หัวข้อ: บทเรียนที่น่าศึกษา ที่ตะวันออกกลาง เริ่มหัวข้อโดย: b.chaiyasith ที่ พฤศจิกายน 30, 2009, 06:07:43 pm บทเรียนนี้คุณเปลว สีเงินวิเคราะห์ได้เนียบมาก อ่านไว้จะได้สังวรณ์เมื่อครบกับสหรัฐและพวกผมสีทอง
ตาสีฟ้า หมดตัวชั่วลูกหลานยังใช้นี่ไม่หมด ขอคารวะคุณเปลว สีเงินครับ เขียนเหมือนเห็นมากับตา :-X :D smiley4 ซาอุฯ-ดูไบ"อยู่อย่างไทย"สบายด้วยพอเพียง เปลว สีเงิน 30 พฤศจิกายน 2552 - 00:00 เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะ "ต้มยำกุ้ง" ก็รู้รสกันมาแล้ว จังก์ฟู้ดอย่าง "แฮมเบอร์เกอร์" ก็เจอกันมาแล้ว และวันนี้ โลกกำลังพะอืดพะอมกับ "ต้มยำอูฐ" ที่ดูไบ เมื่อวันศุกร์ ตลาดหุ้นทั่วเอเชียถึงขั้น "คว่ำกระดาน" ตกค่ำที่ตลาดดาวโจนส์ ฝรั่งตื่น พังไปอีก ๑๕๐ กว่าจุด เก่งแต่ตลาดไทย-บ้านเรานี่แหละ Set index ร่วงไปเล็กน้อยแค่ ๕ จุด และเช้าวันนี้ (๓๐ พ.ย.๕๒) ตลาดตะวันออก หรือตลาดตะวันตก ใครจะหมู่-จะจ่า...เดี๋ยวก็รู้! เท่าที่สดับตรับฟังบรรดากูรู และรูกูทางเศรษฐกิจทั้งหลาย รวมทั้งท่านรัฐมนตรีคลัง "นายกรณ์ จาติกวณิช" ฟันธงไปทางเดียวกันว่า การที่ดูไบเวิลด์ประกาศ "ไม่มี-ไม่หนี-ไม่จ่าย" ขอเลื่อนการชำระหนี้ทั้งเงินกู้-ทั้งพันธบัตรกว่า ๓,๕๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐไปอีก ๖ เดือน นั้น ขณะนี้ ไม่กระทบการค้า-การขาย-การเงิน ของประเทศไทยโดยตรง แต่ในวงกว้างนั้น ก็ต้องรอดูผลอันจะออกมาจากบรรดาสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ ในสหรัฐ ในอังกฤษ ในยุโรป ฯลฯ ที่จะเป็นลูกโซ่ เพราะยอดรวมหนี้สินที่ดูไบเวิลด์เป็นหนี้อยู่กับสถาบันการเงินต่างๆ นั้น รวมแล้วกว่า ๖๐,๐๐๐-๘๐,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ! แต่แค่ ๓,๕๐๐ ล้านเหรียญ ยังไม่มีปัญญาจ่าย แล้วตั้งร่วมแสนล้านเหรียญ ในเชิงตรรกะ จะไปหาที่ไหนมาจ่ายในภาวะเศรษฐกิจโลกฟุบอย่างนี้ เพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ดูไบเวิลด์เนรมิตขึ้นขายลูกค้านั้น ตลาดหลักก็อยู่ในกลุ่ม "คนรวยปล้นโลก" เกือบทั้งนั้น เมื่อโลกไม่เหลืออะไรให้ปล้น และพวกที่ปล้นไปก็เริ่ม "เข้าตาจน" ตามกรรม-ตามเวร แล้วใครจะมีเงินมาซื้อตึก ซื้ออาคารที่สร้างตากแดดกลางทะเลทรายในสภาพเมืองที่เรียกได้ว่า ถูก "หลอก" ให้โตแบบเพ้อเจ้อ! ใครไปดูไบแล้วจะรู้ ลองไปถามพวก ส.ส.สาวกทักษิณดูก็ได้ ไปดูไบแล้วเห็นอะไรบ้าง เห็นแต่ยอดตึก ยอดอาคารสิ่งปลูกสร้างในประเภทที่เรียกว่า "....ที่สุดในโลก" เรียงรายรอบทะเลไว้ให้อูฐเยี่ยวรด นอกนั้นไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็น "เสาเข็ม" ทางเศรษฐกิจเพื่อความเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นอกจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นศูนย์กลางระหว่าง เอเชีย-ยุโรป-แอฟริกา ตั้งอยู่ริมทะเลเป็นแหล่งขนถ่ายสินค้าไปทั่วโลกเท่านั้น และรัฐดูไบไม่มีทรัพยากรน้ำมัน เป็นแต่เพียงศูนย์กลางทางธุรกิจ-การค้า-การบิน นอกนั้นมีแต่ทราย กับอูฐ และการขี่อูฐไปดูระบำหน้าท้อง (เท่ายุ้งข้าว) กลางวันร้อนฉิบหาย...