกันไม่น้อยกว่า ๑ กิโลเมตร ๒.ถนนเข้าแปลง เชื่อมจากถนนใหญ่ เพื่อขนส่งวัสดุการเกษตรและผลผลิตในสวนปาล์มน้ำมัน ความกว้างประมาณ ๔ เมตร ควรห่างกันประมาณ ๕๐๐ เมตร ๓.ทางระบายน้ำ จำเป็นสำหรับพื้นที่ปลูกซึ่งมีสภาพเป็นลุ่มและมีน้ำท่วมควรทำพร้อมกับการตัดถนน ร่องน้ำมี ๓ ประเภท คือ -ร่องระบายน้ำในแปลง -ร่องระบายน้ำรวม -ร่องระบายน้ำใหญ่ การปลูกปาล์มน้ำมัน การวางแนว หลังจากเตรียมพื้นที่ ตัดถนนและทางระบายน้ำแล้ว จึงวางแนวการปลูกโดยพิจารณาจากความสอดคล้องกับการทำงาน การระบายน้ำ ความลาดเทของพื้นที่ ทิศทางของแสงแดดเพื่อให้ปาล์มน้ำมัน ได้รับแสงแดมากที่สุด เพื่อให้ใบได้มีกระบวนการสังเคราะห์แสง ควรปลูกปาล์มน้ำมันแบบสามเหลี่ยม ด้านเท่า แถวหลักเป็นฐานอยู่ในแนวทิศเหนือ ใต้ แถวที่ใกล้กันจะปลูกกึ่ง กลางเป็นระยะยอดของสามเหลี่ยมด้านเท่า และการจัดระยะการปลูก ๙x๙ เมตร เป็นที่นิยมมากที่สุดเนื่อง จากทำให้ต้นได้รับแสงมากที่สุด หลุมปลูก เมื่อวางแนวปลูกและปักไม้เป็นเครื่องหมายแล้ว ขุดหลุมขนาดกว้าง ๔๕ ซม. ยาว ๔๕ ซม. ลึก ๓๕ ซม. เป็นรูปตัวยู โดยให้จุดที่ปักไม้เป็นจุดกลางหลุม ใช้เสียมแซะดินให้หลุมตั้งตรงขุดดินชั้นบนและชั้นล่างแยกกัน ตากไว้ประมาณ ๑๐ วัน ก่อนนำต้นกล้ามาปลูก ฤดูปลูก ฤดูที่เหมาะสมในการปลูกปาล์มน้ำมัน คือ ต้นฤดูฝน ประมาณ เดือนพฤษภาคม มิถุนายน ควรปลูกเมื่อฝนเริ่มตกแล้ว เพราะดินจะมีความชื้นเพื่อให้ต้นกล้าได้มีเวลาตั้งตัวในแปลงได้นาน การปลูก การปลูกอย่างถูกวิธี จะทำให้การเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมันดีและให้ผลผลิตสูง อายุต้นกล้าที่เหมาะสมประมาณ ๑๐ - ๑๒ เดือน ต้นกล้าที่มีอายุน้อยเกินไป จะทำให้ชะงักการเจริญเติบโตและอ่อนแอต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ สำหรับต้นกล้าที่มีอายุมากเกินไปผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและตกผลช้าและไม่ สะดวกในการขนย้าย บางครั้งไม่สามารถใช้ต้นกล้าที่มีอายุเท่าที่กำหนดได้เราสามารถแก้ไขได้โดย ตัดใบบางส่วนทิ้งบ้าง และระวังอย่าให้รากบอกบซ้ำจากการขนย้ายมากนัก การขนย้ายต้นกล้า ควรขนย้ายต้นกล้าปาล์มน้ำมันด้วยความประณีต ไม่ให้กระทบกระเทือนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้นกล้าชะงักการเจริญเติบโต การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมัน การปลูก ก่อนปลูกปาล์มน้ำมันควรใส่ปุ๋ยร็อกฟอสเฟตรองก้นหลุม เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์แก่ดิน ในอัตรา ๒๕๐ กรัมต่อหลุม คลุกเหคล้าดินกับปุ๋ยให้กระจายถือต้นกล้าด้วยมือทั้งสองข้างอย่างระมัดระวัง แล้ววางลงหลุมให้ตรงจุดที่ต้องการ ใส่ดินชั้นบนที่ตากไว้ไปก่อนแล้วตามด้วยดินชั้นล่าง อัดดินให้แน่น ใช้ไม้ปักผูกไว้ป้องกันการล้ม หรือเมื่อลมพัดแรง การใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันในระยะต่างๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง เช่นปริมาณธาตุอาหารที่มีอยู่ในดินเดิมสภาพภูมิอากาศ ความต้องการธาตุอาหารของปาล์มน้ำมันในระยะต่างๆ ชนิดของปุ๋ย อัตราการใส่ และราคาปุ๋ย สำหรับการขาดธาตุอาหารที่สังเกตได้ด้วยตาเปล่า ก็เป็นข้อพิจารณาอย่างหนึ่งสำหรับการใส่ปุ๋ย วิธีการใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมัน ในแต่ละพื้นที่นั้นแตกต่างกัน แต่มีหลักสำคัญคือ ๑.