2521(1978) เดือนมีนาคม หลังจากได้ร่ำลาเพื่อนที่ดอนเมืองเสร็จ เวลาประมาฌเที่ยงคืนเชคอิน
ทางผู้โดยสารขาออก เจ้าหน้าที่ตรวจหนังสือเดินทาง ประทับตราออก แล้วเดินไปตามทาง
ขึ้นเครื่องเรียกว่าเกต Gate (ร้ัว)หรือประตูทางออก (หมายเลข)มีที่นั่งรอขึ้นเครื่องบิน
ยังไม่เคยขึ้นเครื่องบินไปไหนไกลๆเลย โชคดีที่มีเพึ่อนเคยเดินทางมาแล้วเป็นผู้นำ
กราว์ดโอสเตทเรียกขึ้นเครี่อง ได้ที่นั่งตรงกลางลำ แถวละ10ที่นั่ง ตรงกลาง6ที่ ข้างละ2ที่
เป็นเครื่องโบอิ่ง747-200บันทุกผู้โดยสารได้ประมาณ400คน มันทั้งใหญ่และยาว ไม่น่าขึ้นจากพื้นดินได้
เดี๋ยวจะได้รู้กัน มันกำลังเคลื่อนที่ไปตามแท็กซี่เวย์ อุ้ยอ้ายเหมือนนั่งหลังช้าง ระหว่างนั้นมีแอร์โอสเตท
แสดงวิธีหนีออกจากเครื่องและใส่แจ็กเก็จหากเครื่องต้องลงน้ำ เครื่องบินจอดที่หัวรันเวย์เตรียมขึ้น
มันเร่งเครื่องเสียงดังกระหึ่มแล้วออกวิ่งไปตามรันเวย์ ประมาณ2500เมตร มันกระดกหัวขึ้นก่อน
ในท่าเอนไปประมาณ300เมตรจึงพ้นพื้น ทุกคนเงียบ เราอยู่บนฟ้าเหนือกรุงเทพฯ เครื่องกำลัง
เอียงเพื่อให้ตรงทิศทางตะวันออกลางที่หมาย ได้ยินเสียงสัญญาณปลดเข็มขัด ใครจะไปห้องน้ำก็เชิญ
สักพักพนักงานเขนรถเสริพน้ำ ชา กาแฟ เสียงถามผู้โดยสารเป็นภาษาอังกฤษ Water,Tea,Coffee
(วอเด้อร์)(ตี้)(คอปปี๊)สำเนียงแขก จากนั้นเสริพอาหาร เป็นกล่องคลุมด้วยฟลอยส์ร้อนๆ
ทุกอย่างกระทัดรัด น้ำหนักเบา กินอาหารเสร็จ พนักงานเก็บถาดเข้าซอง พวกเรานั่งคุยกันยังไม่ง่วง
อาจเป็นเพราะตื่นเต้นออกเดินทางตี๒โดยสายการบินJordanian air line ใช้เวลาเดินทาง๗ชั่วโมง็
ระหว่างทาง มองออกไปทางหน้าต่างเห็นไฟฟ้าเป็นกลุ่มๆหย่อมๆ ส่วนมากจะมึด เหมือนลอยไปเรื่อยงฟ้าเริ่มสว่าง
ไร้ที่หมาย เสียงเครื่องยนต์เจทปลายปีกครางสม่ำเสมอ นานๆจะทีสบัดเล็กน้อย อากาศดีไม่มีฟ้าฝน
มองที่ปลายปีกเห็นไฟกระพริบแว็บๆไปตลอด ผู้โดยสารบางคนนั่งจิบเหล้าเบีย บางคนอ่านหนังสือ
ตอนแรกมีหนังฉายให้ดู หนังจบก็ไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้ว มันชั่งเป็นเวลานานจริงๆที่ลอยอยู่อย่างนี้
ท้องฟ้าเริ่มสาง มองเห็นน้ำทะเลสีดำ และเห็นแสงไฟเป็นจุดๆ น่าจะเป็นไฟจากบ่อน้ำมัน
เครื่องบินๆผ่านท้องทะเลสีคราม แสดงว่าเริ่มสว่างมากแล้ว เครื่องลดเพดานบินลง ได้ยินเสียง
กุ๊กกักใต้ท้องเครื่อง แล้วสัญญาณบอกให้รัดเข็มข้ดดัง เครื่องกำลังลง มองเห็นรันเวย์ทอดยาว
ไปทางหน้า เห็นทะเล บ้านชัดขึ้น พื้นทราย เสียงล้อแตะพื้น และเครื่องเร่งดังเพื่อเบรค
เครื่องบิน ถึงประเทศ Bahrain
ประมาณ๙โมงเช้าประเทศไทย ถอยหลัง๔ชั่วโมง (๖โมงเช้า)
ประเทศบาร์หเรนอยู่ห่างจากซาอุฯเพียง๒๔กม.เป็นเกาะเล็กๆ
ทางตะวันออก(มองแทบไม่เห็นในแผนที่โลก) รอเปลี่ยนเครื่องอีก๗ชม.ระหว่างนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่านอนเล่น