กลางคืนหนาวตายโหง...! ทั้งประเทศ "สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์" หรือยูเออี มีประชากรประมาณ ๔,๕๐๐,๐๐๐ คน แบ่งเป็น ๗ รัฐ แต่ด้วยระบบการปกครองของเขา ๗ รัฐ เหมือน ๗ ประเทศ ต่างคนต่างมีระบบกฎหมายและระบบการเงินใช้กันเอง "รัฐบาลกลาง" ที่เมืองหลวงอาบูดาบี เพียงแต่มีอำนาจครอบคลุมเฉพาะด้านนโยบายต่างประเทศ และการป้องกันประเทศเท่านั้น คิดดูแล้วกัน ประชากรทั้งหมด ๔ ล้านกว่าคน แต่ทุกวันนี้ จากวิสัยทัศน์เพ้อเจ้อที่จะทำดูไบให้เป็น "ศูนย์กลางแห่งโลกยุคใหม่" ทุกสิ่ง-ทุกอย่าง เพื่อนำไปสู่ความเป็นจ้าวแห่งโลกยุคใหม่ ดูไบต้องอิมพอร์ตเข้ามาจากต่างประเทศทั้งสิ้น นอกจากของแล้ว ท่านเชื่อมั้ย..ยูเออีมีประชากร ๔ ล้าน แต่มีคนงานต่างชาติปาเข้าไปกว่า ๓ ล้าน ปั้นจั่นไปชุมนุมกันอยู่ที่นั่น ว่ากันว่า ๑ ใน ๓ เท่าที่มีอยู่ในโลก แต่ละปีต้องนำเข้าแรงงานประมาณปีละ ๑ แสนคน ยอดแรงงานต่างชาติที่เขารวบรวมไว้ ผมจะลอกมาให้ดูก็ได้:- อินเดีย ๑ ล้าน, ปากีสถาน ๗ แสน, บังกลาเทศ ๓.๕ แสน, ฟิลิปปินส์ ๒ แสน, อิหร่าน ๒ แสน, ศรีลังกา ๑.๖ แสน, อินโดฯ ๖.๕ หมื่น, เนปาล ๔.๕ หมื่น, ไทย ๓.๔ พัน, แรงงานสัญชาติอาหรับราว ๔ แสนคน ตรงนี้เป็นแง่สะท้อนให้เห็น "ความจริงที่มองข้าม" กันอยู่อย่าง นั่นคือ "ประชากร" ต้องถือว่าเป็นทรัพยากร หรือต้นทุนในการพัฒนาประเทศชาติอย่างหนึ่งอย่างยูเออี หรือกระทั่งอย่างไทยเราเอง พบอุปสรรคในการพัฒนาอย่างสำคัญอยู่อย่างคือ "ขาดทรัพยากรบุคคล" ที่จะมาเป็นพลังงานสร้างชาติ ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทางกาย คือระดับแรงงาน และพลังงานทางปัญญา คือระดับมันสมอง และนับว่าจะขาดจนเป็น "ปัญหา-อุปสรรค" สำคัญในอนาคตอันใกล้ เพราะอัตราวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรา ของไทย กำลังขาดสมดุลอย่างแรง คนยูเออี หรือโดยทั่วไปของคนอาหรับเขาไม่ทำงานกรรมกร และมีพลเมืองน้อยจึงเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง แต่คนไทยเรามีพลเมืองมากก็จริง แต่ "เลือก" หรือ "เกี่ยง" งาน ในขณะเดียวกัน ก็ไม่เลือกงานที่จะได้เงินง่ายๆ โดยไม่หนัก-ไม่เหนื่อย แต่สนุก!? เท่าที่ฟังดู การ (ใกล้จะ) พังพาบของดูไบเวิลด์ น่าจะสร้างวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะทาง "รัฐบาลกลาง" ของยูเออี ออกมาบอกแล้วว่า คงจะไม่เข้าไปช่วยอุ้มภาระหนี้สินทั้งหมด แต่จะเลือกดูเป็นรายๆ เป็นแต่ละกรณีไปว่าจะเข้าไปช่วยเหลือตรงไหน แบบไหน