ใส่ในช่วงที่ปาล์มน้ำมันต้องการ ๒.ใส่บริเวณที่รากปาล์มน้ำมันดูดไปใช้ได้มากที่สุด ระยะเวลา ควรใส่ปุ๋ยเมื่อดินมีความชื้นเพียงพอ หลีกเหลี่ยงการใส่เมื่อแล้งจัดหรือฝนตกหนัก ในปีแรกหลังจากปลูกควรใส่ปุ๋ย ๔ - ๕ ครั้ง ตั้งแต่ปีที่ ๒ เป็นต้นไป ควรใส่ปุ๋ย ๓ ครั้ง/ปี ช่วงที่เหมาะสมในการใส่ปุ๋ยคือ ต้นฝน กลางฝน และปลายฝนตั้งแต่ปี่ ๕ ขึ้นไป พิจารณาใส่ปุ๋ยเพียงปีละ ๒ ครั้ง ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม การแบ่งใส่ปุ๋ย (อัตราที่แนะนำ) เมื่อแบ่งใส่ ๓ ครั้ง / ปี แนะนำให้ใช้สัดส่วน ๕๐:๒๕:๒๕% สำหรับการใส่ปุ๋ย ต้นฝน กลางฝน และปลายฝน และเมื่อแบ่งใส่ ๒ ครั้ง / ปี ใช้สัดส่วน ๖๐:๔๐% ระยะต้นฝนและก่อนปลายฝน ตามลำดับ ช่วงต้นฝน คือ ประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ช่วงกลางฝน คือ ประมาณเดือนกรกฎาคม กันยายน ช่วงปลายฝน คือ ประมาณเดือนตุลาคม พฤศจิกายน วิธีการใส่ปุ๋ยควรใส่ครั้งแรกเริ่มปลูกปาล์มน้ำมันโดยใส่ร็อกฟอสเฟต อัตรา ๒๕๐ กรัม / ต้น รองก้นหลุมต่อจากนั้นจะใช้ปุ๋ย ดังนี้ อายุปาล์ม (ปี) ปุ๋ย N K และ Mg ปุ๋ย P ๑ - ๔ ใส่บริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืชแล้ว ใส่บริเวณรอบโคนต้นที่กำจัดวัชพืชแล้ว ๕ - ๙ ใส่บริเวณรอบโคนต้นห่างจากโคนต้น ๕๐ ซม. ถึงบริเวณปลายทางใบ ใส่บริเวณรอบโคนต้นห่างจากโคนต้น ๒ เมตร ถึงบริเวณปลายทางใบ ๑๐ ปีขึ้นไป หว่านบริเวณระหว่าแถวปาล์มน้ำมัน หรือบนกองทางใบที่ถูกต้องตัดแต่งที่ได้กำจัดวัชพืชแล้ว กองทางใบที่ถูกตัดแต่งที่ได้กำจัดวัชพืชแล้ว วิธีการใส่ปุ๋ย ปีที่ ๑ : เมื่อย้ายกล้าปลูก (กล้าปาล์มอายุ ๑๐ - ๑๒ เดือน) ใส่ร็อกฟอสเฟตรองก้นหลุมประมาณ ๒๕๐ กรัมต่อหลุม เนื่องจากปุ๋ยนี้จะตกค้างเป็นประโยชน์ได้ ๒ - ๓ ปี จึงไม่จำเป็นต้องใส่ทุกปี หลังจากปลูกแล้วทุก ๓ เดือน ใส่ปุ๋ย ๒๑ -๑๑ - ๑๑+ ๑.๒ Mgo ต้นละ ๒๐๐ - ๓๐๐ กรัมและใส่อีกครั้งเมื่อปลูกได้ ๖ เดือน ในอัตราเดิม และใส่อีกครั้งเมื่ออายุได้ ๙ เดือน ในอัตราเดิม ปีที่ ๒ : เมื่ออายุได้ ๑๘ เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ + ๒ Mgo อัตราต้นละ ๔๐๐ - ๕๐๐ กรัม เมื่ออายุได้ ๒๔ เดือนเต็ม ใช้ปุ๋ยเดิม คือ ๑๔ - ๙ - ๒๐ + ๒ Mgo อัตราต้นละ ๐.๕ ก.ก. ร่วมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร ๐ - ๐ - ๖๐) อัตราต้นละ ๐.๕ กก. ปีที่ ๓ : เมื่ออายุปาล์มได้ ๓๐ เดือน ใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ + ๒ Mgo อัตราต้นละ ๘๐๐ กรัม และเมื่อปาล์มอายุได้ ๓๖ เดือน ใช้ปุ๋ยสูตร๑๔ - ๑๔ - ๒๑ อัตราต้นละ ๑ กก. ปีที่ ๔ : เมื่ออายุปาล์มได้ ๔๒ เดือน ใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ + ๒ Mgo อัตราต้นละ ๑.๕ กก. ร่วมกับปุ๋ยร็อกฟอสเฟต อีกอัตราต้นละ ๑ กก. (สูตร ๐ - ๓ - ๐) และปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์อัตราต้นละ ๑.๕ กก. (สูตร ๐ ๐ - ๖๐) ปีที่ ๕ : ใปุ๋ยปีละ ๒ ครั้ง ครั้งแรกใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ - ๒ Mgo อัตราต้นละ ๒ กก. ร่วมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร ๐ - ๐ - ๖๐) อัตราต้นละ ๑.