หัวข้อ: "เกษตรานุสติ ฉบับนาข้าว" เริ่มหัวข้อโดย: bombon ที่ มีนาคม 24, 2009, 05:32:18 pm เทคนิคการเกษตร
บทคัดลอกจากรวมเล่ม "เกษตรานุสติ ฉบับนาข้าว" โดย คิม ซา กัสส์ ................... ................... .................. เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเรื่องนาข้าว : 1. ปัจจุบันประชากรทั่วโลกกว่า 3,000 ล้านคน (มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งโลก) นิยมบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักมากกว่าขนมปังและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้เรื่อยๆ นั่นหมายถึง ตลาดข้าวโลกที่มีโอกาสโตขึ้น 2. ทั่วโลกมีข้าวประมาณ 2,000 สายพันธุ์ ปริมาณผลผลิตต่อไร่ที่ได้มากหรือน้อย ต่างกันนั้น นอกจากข้อจำกัดของลักษณะทางสายพันธุ์แล้ว สภาพอากาศ สภาพแวดล้อม และเทคนิคการปฏิบัติบำรุงก็มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น พันธุ์ข้าวจ้าวที่ทางราชการแนะนำ ได้แก่ กข-7 ทนทานต่อโรคขอบใบไหม้โรค ไหม้ และค่อนข้างทนทานต่อดินเปรี้ยว.....กข-23 ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคใบหงิก เพลี้ย กระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว...หอมคลองหลวง -1 กลิ่นหอมคล้ายขาวดอกมะลิ ทน ทานต่อโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดหลังขาว.....หอมสุพรรณ กลิ่นหอมคล้าย ขาวดอกมะลิ ทนทานต่อโรคขอบใบไหม้ เพลี้ยกระโดดหลังขาว.........สุพรรณบุรี-1 ทน ทานต่อโรคใบไหม้ โรคใบหงิก โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจั๊กจั่นสี เขียว.......สุพรรณบุรี-2 ทนทานต่อโรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล.....สุพรรณบุรี- 60 ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยจั๊กจั่นสีเขียว เพลี้ยกระโดดหลังขาว..... สุพรรณบุรี-90 ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคขอบใบหงิก โรคใบสีส้ม เพลี้ย กระโดดสีน้ำตาล.....ชัยนาท-1 ทนทานต่อโรคใบหงิก เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดด หลังขาว......ปทุมธานี-1 ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว........พิษณุโลก-2 ทนทานต่อโรคใบไหม้ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยกระโดดหลังขาว......สุรินทร์-1 ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบแห้ง ทนต่อดินเค็ม และความแห้งแล้ง พันธุ์ข้าวเหนียวที่ทางราชการแนะนำ ได้แก่ กข-10 ทนทานต่อโรคใบไหม้......แพร่-1 ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคขอบใบไหม้ โรคใบหงิก เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล..... สกลนคร. ทนทานต่อโรคใบไหม้ โรคใบหงิก เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล......สันป่าตอง ทนทานต่อโรคใบ ไหม้ โรคขอบใบแห้ง พันธุ์ข้าวที่ใช้ในพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ประจำปี 2550 จำนวน 6 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวหอมปทุม-1. ข้าวหอมสุพรรณ-1. ข้าวหอมดอกมะลิ กข-105. ข้าว กข- 6. ข้าวพัทลุง. ข้าวหอมพิษณุโลก-1. ข้าวไร่ดอกพยอม. และข้าวไร่ซิวแม่จัน. เป็น พันธุ์ข้าวที่ได้มาจากแปลงสาธิตในสวนจิตรลดา ข้าวไวแสง หมายถึง ข้าวสายพันธุ์ที่ปลูกแล้วเจริญเติบโตได้ดีในช่วงกลางวันสั้นกว่า กลางคืน หรือวันสั้นซึ่งมีแสงน้อยกว่า 12 ชม. เหมาะสำหรับปลูกเป็นข้าวนาปีหรือปลูกในฤดู ฝนแล้วออกดอกในฤดูหนาว ข้าวไม่ไวแสง หมายถึงข้าวสายพันธุ์ที่ปลูกแล้วเจริญเติบโตได้ดีทุกฤดกาล ตราบเท่า ที่มีน้ำอย่างเพียงพอ ปริมาณแสงไม่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโต เหมาะสำหรับปลูกเป็น ข้าวนาปรังหรือช่วงฤดูร้อน 3. ข้าวเป็นพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียว ปลูกได้ทุกพื้นทีๆ มีน้ำและทุกฤดูกาล โดยหลัง งอก 110-120 วัน (ตามชนิดของสายพันธุ์) ก็เก็บเกี่ยวได้ เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิดที่มี อินทรีย์วัตถุมากๆ โปร่ง ร่วนซุย น้ำและอากาศผ่านสะดวก 4. ข้าวไม่มีฤดูกาล ลงมือหว่าน/ดำเมื่อใด ให้นับต่อไปอีก 90-120 วัน ก็เก็บเกี่ยว ได้ การทำนาข้าวส่วนใหญ่รอน้ำฝนเพียงอย่างเดียว โดยเริ่มลงมือหว่าน/ดำเมื่อถึงฤดูฝน จึง ทำให้มีข้าวออกสู่ตลาดพร้อมกันทั่วประเทศ (พ.ย.และ มี.ค. ข้าวเปลือกล้นตลาด) ส่งผลให้ ราคาข้าวเปลือกถูกลง เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะข้าวล้นตลาด นาในเขตชลประทานซึ่งมีน้ำ บริบูรณ์ สามารถผันน้ำเข้าแปลงนาได้ทุกเวลาที่ต้องการ ควรวางแผนหว่า/ดำก่อนหรือหลังนา น้ำฝน 1-2 เดือน จะทำให้เก็บเกี่ยวได้ก่อนหรือหลังนาน้ำฝน 1-2 เดือน ซึ่งช่วงนี้ข้าวเปลือก เริ่มมีราคาดีขึ้นแล้ว หลังจากจัดตารางช่วงการทำนาได้ในปีแรกแล้วก็จะใช้ตารางช่วงการทำนา นี้ได้ตลอดไป 5. นาข้าวเป็นกิจกรรมทางการเกษตรที่มีประชากรทำมากที่สุด หรือมีพื้นที่ปลูกมากที่ สุด จนได้รับสมญาว่าเป็น "กระดูกสันหลัง" ของชาติ และข้าวเป็นพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียว ชนิดเดียวที่มีโรคและแมลงศัตรูพืชมากที่สุด 6. เมล็ดพันธุ์ข้าวบางสายพันธุ์ไม่มีระยะพักตัว บางสายพันธุ์มีระยะพักตัวยาว หรือ 0- 80 วัน ก่อนหว่าน/ดำจำป็นต้องรู้ระยะพักตัวของเมล็ดพันธุ์ด้วย........เมล็ดพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวใน ช่วงแล้ง อุณหภูมิร้อนมักมีระยะพักตัวสั้นความสำคัญของระยะพักตัวคือ เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านระยะ พักตัวครบกำหนดตามธรรมชาติของสายพันธุ์จะให้เปอร์เซ็นต์ความงอกสูงกว่าเมล็ดพันธุ์ที่พัก ตัวไม่ครบกำหนด หรือไม่ได้พักตัวเลย หรือพักตัวเกินกำหนด 7. ใส่ปุ๋ยเคมีแก่ต้นข้าวให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด 2 ช่วงเท่านั้น คือ ช่วงทำเทือก (เตรียมดิน) และช่วงตั้งท้อง-แต่งตัว การใส่ปุ๋ยช่วงอื่นๆ จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ 8. การใส่ปุ๋ยแต่งหน้า หรือใส่ปุ๋ยทันทีหลังปักดำ (นาดำ)หรือเมล็ดพันธุ์เริ่มงอก (นา หว่าน) จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะต้นกล้ายังไม่พร้อมรับและยังไม่มีความจำเป็นต้องให้ ทั้งนี้ ระยะต้นกล้างอกใหม่ๆจะใช้สารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดตัวเอง (แป้ง โปรตีน ไขมัน วิตามิน ฯลฯ) เป็นหลัก 9. แปลงนาน้ำพอแฉะหน้าดินจะตอบสนองต่อปุ๋ย (เคมี - อินทรีย์) ได้ดีกว่าแปลงนาน้ำ ขัง สังเกตแปลงนาที่ต้นข้าวขึ้นในแปลงบริเวณรอยต่อระหว่างที่ลุ่มกับที่ดอน ซึ่งมีน้ำพอแฉะ หน้าดินไม่ท่วมโคนต้น ต้นข้าวบริเวณนั้นมักจะเจริญเติบโต สมบูรณ์ แตกกอ มีจำนวนลำ มากกว่าต้นข้าวในบริเวณที่มีน้ำหล่อโคนต้น แสดงว่าธรรมชาติหรือนิสัยของต้นข้าวชอบน้ำพอ หน้าดินแฉะเท่านั้น 10. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศมีประโยชน์ต่อต้นข้าวในการสร้างแป้งหรือ เปลี่ยนสารอาหารต่างๆให้เป็นแป้ง หัวข้อ: Re: "เกษตรานุสติ ฉบับนาข้าว" เริ่มหัวข้อโดย: bombon ที่ มีนาคม 24, 2009, 05:33:37 pm 11. ข้าวที่ปลูกระยะระหว่างกอห่างๆ แล้วบำรุงให้แต่ละกอแตกหน่อเกิดเป็นลำใหม่
จำนวนมาก จะให้ผลผลิตดีกว่าทั้งคุณภาพและปริมาณ เมื่อเทียบกับการปลูกระยะระหว่างกอ ชิดมากๆ แต่ละกอจะแตกหน่อเกิดเป็นลำใหม่น้อย ปริมาณและคุณภาพไม่ดีนัก 12. การลดความสูงต้นของต้นข้าว ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเพิ่มปริมาณผล ผลิตและคุณภาพ นอกจากนี้ยังทำให้ต้นแข็งแรงไม่หักล้มง่าย และโรคแมลงเข้าเข้ารบกวน น้อยอีกด้วย.......ข้าวที่ลำต้นสูงมากๆ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำเลี้ยงไปสร้างลำต้นจึงทำให้มีสาร อาหารเหลือไปเลี้ยงรวงน้อย หรือ "ฟางมากเมล็ดน้อย-ฟางน้อยเมล็ดมาก"ต้นข้าวในน้ำที่ระดับ พอเปียกหน้าดิน (ดินแฉะเล็กน้อย) จะแตกกอได้จำนวนมากกว่าต้นข้าวที่ปลูกในน้ำขังค้าง หรือ ท่วมโคน........ข้าวลำต้นสูง (น้ำมาก ไนโตรเจนมาก) จะมีรวงสั้น แต่ข้าวลำต้นสั้น (น้ำ พอแฉะหน้าดิน สารอาหารสมดุลทุกตัว) จะมีรวงยาว.......ต้นข้าวช่วงระยะกล้าที่ไม่ได้ให้ 46- 0-0 แต่ให้ 16-8-8 แทน ควบคู่กับช่วง ตั้งท้อง-แต่งตัว ให้ 0-42-56 โดยฉีดพ่นพอเปียก ใบ 1-2 รอบ จะช่วยให้ต้นข้าวไม่สูงแต่กลับเจริญเติบโตทางข้างอวบอ้วน เหมือนต้นไม้ผลมี อาการอั้นตาดอก.......การตัดยอดช่วง ตั้งท้อง-แต่งตัว ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ต้นข้าวไม่สูง ต่อ แล้วอวบอ้วนเหมือนอั้นตาดอกได้เช่นกัน 13. ต้นข้าวที่ปลูกโดยวิธีปักดำ ฐานรากจะยึดดินลึกและแน่น สามารถต้านทานการล้ม ได้ดีกว่าแบบหว่าน 14. ดอกข้าวเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน และผสมกันเองได้.......