อย่างไรบ้าง! ซึ่งก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เพราะดูไบเวิลด์ ลึกลงไปในรายละเอียด ไม่ใช่การลงทุนของรัฐดูไบอย่างเดียว แต่ "สุลต่านอะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม" ผู้บริหารใหญ่ ใช้วิสัยทัศน์ระนาบทักษิณ บริหารโดยแตกลูก-แตกหลานบริษัทออกไปทำธุรกิจไขว้ ระโยงระยางกันไปทั่วโลกเป็นร้อยๆ บริษัท จนไม่รูว่าใครต่อใครบ้าง ฉะนั้น ที่เจ้าผู้ครองรัฐดูไบ ก็ดี รัฐบาลกลางที่อาบูดาบี ก็ดี แสดงทัศนะไปทางเดียวกันว่า "ไม่อุ้มทั้งหมด" แต่จะเลือกอุ้มเป็นรายๆ ไปนั้น คงทำให้ทั้งดูไบเวิลด์ ทั้งเจ้าหนี้ และทั้งระบบโลก ต้องปวดหัว-ตัวร้อนกันต่อไป! จากกรณีดูไบเวิลด์นี้ ว่ากันไปแล้วก็เป็น "กลยุทธ์โกนจุกแขก" คือเป็นการถ่ายเงินในกระเป๋าเศรษฐีน้ำมันดูไบ กลับไปไว้ในกระเป๋าระบบทุนสหรัฐตามเดิม ซึ่งมาตะเภาเดียวกับที่ "ซาอุดีอาระเบีย" เคยเจอมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๖-๑๗ จนสลัดเบ็ดไม่หลุดจากเหงือกมาจนถึงทุกวันนี้ คือโลกตอนนั้นก็มีปัญหาเรื่องน้ำมันนี่แหละ ซาอุฯ ได้ชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐี-มหาอำนาจน้ำมัน ในขณะที่สหรัฐต้องพึ่งน้ำมัน และเงินสหรัฐไหลไปเข้ากระเป๋าซาอุฯ กองเป็นภูเขาเลากา สหรัฐก็มาตรองว่า "เอ....จะหาวิธีไหนหว่า ที่จะถ่า ยเอาดอลลาร์จากซาอุฯ กลับไปสหรัฐบ้าง?" ก็เลยตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า "เจคอร์" คือคณะกรรมการเศรษฐกิจร่วมสหรัฐ-ซาอุฯ ส่งคนไปหลอกซาอุฯ ด้วยการตั้งเป้าหมายว่า "ให้หาวิธีสร้างภาระหนี้ให้กับซาอุฯ ในระดับที่ไม่สามารถใช้คืนได้ตลอดไป" และต้องทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่า เงินที่ซาอุฯ ได้จากการขายน้ำมันให้สหรัฐนั้น ต้องไหลกลับสหรัฐ! แล้วเจคอร์ไปหลอกซาอุฯ ให้ทำอะไรทราบมั้ยครับ....ก็เหมือนกันเดี๊ยะกับที่ดูไบกระอักเลือดอยู่ตอนนี้ เจคอร์ไปสำรวจซาอุฯ แล้ว นอกจากน้ำมันใต้ดิน บนดินก็มีแต่ทะเลทรายกับอูฐเต็มบ้าน-เต็มเมือง ก็เลยหลอกให้ซาอุฯ เนรมิตทะเลทรายเป็น "เมืองสุดยอดแห่งการรังสรรค์ของโลก"! ถ้าจะเปรียบ ซาอุฯ ตอนนั้นก็เหมือน "เศรษฐีขายสวน-ขายนา" บ้านเรา ได้เงินมาระบบทุนก็หลอกให้ซื้อ รถเก๋ง รถปิกอัพ รถมอเตอร์ไซค์ ซื้อมือถือ ซื้อตู้เย็น วิทยุ ทีวี กระทั่งไวอากร้า พักเดียวเกลี้ยง แถมเป็นหนี้ "ผ่อนงวด" ไม่จบ-ไม่สิ้น ซาอุฯ จากทะเลทราย ถูกเจคอร์ไปหลอกให้สร้างทุกอย่างที่เรียกว่า "ทันสมัยที่สุดในโลก" ด้วยวิทยาการใหม่-ล่าสุดของโลก เรียกว่าซาอุฯ ต้องซื้อเทคโนโลยี ซื้อสินค้าทุกอย่างจากสหรัฐเข้าไปในการเนรมิตประเทศใหม่ และด้วยคำว่า "วิทยาการใหม่" นั่นเท่ากับ สหรัฐได้ซาอุฯ เป็นที่โชว์สินค้าเทคโนโลยีทดสอบ และได้ลูกค้ารายใหญ่-จ่ายไม่อั้นไปในตัว! นั่นคืออาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบินรบ รถถัง อาวุธหนัก-เบา เทคโนโลยีไฟฟ้า เครื่องทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด การแพทย์คอมพิวเตอร์ สาธารณูปการเพื่อการสื่อสาร เรียกว่าสารพัด สหรัฐใช้วิธีนี้หลอกดูดเงินจากซาอุฯ นำกลับคืนประเทศ แถมกำชับเจคอร์ไว้อีกว่า "เมื่อได้ตามแผนแล้ว ต้องทำให้ซาอุฯ พึ่งพาสหรัฐมากขึ้น..