๕ กก. ครั้งที่ ๒ ใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๑๔ - ๒๑ อัตราต้นละ ๒ กก. ปีที่ ๖ : ใส่ปุ๋ยปีละ ๒ ครั้ง ใช้ปุ๋ยสูตรเดิม คือ ครั้งแรกปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๑๙ - ๒๐ - ๒ Mgo อัตราต้นละ ๒ กก. ร่วมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร ๐ - ๐ - ๖๐) อัตราต้นละ ๑.๕ กก. ครั้งที่ ๒ ใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๑๔ - ๒๑ อัตราต้นละ ๒ กก. ปีที่ ๗ : ใส่ปุ๋ยปีละ ๒ ครั้ง ครั้งแรกใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ + ๒ Mgo อัตราต้นละ ๒ กก. ร่วมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร ๐ - ๐ - ๖๐) อัตราต้นละ ๑.๕ กก. ครั้งที่ ๒ ใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๑๔ - ๒๑ อัตราต้นละ ๒.๕ กก. ปีที่ ๘ : ใส่ปุ๋ยปีละ ๒ ครั้ง ครั้งแรกใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ + ๒ Mgo อัตราต้นละ ๒.๕ กก. ร่วมกับปุ๋ยโปแทสเซียมคลอไรด์ (สูตร ๐ - ๐ - ๖๐) อัตราต้นละ ๒ กก.และปุ๋ยร็อกฟอสเฟตอัตราต้นละ ๒ กก. ครั้งที่ ๒ ใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๑๔ - ๒๑ อัตราต้นละ ๒.๕ กก. ปีที่ ๙ : การใส่ปุ๋ยตั้งแต่ปีที่ ๙ เป็นต้นไป ต้องใช้ปุ๋ยร็อกฟอสเฟต เพราะปุ๋ยร็อกฟอสเฟตใส่ ๓ ปี ต่อครั้ง ไม่ต้องใส่ทุกปีส่วนปุ๋ยสูตรอื่น ๆ ยังคงใส่เหมือนเดิมทุกปี ๑.ปุ๋ยสูตร ๒๐ - ๑๑ - ๑๑ + ๑.๒ Mgo เป็นปุ๋ยหลักที่ใส่ให้กับปาล์มที่ปลูกในปีแรก ๒.ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ + ๒๐ Mgo เป็นสูตรปุ๋ยที่ใช้ใส่ต้นปาล์มทุกปี ๓.ปุ๋ยสูตร ๐ - ๐ - ๖๐ หรือ ปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ โดยใช้ร่วมกับปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ + ๒ Mgo ปุ๋ยทั้ง ๒ สูตรนี้ ใส่ให้ต้นปาล์มครั้งแรกของทุกปี ๔.ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๑๔ - ๒๑ (หรือปุ๋ยสูตรตัวท้ายอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกัน) เป็นปุ๋ยที่ใส่ให้ต้นปาล์มทุกปี ๆ ละ ๑ ครั้ง (ใส่ปุ๋ยครั้งที่ ๒) ๕.ปุ๋ยร็อกฟอสเฟตใส่ทุก ๆ ๒ ปี ทุก ๆ ๓ ปี ก็ได้ ประมาณ ๒ กก. / ต้น การ ใส่ปุ๋ยปาล์มน้ำมันที่ให้ผลผลิตแล้ว ควรแบ่งใส่ ๒ ครั้ง ครั้งแรกใช้ปุ๋ยสูตร ๑๔ - ๙ - ๒๐ +๒ Mgo ผสมกับปุ๋ยโปแตสเซียมคลอไรด์ (สูตร ๐ - ๐ - ๖๐) หรือบางปีอาจร่วมกับปุ๋ยร็อกฟอสเฟตด้วย เมื่อจำเป็น เมื่อผสมทั้ง ๓ สูตรนี้เข้าด้วยกันแล้วต้องรีบใส่ให้ต้นปาล์มทันที ในสวนปาล์มส่วนใหญ่ ค่าปุ๋ยจะเป็นค่าใช้จ่ายที่มากที่สุด แต่ในบางครั้งอาจจะได้รับผลตอบแทนไม่คุ้มค่า หรือเกิดการสูญเปล่า ดังนั้นในสวนปาล์มขนาดใหญ่ จึงควรตระหนักเกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิต การใช้ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพ โดยอาจจะพิจารณาผลการวิเคราะห์ดินใบปาล์มน้ำมัน อัตราปุ๋ยและชนิดปุ๋ย ทั้งนี้เพื่อจะลดการสูญเสีย เนื่องจากขาดความเอาใจใส่ในการใส่ปุ๋ยให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดต่างๆ ที่มักพบโดยทั่วไป คือ -ใส่ปุ๋ยผิดวิธี การใส่ปุ๋ยเป็นบริเวณแคบๆ หรือกองไว้เป็นจุด ๆ แทนที่จะหว่านให้ทั่วนั้น อาจจะเป็นอันตรายกับราก และทำให้เกิดการสูญเสียเนื่องจากการชะล้างและไหลบ่าได้ -เวลาใส่ปุ๋ยไม่เหมาะสม การใส่ปุ๋ยในขณะที่ดินแห้ง หรือเปียกเกินไป จะมีผลต่อการสูญเสียไนโตรเจนมากที่สุด -ปริมาณใส่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในปาล์มเล็ก -ความไม่สมดุลระหว่างธาตุอาหารที่ใส่ -ใส่ไม่ถูกต้อง (ใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือไม่เหมาะสม) การปลูกพืชคลุมดิน การปลูกพืชคลุมดินเป็นวิธีการป้องกันและแก้ปัญหาเรื่องวัชพืชกับการชะล้าง พังทลายของดิน นอกจากนี้พืชคลุมดินยังช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินด้วย เกษตรกรนิยมปลูกพืชคลุมดินในสวนปาล์มน้ำมันกันมาก เพราะไม่ต้องใช้แรงงานและเวลาในการดูแลรักษาพืชคลุมดินมาก เหมือนการปลูกพืชแซมปาล์มน้ำมัน ประโยชน์และข้อจำกัดบางประการของพืชคลุมดิน พืชคลุมดินจะให้ประโยชน์มาก แต่ถ้าเกษตรกรขาดการดูแลรักษาที่ดี ก็อาจเกิดโทษได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนการปลูกพืชคลุมดินจึงควรตระหนักถึงข้อจำกัดบางประการของ พืชคลุมดินและปฏิบัติให้ถูกต้องก็จะเกิดประโยชน์หลายประการ ดังนี้ ๑.พืชคลุมดินจะช่วยป้องกันผิวหน้าดินเมื่อเกิดการถูกแดดเผาอย่างรุนแรง ๒.ช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของดินเมื่อเกิดฝนตกหนัก โดยเฉพาะในบริเวณที่มีความลาดชันสูง ๓.เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินโดยการเพิ่มและสะสมธาตุอาหารจำพวกไนโตรเจนของพืชคลุมดินตระกูลถั่ว ๔.ช่วยปรับโครงสร้างของดินให้ดีขึ้น เช่น ช่วยทำให้ดินทรายอุ้มน้ำได้มากขึ้นดินเกาะตัวกันดีขึ้น และรากของพืชคลุมดช่วยทำให้ดินโปร่งมีช่องว่างของ อากาศมากขึ้นสามารถระบายน้ำได้ดี ๕.ลดปัญหาวัชพืชขึ้นแข่งขัน ๖.สามารถเก็บเมล็ดพืชคลุมตระกูลถั่วไปขายได้ราคาดี อาการขาดธาตุอาหาร อาการผิดปกติจากการขาดธาตุอาหารมักจะแสดงออกให้เห็น เมื่อพืชขาดธาตุอาหารในขั้นรุนแรง และผลผลิตอาจจะลดลงแล้วด้วย ซึ่งอาการขาดธาตุอาหารต่างๆ สามารถมองเห็นได้โดยสายตา และสังเกตได้ดังนี้ ไนโตรเจน (N) ลักษณะอาการใบมีสีเหลืองซีดเกิดที่ทางใบแก่ก่อน แก้ไขโดยใช้ปุ๋ยแอมโมเนียซัลเฟต อัตรา ๑ - ๒ กก. ต่อสำหรับต้นปาล์มที่มีอายุ ๑ - ๒ ปี และ อัตรา ๓ - ๔ กก. ต่อต้นสำหรับต้นปาล์มที่มีอายุ ๕ - ๑๐ ปี ฟอสฟอรัส (P) ลักษณะอาการจะชะงักการเจริญเติบโต ใบมีสีเขียวเข้มแก้ไขโดยใส่ปุ๋ยร็อกฟอสเฟต อัตรา ๑.๒๕ - ๑.๕ กก. ต่อต้น โปแตสเซียม (K) ลักษณะอาการ คือ จะมีจุดสีเหลืองส้มเป็นจ้ำ ๆ บริเวณทางใบตอนล่าง ขนาดเล็กไปหาใหญ่ รูปร่างไม่แน่นอน เมื่อเป็นมาก ๆ เนื้อใบส่วนที่มีสีเหลืองจะแห้ง และอาจเกิดเฉพาะต้นได้แทนที่จะเป็นบริเวณกว้าง อาจทำให้เข้าใจผิดกว่าเนื่องมาจากพันธุกรรม ลักษณะเด่นชัดในปาล์มน้ำมันที่ขาดธาตุโปแตสเซียม คือ ทางใบล่างซีดและแห้งก่อนกำหนด แมกนีเซียม (Mg) ลักษณะอาการทางใบล่างจะมีสีเหลืองเริ่มจากปลายใบและขอบใบย่อย บริเวณที่มีสีเหลืองจะเห็นชัดเจนเมื่อถูกแสงแดด ส่วนที่ไม่ถูกแสงแดดจะคงมีสีเขียว อาการขาดแมกนีเซียมต่ำและมีความเป็นกรดจัด ในบางกรณีเกิดจากธาตุอาหารในดินไม่สมดุลย์ระหว่างแมกนีเซียมกับโปแตสเซียม หรือแมกนีเซียมกับแคลเซียม ทำให้พืชไม่สามารถดูดแมกนีเซียมไปใช้ได้ดีเท่าที่ควร เช่น ใส่ปุ๋ยไนโตรเจน หรือปุ๋ยโปแตสเซียม หรือปุ๋ยที่มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบที่มากเกินไป เป็นต้น วิธีการแก้ไขสำหรับอาการที่เกิดจุดปะสีส้มบนใบที่แก่ หรือ รุนแรงจนหลายใบและขอบใบแห้ง ให้ใส่โปแตสเซียมคลอไรด์ อัตรา ๒.