ดอกจะเริ่มบานจากส่วนปลายรวงลงมาโคนรวง ดอกบานครบทั้งรวง ใช้ระยะเวลาประมาณ 7 วัน และช่วงดอกบานควรงดการฉีดพ่นทางใบเพราะอาจทำให้เกสร เปียกชื้นจนผสมไม่ติดได้ หรือผสมติดก็ได้คุณภาพเมล็ดไม่ดี ดอกข้าวที่บานในวันที่อากาศสดใส แสงแดดดี ช่วงเช้าถึงเที่ยง จะผสมติดเป็นผล (เมล็ด) ได้ดีซึ่งดอกข้าวจะบานและเกสรพร้อมผสมได้ภายในระยะเวลา 30-60 นาที ระยะข้าวเริ่มเป็นน้ำนมใช้ระยะเวลาประมาณ 7 วันหลังผสมติด ระยะข้าวเม่าหรือเป็นไตใช้ระยะเวลาประมาณ 14-21วันหลังผสมติด ระยะเมล็ดแก่เต็มที่หรือระยะเก็บเกี่ยวใช้ระยะเวลาประมาณ 30 วันหลังผสมติด 15. อากาศหนาว (15-20 องศาเซลเซียส / ภาคเหนือเกิดน้ำค้างแข็ง) ติดต่อกัน 10 วัน มีผลต่อต้นข้าวหลายอย่าง เช่น เมล็ดไม่งอก ต้นกล้าโตช้า ต้นแคระแกร็น ใบ เหลือง ออกดอกช้า และช่วงช่อดอกอ่อนเกสรจะฝ่อผสมไม่ติดหรือผสมติดก็เป็นเมล็ด ลีบ แก้ไขโดยการให้ "แม็กเนเซียม + สังกะสี + ธาตุรอง/ธาตุเสริม + กลูโคส + ฯลฯ" หรือ "ฮอร์โมนน้ำดำ" (ตามสูตรที่ให้ไว้) ล่วงหน้าก่อนหนาว 2-3 วัน และให้ ระหว่างอากาศหนาว ทุก 2-3 วันจนกว่าอากาศจะหายหนาว 16. อากาศร้อน (สูงกว่า 35 องศาเซลเซียส) ช่วงข้าวหลังผสมเกสรติด หรือเริ่มเป็น น้ำนมจะกลายเป็นข้าวเมล็ดลีบมาก แก้ไขโดยให้ "แม็กเนเซียม + สังกะสี + ธาตุรอง/ ธาตุเสริม + เอ็นเอเอ. + กลูโคส + ฯลฯ" ล่วงหน้า 2-3 วันก่อนอากาศร้อนและให้ระหว่าง อากาศร้อน ทุก 2-3 วัน จนกว่าอากาศจะปกติ 17. สายลมแรงมากทำให้ต้นข้าวเครียดเนื่องจากต้องคายน้ำมาก มีผลทำให้เมล็ดข้าว ลีบ รวงจะเป็นสีขาวคล้ายถูกหนอนกอทำลาย วิธีแก้ไขเหมือนช่วงอากาศร้อนจัด 18. การนับอายุข้าว นาดำเริ่มนับวันที่ปักดำ ส่วนนาหว่านเริ่มนับวันที่หว่าน แต่ อย่างไรก็ตาม ในธรรมชาติไม่มีตัวเลขที่แน่นอน ทุกอย่างต้องขึ้นกับ ปัจจัยพื้นฐานด้าน การเกษตร (ดิน - น้ำ - แสงแดด - อุณหภูมิ - ฤดูกาล - สารอาหาร - สายพันธุ์ - โรค) ที่ เป็นทั้ง "ปัจจัยต้าน และ ปัจจัยเสริม" ทั้งสิ้น 19. ตกกล้าสำหรับนาดำ (รถดำ) ระหว่างการตกกล้าในกระบะ (ตาป๊อก) กับการตกกล้า บนพื้นในแปลง (คนดำ) ใช้ระยะเวลา 16-20 วันเท่ากัน แต่ต้นกล้าบนพื้นในแปลงจะสูงก ว่า.......ต้นกล้าในกระบะเพาะเหมาะสำหรับใช้ปักดำด้วยรถดำนา ส่วนต้นกล้าในแปลงบนพื้น เหมาะสำหรับปักดำด้วยมือ 20. ในนาหว่าน ถ้าระดับน้ำท่วมเมล็ดมาก (น้ำลึก) เมล็ดจะงอกช้า เพราะในน้ำมี อากาศน้อย หลังจากงอกขึ้นมาแล้วลำต้นจะสูงและอ่อนแอ แต่ถ้าหว่านเมล็ดระดับน้ำพอท่วม เมล็ดหรือท่วมน้อยที่สุดจะงอกเร็วเพราะเมล็ดพันธุ์ได้รับอากาศด หัวข้อ: Re: "เกษตรานุสติ ฉบับนาข้าว" เริ่มหัวข้อโดย: bombon ที่ มีนาคม 24, 2009, 05:35:26 pm เข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่ สามรถมารถสอบถามเกี่ยวกับการเกษตรกับ ลุงคิมได้เลย ที่เวบบอร์ดครับ ของเขาดีจริงจึงบอกเพื่อน
http://kasetloongkim.com |