“หมอธีระวัฒน์” เผยความจริงปรากฏ โควิดหลุดจากแล็บเป็นเรื่องจริง ฝีมือหมอใหญ่สหรัฐ
ธันวาคม 22, 2024, 12:57:19 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “หมอธีระวัฒน์” เผยความจริงปรากฏ โควิดหลุดจากแล็บเป็นเรื่องจริง ฝีมือหมอใหญ่สหรัฐ  (อ่าน 642 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13885


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2024, 06:36:11 pm »

“หมอธีระวัฒน์” เผยความจริงปรากฏ
โควิดหลุดจากแล็บเป็นเรื่องจริง ฝีมือหมอใหญ่สหรัฐฯ
ผ่านองค์กร
Eco Health Alliance


“หมอธีระวัฒน์” เผยโควิดหลุดมาจากห้องแล็บเป็นเรื่องจริง
โดยฝีมือของอดีต ผอ.สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ
ร่วมกับ “หมอใหญ่เฟาซี”
และอีกหลายคน ผ่านเงินทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
ที่มี Eco Health Alliance ซึ่งได้พัฒนา
เชื้อไวรัสร่วมกับสถาบันวิจัยอู่ฮั่น
เป็นตัวกลาง ล่าสุดถูกรัฐสภาสหรัฐสอบสวน
และสั่งยุติการให้เงินสนับสนุนแล้ว

วันนี้(18 พ.ค.) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

อาจารย์พิเศษสาขาประสาทวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ว่า
ความชั่วปรากฏ พฤษภาคม 2024 ความจริงปรากฏชัดจากที่ถูกป้ายสี
“โควิดมาจากห้องแล็บ (lab leak)” ว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด
แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องจริง

และเปิดเผยการปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยม
ของผู้ที่เป็นหัวหน้าองค์กร เช่น NIH Francis Collins
(นายฟรานซิส คอลลินส์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ
(National Institutes of Health) ของสหรัฐอเมริกา)
ที่ abuse ใช้อำนาจในทางที่ผิดในสหรัฐ
ทำลายนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอหลักฐานของกำเนิดโควิดจริงๆ

และทั้งนี้ยังมีโขลงของผู้มีอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง
ทั้ง Fauci
(นายแอนโทนี เฟาซี อดีตหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านการสาธารณสุข
ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19)

และกลุ่มที่บิดเบือน รวมไปถึงหัวหน้า CDC ซึ่งหน่วยงานของสหรัฐ
NIH CDC USAID DARPA ผ่านเงินทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ
ลงมาที่ตัวกลาง Eco Health Alliance ของ Peter Daszak
และทำการวิจัยและพัฒนาไวรัสโควิดกับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น
จนสำเร็จก่อนที่จะเกิดระบาดโควิดในปลายปี 2019

รวมทั้ง NIH ถือสิทธิบัตรครอบครองวัคซีนโควิดก่อนหน้าปี 2018 ด้วยซ้ำ

15 พฤษภาคม 2024 องค์กร Eco Health Alliance
ถูกตัดสินจากหลักฐานที่รัฐสภาสืบสวนสอบสวนมาตลอด
ยุติเงินทุนที่ได้รับที่นำไปใช้สำหรับตัวเอง
และส่งผ่านไปให้องค์กรอื่นและประเทศอื่นเก็บไวรัสจากสัตว์ป่า
และรายงานข้อมูลมาเพื่อสร้างไวรัสใหม่
และอยู่ในกระบวนการที่องค์กรนี้จะถูกเพิกถอนสิทธิ์
(disbarment)

คนอื่นๆ ที่เป็นตัวการในเรื่องนี้กำลังถูกทยอยจัดการตามลำดับ
และใครที่รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตหลาย 10 ล้านคนทั่วโลก
และยังเกี่ยวโยงไปถึงวัคซีนโควิดและ
การปกปิดผลกระทบผลข้างเคียงของวัคซีน