๕ ๓.๕ กก. ต่อต้นปี สำหรับต้นปาล์มที่ให้ผลผลิตแล้ว ในบางกรณีให้ใส่กีเซอร์ไร้ท์ ๑ - ๒ กก. ต่อต้น จะช่วยให้อาการขาดแมกนีเซียมดีขึ้น โบรอน (B) มีลักษณะผิดปกติแสดงให้เห็นหลายชนิด เช่น ปลายใบย่อยหักงอเป็นรูปตะขอ อาจเกิดเฉพาะทางหรือทุกทางได้ ทางและใบย่อยสั้นผิดปกติในกรณีที่ขาดรุนแรง หรือเกิดแถบยาวใสโปร่งแสงขนานกับแถบทางใบย่อยย่นหรือหยิกแก้ไขโดยใส่โบแรกซ์ อัตรา ๕๐ - ๑๐๐ กรัม / ต้น / ปี เมื่ออายุ ๒ - ๓ ปี และ อัตรา ๑๕๐ - ๒๐๐ กรัม / ต้น / ปี เมื่อมีอายุ ๔ ปีขึ้นไป โรคปาล์มน้ำมัน ๑.โรคใบไหม้ (Curvularia Seedling Blight) เป็นโรคที่พบมากในระยะกล้าโดยจะทำความเสียหายมากในแปลงเพาะกล้าโดยทั่วๆ ไปจะเกิดอาการกับใบอ่อนส่วนมาก นอกจากนี้ยังพบว่าสามารถ จะเกิดกับต้นปาล์มน้ำมันที่ปลูกในแปลงในช่วงระยะปีแรก ๆ -ลักษณะอาการ พบอาการของโรคบนใบอ่อนโดยเฉพาะใบยอดที่ยังไม่คลี่โดยในระยะแรกจะเกิดจุดเล็ก ๆ ลักษณะโปร่งใสกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อแผลขยายเต็มที่จะมีลักษณะบุ๋มสีน้ำตาลแดง มีลักษณะบาง ขอบแผนนูน ลักษณะฉ่ำน้ำ มีวงสีเหลืองล้อมรอบแผล แผลมีลักษณะรูปร่างกลมรี ความยาวของแผลอาจถึง ๗ - ๘ ซม. เมื่อเกิดระบาดรุนแรงแผล ขยายตัวร่วมกันทำให้ใบไหม้ม้วนงอและฉีกขาด การเจริญเติบโตของต้นกล้าชะงักไม่เหมาะในการนำไปปลูก ในกรณีระบาดรุนแรงต้นกล้าถึงตายได้ -สาเหตุ เชื้อรา Curvularia sp การป้องกันกำจัด เผาทำลายใบและต้นที่เป็นโรค พ่นด้วยสารเคมีที่ไม่มีทองแดงเป็นองค์ประกอบ เช่น ไทแรม แคปแทน อัตรา ๕๐ กรัม / น้ำ ๒๐ ลิตร ทุก ๆ ๕ - ๗ วัน ในระยะที่เริ่มมีการระบาด ๒.โรคใบจุด (Helminthosporium Leaf Spot) เป็นโรคในระยะกล้าที่พบในช่วงอายุตั้งแต่ ๕ เดือนขึ้นไป โรคนี้พบว่ามีความรุนแรงน้อยกว่าโรคใบไหม้ และพบมาก ในสภาพที่มีอากาศแล้งจัดและความชื้นน้อย -ลักษณะอาการ เกิดจุดแผลสีเหลืองจำนวนมากบนใบอ่อนที่เริ่มคลี่ โดยมากจะเกิดในลักษณะเป็นกลุ่มบริเวณปลายฝน ต่อมาจุดแผลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาดำเมื่อใบที่เกิดกลุ่มแผลจะมีสีเหลืองรวม เป็นบริเวณกว้าง โรคจะระบาดโดยเริ่มจากแผลเหล่านี้ขยายกว้างออกไป ปลายฝนเริ่มแห้งและตายไปในที่สุด -สาเหตุ Drechslera halodes -การป้องกันกำจัด แยกต้นที่เป็นโรคและเผาทำลาย พ่นด้วยสารเคมีฆ่าเชื้อรา เช่น แคปแทน หรือไทแรม การพ่นสารเคมีต้องพ่นทั้งบนใบและใต้ใบ ๓.โรคก้านทางใบบิด (Crown Disease) พบมากกับปาล์มน้ำมันในแปลงปลูกอายุ ๑ - ๓ ปี เป็นโรคที่พบเสมอ -ลักษณะอาการ เกิดแผลเน่าบริเวณใบยอด เมื่อยอดเจริญทางยอดคลี่ออกบริเวณที่เคยเป็นแผล เน่าใบย่อยจะแห้งฉีกขาดไป ก้านทางบริเวณนี้จะเหลือแต่ตอก้านทางส่วนนี้จะหักโค้งลง เมื่อต้นปาล์มน้ำมัน สร้างดอกใหม่ก็จะแสดงอาการเช่นนี้จนเป็นทั้งคราว (Crown) บางครั้งทางจะหักล้มโดยไม่แสดงอาการเน่าก่อน -สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัดเข้าใจว่าเกิดจากความไม่สมดุลย์ของธาตุอาหารโดยเฉพาะธาตุไนโตรเจน และแมกนีเซียม ๔.โรคก้นทางใบเน่า พบครั้งแรกกับต้นปาล์มน้ำมันอายุประมาณ ๒ ปี -ลักษณะอาการ ใบย่อยจะมีสีเขียวเข้มลักษณะผิวใบจะด้าน ไม่มันปลายทางใบจะบิด เมื่อเป็นมากก้านทางจะเกิดรอยแตกสีน้ำตาลอมม่วง ตามความยาวของทาง เมื่อฉีกดูจะพบภายในเน่าสีน้ำตาล เริ่มจาก ปลายทางไปหาโคนทางใบ -สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด -การป้องกันกำจัด ตัดส่วนที่เป็นโรคออกเผาทำลาย และราดบริเวณรอยตัดด้วยสารเคมี ๕.