มากขึ้น..และตลอดไป"! และผลลงท้าย ซาอุฯ ถ้าเรียกกันสวยๆ ก็เรียกว่า "หุ้นส่วนชีวิตสหรัฐ" แต่ถ้าเรียกตรงๆ ก็ว่า "รัฐที่ ๕๑ ของสหรัฐ" มีการตกลงเป็นสัญญากับวอชิงตันว่า "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซาอุฯ จะต้องจัดส่งน้ำมันให้สหรัฐในราคาที่พอใจต่อกัน" และในทางเดียวกัน ทางวอชิงตันก็ตอบแทนกษัตริย์ซาอุฯ ด้วยสัญญาว่า "เพื่อเป็นหลักประกันการดำรงอยู่ในฐานะผู้ปกครองอาณาจักรอย่างต่อเนื่องต่อไปของราชสำนัก สหรัฐจะสรรหาการสนับสนุนทั้งในการเมืองและการทหารให้ หากจำเป็น" แปลไทยเป็นไทยก็คือ "สหรัฐรับประกันสถาบันกษัตริย์ซาอุฯ ใครจะมาล้มล้าง-แตะต้องไม่ได้" ฟังดูดี เพราะยังไงๆ ซาอุฯ จะไม่เป็นเหมือนอิรัก-อิหร่านแน่ แต่สิ่งที่ซาอุฯ ต้องใช้แลกเพื่อได้มา คือ...น้ำมัน และจากนั้น ในความเป็นซาอุฯ ทั้งหมด ต้องพึ่งพาสหรัฐมากขึ้น..มากขึ้น..และตลอดไป เหตุก็มาจาก ถูกหลอกให้สร้าง-หลอกให้ทันสมัย เมื่อไปถึงจุดหนึ่ง สิ่งที่สร้าง-สิ่งที่ทันสมัย คือสิ่งที่นำตัวเองไป "ติดกับดัก" ทางเศรษฐกิจ ทางการเงิน และทางวิทยาการบริหาร-จัดการทั้งหมด! ย้อนกลับมาดูทางดูไบ "อลังการงานสร้างที่สุดแห่งโลก" ที่หลงภูมิใจนัก-ภูมิใจหนา ถึงขึ้นว่าถมทะเลเนรมิตเมือง ยังไม่ทันไรเลย "พังพาบแล้ว" เราอาจพูดได้ว่า อะไรที่เรียกว่า "ใหม่-ใหญ่-ล้ำหน้า-สุดยอด-ล่าสุด" ที่เป็นสิ่งปลูกสร้างในดูไบวันนี้ ล้วนอิมพอร์ตจากยุโรป-สหรัฐ ทั้งสิ้น และดูไบคือ "หนูทดลองยา" ให้กับยุโรป-สหรัฐ ในสิ่งที่เรียกว่า "เทคโนโลยี-วิทยาการ" ใหม่-ล่าสุดโดยตรง! ดูไบ-วันนี้ กับซาอุดีอาระเบีย-วานนี้ ซู่ซ่าให้เป็น "ที่สุดในโลก" เหมือนกัน ถูกหลอกให้สร้างสิ่งที่เรียกว่าทันสมัยเหมือนกัน แต่คนในชาติเจริญไม่ทันของใช้-ทำอะไรไม่เป็นซักอย่างเหมือนกัน และลงท้ายก็อาจคว่ำคะมำทราย ภายใต้คำขาดยุโรป-สหรัฐ "เราจะเสนอเงื่อนไขที่เจ้าไม่สามารถปฏิเสธได้" เหมือนกัน! นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" บนข้อคิดควรคำนึง รู้เขา-รู้เรา และ...อยู่อย่างเรา ดีที่สุด ที่มาไทยโพสต์ หัวข้อ: Re: บทเรียนที่น่าศึกษา ที่ตะวันออกกลาง เริ่มหัวข้อโดย: eskimo_bkk-LSV team♥ ที่ พฤศจิกายน 30, 2009, 07:37:56 pm :-X :D ping!
หัวข้อ: Re: บทเรียนที่น่าศึกษา ที่ตะวันออกกลาง เริ่มหัวข้อโดย: easymylive ที่ มกราคม 22, 2010, 02:18:43 pm ping!กระจ่างเลยครับ lv!
|