จับตาดูองค์กรใหญ่และหน่วยงาน
โรงเรียนแพทย์สถาบันในประเทศไทย
ที่รับเงินทำธุรกิจข้ามชาติจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
 ทั้งๆ ที่รู้ถึงเรื่องเหล่านี้และอันตรายที่เกิดขึ้น
แล้วและกำลังจะขึ้นถ้ายังคงทำต่อ
แต่เห็นแก่เงินเป็นสรณะ

องค์กรและบุคคลต่างๆ เหล่านี้จะ
เป็นกลุ่มเดียวกันที่พยายามปิดบัง
ผลกระทบของวัคซีนที่ทำให้ตาย
และพิการและมีผลในระยะยาว

หลักฐานที่นำมากล่าวนี้มีมากมาย
และเป็นบันทึกของรัฐสภาสหรัฐ
จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้



โค๊ด:
https://mgronline.com/qol/detail/9670000042959

 Wink


บันทึกการเข้า

eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13885


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2024, 05:45:32 am »

ไวรัสโควิด สร้างได้ในห้องทดลองและ มีจด สิทธิบัตร ตั้งแต่ปี 2018

เป็นโชคดีของมนุษย์โลกที่ในสหรัฐมีกฎหมายความโปร่งใส
ของข้อมูลที่ต้องเปิดเผย
ดังนั้นทำให้เราได้รับทราบจากเอกสาร 1400 หน้า
และมีสื่อต่างประเทศนำมาเปิดเผยมากมาย
จาก US right to know
รวมทั้งจาก Jim Haslam
ระลอกที่หนึ่งของการเปิดโปง

Ralph Baric มหาวิทยาลัย North Carolina ในปี 2018
ได้ ประกาศถึงความสำเร็จในการ
ประกอบร่างจากลูกผสมสองชิ้น (ไคมีร่า chimera) จากค้างคาว
ซึ่งมีความแตกต่าง 20%
จาก ซาร์ส หนึ่งที่ได้เคยระบาดไปแล้วในปี 2003

สองชิ้นที่ว่า ชิ้นส่วนแรกเป็นส่วนของ ท่อนที่จะจับติดกับมนุษย์
คือส่วนหนาม S1  จากค้างคาว 293 ซึ่งต่างจากซาร์ส หนึ่ง 20 เปอร์เซ็นต์
และชิ้นที่สองคือส่วน S2 จากค้างคาวเช่นกัน HK3 โดยมีความต่าง 20%

ทั้งนี้โดยมีความนัยว่า การสร้างไวรัสใหม่ชนิดนี้
จะสามารถครอบคลุมไวรัสที่จะแพร่และเกิดโรคระบาดในมนุษย์ได้ทั้งสิ้น
และสามารถที่จะสร้างวัคซีนให้มนุษย์ก่อนได้

ทั้งนี้ เมื่อเกิดระบาดของโควิด ปรากฏว่าโควิดนั้นมีความต่างจาก ซาร์ส หนึ่ง 22%

ความคิดในการสร้างไวรัสที่มีความต่างจากซาร์สหนึ่ง
ในลักษณะเช่นนี้  Baric ได้เปิดเผยในที่ประชุมของไวรัสโคโรนา
โดยอธิบายว่าถ้า มีความต่างมากกว่า 25%
จะไม่สามารถสร้างลูกผสมที่จะติดมนุษย์
และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆได้

Baric ขนานนามทฤษฎี 25% นี้ว่าเป็น bookend
ซึ่งคงไม่ได้หมายความว่าเป็นคันที่ตั้งหนังสือ
แต่หมายถึง จุดที่จะจบแล้วของกระบวนการไวรัสโคโรนา
ที่จะระบาดในมนุษย์ โดยมีตัวที่เป็นมาตรฐานของ
ไวรัสโคโรนา ที่จะระบาดทั่วโลก

Baric พยายามที่จะหาตัวอย่างไวรัสจากค้างคาว
ที่มีความต่างไม่เกิน 25% โดยนำจากค้างคาวชื่อ ไวรัส RaTG13
ที่เก็บในสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นตั้งแต่ปี 2013
โดยมีความต่าง 24.6%

หกเดือนก่อนหน้า การระบาดของโควิดในปี 2019
ทฤษฎีนี้ ได้เสนอขอทุนจากสถาบันสาธารณสุข สหรัฐ NIH NIAID
ในชื่อโครงการ CREID
(center for Research in emerging infectious diseases)