โรคยอดเน่า (Spere Rot) ระบาดมากในช่วงฤดูฝน ส่วนมากจะพบกับปาล์มน้ำมัน อายุ ๑ - ๓ ปี ในสภาพน้ำขังจะพบโรคนี้มาก -ลักษณะอาการ โคนยอดจะเกิดเน่า ระยะแรกแผลมีสีน้ำตาลต่อมาแผลจะขยายทำให้ใบยอดเน่าแห้งสามารถดึงหลุดออกได้ -สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการแยกหาเชื้อ สาเหตุจะพบเชื้อรา Fusarium sp. และแบคทีเรีย Erwinia sp. -การป้องกันกำจัด ป้องกันแมลงอย่าให้มากัดกินบริเวณยอด ถ้าพบโรคในระยะแรกตัดส่วนที่เป็นโรคออกให้หมด แล้วฉีดพ่นด้วยยาฆ่าเชื้อรา เช่น ไทแรม อาลีแอท ๖.โรคตาเน่า ใบเล็ก (Bud Rot Little Leaf Disease) เป็นโรคที่พบกับปาล์มน้ำมันอายุตั้งแต่ ๔ ปีขึ้นไประบาดมากในช่วงฤดูฝน -ลักษณะอาการ ใบยอดจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองและเกิดการเน่าบริเวณกลางใบยอด จนกระทั่งเน่าแห้งทั้งใบสามารถดึงหลุดออกมาได้ ทางใบถัดไปจะเริ่มเหลืองอาการเน่าลุกลามถึงตาทำให้ตาเน่าไม่มีการแทงยอดใหม่ ต้นปาล์มน้ำมันจะตาย แต่ถ้าสภาพไม่เหมาะสมเชื้อทำลายไม่ถึงตา จะมีการแทงยอดมใหม่ออกมา แต่จะมีลักษณะผิดปกติ คือทางใบสั้น ปลายกุด มักจะพบลักษณะ ๑ - ๔ ทาง แล้วจึงเกิดทางปกติ ขึ้นกับความรุนแรงของโรค -สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด -การป้องกันกำจัด ทำเช่นเดียวกับโรคยอดเน่า ๗.โรคทะลายเน่า (Marasmius Bunch Rot) -ลักษณะอาการ บนละลายปาล์มน้ำมันก่อนจะสุกตะพบเส้นใยสีขาวของเชื้อขึ้นระหว่าง ผลจะเจริญเข้าไปในผลทำให้เปอร์เซ็นต์กรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้น ผลเน่าเป็นสีน้ำตาลดำมีลักษณะนุ่มถ้ามีสภาพเหมาะสมความชื้น มากเชื้อจะสร้างดอกเห็ดบนทะลาย -สาเหตุ เชื้อเห็ด Marasmius sp. -การป้องกันกำจัด ตัดทะลายที่แสดงอาการออกให้หมดรวมทั้งช่อดอกตัวเมียที่ผสมไม่ดี เศษซากเกสรตัวผู้ที่แห้ง ฉีดพ่นด้วยสารเคมีหลังจากตัดส่วนที่เป็นโรคแล้วด้วยสารเคมีเช่น antigro terzan,vitavax หรือ antracol ๘.โรคผลเน่า (Fruit Rot) -ลักษณะอาการ เปลือกนอกของผลจะอ่อนนุ่มสีดำ โดยจะเริ่มจากโคนหรือปลายผลเข้ามา โดยมากจะเกิดกับผลที่สุกแก่ -สาเหตุ เชื้อรา Fusaium sp., Collecioirichum sp., Peniclitlium sp., Votryodiplodia sp. ๙.โรคเหี่ยว (Sudden wil) -ลักษณะอาการ ต้นปาล์มน้ำมันอายุประมาณ ๕ ปี จะแสดงอาการเหี่ยวอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากทางใบแก่ ก่อนในเวลา ๑ เดือน เมื่อดูลักษณะภายในของก้านทางพบว่าแสดงอาการเน่าจากปลาย ใบเข้าหาโคนและเจริญเข้าตาทำให้ตาเน่าและต้นตายไปในที่สุด -สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด -การป้องกันกำจัดโรค ตัดทางใบและส่วนที่แสดงอาการให้หมด แล้วฉีดพ่นด้วยสารเคมีเพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อ เผาทำลายต้นที่เป็นโรค ๑๐.โรคลำต้นส่วนบนเน่า -ลักษณะอาการ พบว่าส่วนบนของลำต้นจากยอดประมาณ ๐.