บนโซฟาเทอร์มิน่อลสนามบิน มองไปรอบด้านเห็นเมืองบาร์หเรนอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ไม่มีต้นไม้ หดหู่ใจ
เริ่มว้าเหว่ตั้งแต่ยังไม่เหยียบซาอุฯ จะรอดไม่หนอเรา เพื่อนที่เดินทางไปด้วยกันมี๖คน คนหนึ่งมีประสบการณ์
แล้ว นอกนั้นไม่เคยจากบ้าน แต่ทุกคนล้วนเป็นระดับหัวหน้างาน เขาส่งไปชิมลาง เวลาบ่ายโมงขึ้นเครื่องจาก
สนามบินบาร์หเรน
ลาก่อนนะบาร์หเรน เป็นเครื่องบินลำเล็กๆประมาณ๒๐ที่นั่ง ก่อนเครื่องบินขึ้นพนักงานเสริพ
แจกน้ำส้มคนละแก้ว แล้วเครื่องก็ทยานขึ้นยังไม่ทันถึงระดับเพดานบิน พนักงานรีบเก็บแก้วน้ำส้ม เครื่องลดเพดาน
ลงอย่างรวดเร็ว มองเห็นพื้นดินซาอุฯเป็นทะเลทราย มีบ้านเรือนเป็นหย่อมๆไม่มีสีสัน เครื่องบินลงที่สนามบิน
ตรงตัวAนั่นและครับ
ดาห์ราน
ถึงแล้วซาอุดิอาราเบีย โอพระเจ้าออกจากเครื่อง อากาศร้อนแทบอยากกลับเข้าไปอยู่ในเครื่องอย่างเดิม
เดินแบกกระเป๋าสะพายไปขาเข้า Immigration เข้าแถวรอตรวจหนังสือเดินทาง ท่าทางเจ้าหน้าที่ไม่เป็น
มิตรเอาเสียเลย เสียงกระแทกตราประทับโป้งๆในหนังสือเดินทาง น่ากลัวจัง เมื่อได้หนังสือคืนแล้วไปรอรับ
กระเป๋าเสื้อผ้าสัมภาระ Luggage ที่่สายพานลำเรียง ได้กระเป๋าแล้วเอาไปเปิดให้ศุลกากรดู Custom clear
อะไรที่ประเทศนี้ไม่ปารถนาจะถูกโยนลงถังขยะทันที ยกเว้นยาเสพติด แขวนคออย่างเดียว ข้าวของต้องเอาออก
มาวางให้หมด ของกินที่ห้าม หมู ปลาร้าห้ามติดตัว น้ำมันหมู อะไรที่เกี่ยวข้องกับหมูห้ามหมด พระเครื่องห้ามนำ
ติดตัว รูปเปลือย เหล้า อะไรที่มีแอลกอร์ฮอร์ห้ามหมด อะไรที่เกี่ยวกับศาสนาอื่นห้าม ยกเว้นอิสลาม ผมนึกไม่ออก
ว่าโดนทิ้งอะไรไปบ้าง เอาตัวรอดออกไปได้ก็ดีแล้ว
ลากกระเป๋าไปรอคนรับที่รอรับอยู่ด้านผู้โดยสารขาออก ตรงนี้และที่พี่น้องไทยถูกลอยแพเพราะไม่มีใครมารับ
ผมโชคดีที่มีคนคอยรับ แต่โชคร้ายในภายหลัง เมื่อเจอกันแล้วทักทายกันเรียบร้อยแบบงงๆ จากนั้นคนไทยที่มารับ
พาไปพบแขกซาอุฯ เราถูกขายต่อไปโดยไม่รู้ตัว ขึ้นรถเชพโรเลตคันงามไปกลางทะเลทราย ระหว่างทางเรามึนๆงงๆ
เพราะง่วงนอน แต่ก็รู้ว่าเดินทางผ่านทะเลทราย เสียงเพลงอาหรับในรถที่แขกเปิดยังดังก้องหูจนถึงวันนี้
มันเป็นเพลงเกลี้ยกล่อมด้วยไวโอลีน และกลองแทมะลีน พิน สองข้างทางไม่มีต้นไม้และบ้านคน
จะมีก็แต่รถบันทุกค้นใหญ่ๆ ๑๐ล้อรถพ่วง๑๘ล้อ ทำไมมันทั้งสูงใหญ่ไม่เคยเห็นในบ้านเรา
โดยเฉพาะเบ้นซ์หัวแตงโม ตื่นเต้นกับบ้านเมืองที่กำลังพัฒนาเกินบ้านเราเพราะมีกำลังซื้อสูง
ซื้อทุกอย่างที่ทันสมัยรุ่นล่าสุด ถึงที่พักเป็นเมืองเล็กๆชื่อ แอ้บเคกค์Abqaiq
ง่วงจังเลยขอเวลาหลับก่อนสักงีบนะครับ
แล้วค่อยพบกันใหม่ ติชมได้ครับ