๕ เมตร จะหัก พบครั้งแรกกับต้นอายุ ๙ ปี เมื่อผ่าดูพบว่าเชื้อจะเข้าทางฐานของก้านทางทำให้เกิดอาการเน่าบริเวณลำต้น ในขณะที่ตาดและรากแสดงอาการปกติ -สาเหตุ รายงานจากต่างประเทศว่าเกิดจากเชื้อเห็ด Phillinus sp. ร่วมกับ Ganedema sp. -การป้องกันและกำจัดโรค เผาทำลายต้นปาล์มน้ำมันที่เป็นโรค อย่าเคลื่อนย้ายต้นปาล์มน้ำมันที่เป็น โรคผ่านไปในแปลงที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ในกรณีที่พบอาการใหม่ ๆ ถากส่วนที่เป็นโรคออกแล้วทาบริเวณแผล ด้วยสารป้องกันและกำจัดโรคพืช -สาเหตุ ศัตรูปาล์มน้ำมันที่ทำความเสียหายให้กับชาวสวนปาล์มน้ำมันในแต่ละพื้นที่ ส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กันหรือชนิดเดียวกัน แต่มีศัตรูปาล์มน้ำมันบางชนิดอาจเกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่ ฉะนั้นวิทยากรประจำพื้นที่ ควรที่จะเน้นศัตรูปาล์มน้ำมันชนิดนั้นๆ ตลอดจนวิธีการป้องกันกำจัดอย่างถูกวิธีด้วย ศัตรูปาล์มน้ำมันและการป้องกันกำจัด สัตว์ที่ทำความเสียหายให้กับปาล์มน้ำมัน ส่วนมากเป็นสัตว์ที่มีถิ่นอาศัยในป่าธรรมชาติ มาก่อนสัตว์ที่เป็นศัตรูปาล์มน้ำมันและที่พบมาก เช่น หนูพุกใหญ่ หนูท้องขาวเม่น กระแตธรรมดา นกเอี้ยง นกขุนทอง หมูป่า และ อีเห็น การป้องกันกำจัด ๑.โดยไม่ใช้สารเคมี -การล้อมรั้วกับปาล์มที่มีอายุ ๑ - ๓ ปี ที่มีปัญหาจากเม่น ควรล้อมดคนต้นประมาณ ๑๕ ซม. -การล้อมดี ใช้คนหลายคนช่วยกัน วิธีนี้ช่วยลดปริมาณหนูลงระยะหนึ่ง ถ้าจะให้ผลดีจะต้องทำบ่อย ๆ ครั้ง -การดัก เช่น กรงดัก กับกัด หรือเครื่องมือดักหนูจะให้ผลดีในเนื้อที่จำกัดเหยื่อดักควรคำนึงสัตว์ชนิด ที่ต้องการดักมีความคุ้นเคยหรือต้องการอาหารชนิดใดมีมากน้อยเพียงใด -การเขตกรรม โดยหมั่นถางหย้าบริเวณต้นปาล์มอย่าให้มีหญ้าขึ้นรกเพราะเป็นที่หลบอาศัยที่ดีของสัตว์ศัตรูปาล์ม -การยิง ใช้ในกรณีสัตว์ศัตรูปาล์มเป็นสัตว์ใหญ่ เช่น หมูป่า เม่น ช้างป่า -การอนุรักษ์สัตว์ศัตรูธรรมชาติ เช่น ศัตรูธรรมชาติของหนู คือ งูสิง งูแมวเซา งูแสงอาทิตย์ งูเห่า งูหางมะพร้าว พังพอน เหยี่ยว จำเป็นต้องสงวนปริมาณให้สมดุลย์กับธรรมชาติ ๒.โดยใช้สารเคมี การใช้สารฆ่าหนูเป้นวิธีการลดจำนวนประชากรหนูอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สารฆ่าหนูที่ออกฤทธิ์เฉียบพลัน ได้แก่ -ชิงค์ฟอสไฟด์ เป็นผงสีดำ กลิ่นฉุนคล้ายกระเทียม ความเข้มพอเหมาะ หนู เดินเข้าไปจะตายภายใน ๑๒ ชั่วโมง โดยใช้อัตรา ๑ : ๑๐๐ ส่วนโดยน้ำหนัก นำไปวางไว้ตามรอยทางเดิน -ซัลมูริน ในท้องตลาดจำหน่ายในรูปซัลมูริน ๑% ผสมกับเหยื่ออัตรา ๑ : ๑๙ ส่วน ยานี้จะทำลายระบบประสาท ทำให้หนูเป็นอัมพาตและตายภายใน ๑ วัน นอกจากนี้ การกำจัดแมลงศัตรูปาล์มน้ำมัน ซึ่งได้แก่ หนอนหน้าแมว หนอน ดราน่า ด้วงกุหลาบ หนอนเขาสัตว์ หนอนกินใบ หนอนร่านโพนีตา ให้ใช้สารเคมี ประเภทคาร์บาริล เซฟวิน ๘๐ % และวิธีจับทำลายโดยตรง การเก็บเกี่ยวผลปาล์มน้ำมัน การเก็บเกี่ยวผลปาล์มสดรวมถึงการรวมผลปาล์มส่งโรงงาน มีขั้นตอนโดยทั่วไปดังนี้ ๑.ก่อนอื่นจะต้องแต่งช่อทางลำเลียงแถวปาล์มในแต่ละแปลงให้เรียบร้อยสะดวกกับ การลำเลียง และการตรวจสอบทะลายปาล์มที่ตัดแล้ว เพื่อรวบรวมต่อไป ๒.คัดเลือกทะลายปาล์มสุกโดยยึดมาตรฐานจากการดูสีของผล ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีส้มและจำนวนผลสุกที่ร่วงหล่นลงบนดินประมาณ ๑๐ ๑๒ ผล ผลให้ถือเป็นผลปาล์มสุกที่ใช้ได้ ๓.หากปรากฏว่าทะลายปาล์มสุกที่จะตัดมีขนาดใหญ่ ที่ติดแน่นนกับลำต้นมากไม่สะดวกกับการใช้เสียมแทงเพราะจะทำ ให้ผลร่วงมาก ก็ใช้มีดขอหรือมีดด้ามยาวธรรมดา ตัดแชะขั้วทะลายกันเสียก่อน แล้วจึงใช้เสียมแทงทะลายกันเสียก่อน แล้วจึงใช้เสียมแทงทะลายปาล์มก็จะหลุดออกคอต้นปาล์มได้ง่ายขึ้น ๔.ให้ตัดแต่งขั้วทะลายปาล์มที่ตัดออกมาแล้วให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อสะดวกในการขนส่ง หรือเมื่อถึงโรงงาน ทางโรงงานก็จะบรรลุลงในถังต้นลูกปาล์มได้สะดวก ๕.รวบรวมผลปาล์มทั้งที่เป็นทะลายย่อยและลูกร่วงไว้เป็นกองในที่ว่างโคนต้น เก็บผลปาล์มร่วงใส่ตะกร้าหรือเข่ง กรณีต้นปาล์มมีอายุน้อย ทางใบปาล์มอาจรบกวนทำให้เก็บยาก ๖.สำหรับกองทางใบที่ตัดแล้วอย่าให้กีดขวางทางเดิน หรือปิดกั้นทางระบายน้ำจะทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ระบายน้ำที่ขังตามทางเดิน ๗.รวบรวมผลปาล์มทั้งทะลายสดและผลปาล์มร่วงไปยังศูนย์รวมผลปาล์มในกองย่อย เช่น ในการกระบะบรรทุกที่ลากด้วยแทรกเตอร์หรือรถอีแต๋น ๘.การเก็บเกี่ยวผลปาล์ม ฝ่ายสวนจะต้องสนับสนุนให้ผู้เก็บเกี่ยวร่วมทำงานกันเป็นทีม ในทีมก็แยกให้เข้าคู่กัน ๒ คนคนหนึ่งตัดหรือแทงปาล์มอีกคนเก็บรวมรวมผลปาล์ม ๙.การเก็บรวมรวมผลปาล์ม พยายามลดจำนวนครั้งในการถ่ายเทย่อย ๆ เมื่อผลปาล์มชอกช้ำมี บาดแผลปริมาณของกรดไขมันอิสระจะเพิ่มมากขึ้น การส่งปาล์มออกจากสวนควรมีการตรวจสอบลงทะเบียนมีตาข่าย คลุมเพื่อไม่ให้ผลปาล์มร่วงระหว่างทาง ข้อควรปฏิบัติในการเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มน้ำมัน มีดังนี้ ๑.ตัดทะลายปาล์มน้ำมันที่สุดที่พอดี คือทะลายปาล์มเริ่มมีผลร่วง ไม่ควรตัดทะลายยังดิยอยู่เพราะใน ผลปาล์มดิบยังมีสภาพเป็นน้ำและแป้งอยู่ ยังไม่แปรสภาพเป็นน้ำมัน ส่วนทะลายที่สุกเกินไปจะมีกรดไขมัน อิสระสุก และผลปาล์มสดอาจมีสารบางชนิดอยู่ อาจเป็นอันตรายกับผู้บริโภคได้ ๒.รอบของการเก็บเกี่ยวในช่วงผลปาล์มออกชุกควรจะอยู่ในช่วง ๗ - ๑๐ วัน ๓.ผลปาล์มลูกร่วงที่อยู่บริเวณโคนปาล์มน้ำมัน และที่ค้างในกาบต้นควรเก็บออกมาให้หมด ๔.ก้านทะลายควรตัดให้สั้นโดยต้องให้ติดกับทะลาย ๕.พยายามให้ทะลายปาล์มชอกช้ำน้อยที่สุด ข้อควรคำนึง ๑.ผลปาล์มที่ตัดแล้วควรส่งถึงโรงงานภายใน ๒๔ ชั่วโมง ๒.ทะลายปาล์มสุกที่มีมาตรฐานคือลูกปาล์มชั้นนอกสุดของทะลายหลุดร่วงจากทะลาย ๓.ลูกปาล์มเต็มทะลายและเห็นได้ชัดว่าได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ๔.ไม่มีทะลายที่ชอกช้ำและเสียหายอย่างรุนแรง ๕.ไม่มีทะลายเป็นโรคใด ๆ หรือเน่าเสีย ๖.ไม่มีทะลายที่สัตว์กินหรือทำความเสียหายแก่ผลปาล์ม ๗.ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน เช่น ดิน หิน ทราย ไม้กาบหุ้มทะลาย เป็นต้น ๘.ไม่มีทะลายเปล่าเจือปน ๙.ความยาวของก้านทะลายควรไว้เก็บประมาณ ๒ นิ้ว มาตรฐานในการเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมัน ๑.จะต้องไม่ตัดผลปาล์มดิบไปขายเพราะจะถูกตัดราคา ๒.จะต้องไม่ปล่อยให้ผลสุกคาต้นเกินไป ๓.ต้องเก็บผลปาล์มร่วงบนพื้นให้หมด ๔.ต้องไม่ทำให้ผลปาล์มที่เก็บเกี่ยวมีบาดแผล ๕.ต้องคัดเลือกทะลายปาล์มหรือเขย่าผลที่มีอยู่น้อยออกแล้วทิ้งทะลายเปล่าไป ๖.ตัดขั้วทะลายให้สั้นเท่าที่จะทำได้ ๗.ต้องทำความสะดวกผลปาล์มที่เปื้อนดิน อย่าให้มีเศษหินดินปน ๘.ต้องรีบส่งผลปาล์มไปยังโรงงาน ภายใน ๒๔ ชั่วโมง http://www.108kaset.com/ |