และได้รับ อนุมัติทุนไปแล้ว ที่สำคัญก็คือ
โดยมีการให้ทุนในประเทศไทยด้วย
และมีหน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิชาการ องค์กรในไทย
ปฏิบัติงานภายใต้ CREID นี้


โครงการนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะหาไวรัสที่มีความต่างไม่เกิน 25%
และไวรัสโควิดที่ปรากฏตัวแพร่ระบาดทั่วโลกตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา
มีความต่าง 22% จึงอาจจะเรียกได้ว่าแผนปฏิบัติงานเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในโครงการนี้
ยังมุ่งที่จะเน้นหาไวรัสที่เกิดการระบาดไปแล้ว
นั่นก็คือไวรัสในกลุ่มอีโบลา (Filoviruses) และ
กลุ่มนิปาห์ (Nipah virus ที่เกิดระบาดสมองอักเสบและปอดบวม)

โดยหาไวรัสจากค้างคาวที่มีความต่างไม่เกิน 10%
และนี่เป็นเหตุผลว่าองค์กรและสถาบันวิชาการของประเทศไทย
ทำไมถึงยังคงหาไวรัสในกลุ่มของโควิด กลุ่มของอีโบลา และนิปาห์อยู่
โดยให้ความต่างน้อยที่สุดไม่เกิน 10%
เพื่อที่จะสามารถเข้าติดเชื้อในมนุษย์
และเกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ระลอกที่สองของการเปิดโปง คือ
ความเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยดุ๊ก Duke NUS medical school ของสิงคโปร์
Linfa Wang และ Danielle Anderson
ในปี 2018 ที่ มีการเสนอ
ขอทุนโครงการ DEFUSE ซึ่งเป็นต้นแบบ ของ CREID
โดยเสนอต่อ DARPA กระทรวงกลาโหมสหรัฐ
แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ เพราะสุ่มเสี่ยงต่ออันตราย

แต่ในที่สุดก็พลิกแพลงเสนอต่อ NIH แทน
ในนามโครงการ CREID

Duke มีบทบาทที่สถาบันอู่ฮั่นในการทดลองวัคซีนที่ใช้กับค้างคาว
โดยในโครงการ DEFUSE นั้น
Danielle เป็นคนรับผิดชอบในการทดลองในสัตว์
โดยที่มีความเชี่ยวชาญในการศึกษาในไวรัส
และสัตว์ทดลองหลายชนิด

ในปี 2019 ปฏิบัติงานเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกัน
ในค้างคาวที่สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น
และในเดือนพฤศจิกายน 2019
ได้ออกจากสถาบันอู่ฮั่นโดยไม่ทราบเหตุผล
และไม่เคยเปิดเผยบทบาทในโครงการ DEFUSE ที่ขอ DARPA

Linfa Wang ถือเป็นปรมาจารย์ในเรื่องค้างคาว
ของโลกและเป็นบรรณาธิการ ในวารสาร
อันดับหนึ่งรวมทั้งวารสาร virology และลาออกจาก
ผู้อำนวยการของสถาบันโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ของ Duke

ส่วน Danielle เป็นผู้อำนวยการของห้องปฏิบัติการ
ชีวะนิรภัยระดับสาม ที่ Duke รับผิดชอบงานในสัตว์ทดลอง
โดยมีความเชี่ยวชาญในด้านอณูชีววิทยา
และกลุ่มไวรัส RNA

ระลอกที่สามของการเปิดโปง
Valentine Brutelle วิเคราะห์ให้เห็นว่าไวรัสโควิดนั้น
เป็นผลของการ เอนจิเนียร์
(reverse genetic system) ทางห้อง lab
จากชิ้นส่วนพันธุกรรม cDNA หกท่อน
ที่นำมาเรียงต่อกันโดยใช้ restriction endonuclease ที่สำคัญ

โดยที่ Baric ด้วยซ้ำ
ได้ตีพิมพ์การสร้างไวรัสจากท่อนของ DNA
ให้กลายเป็นสายเต็มของพันธุกรรม
เช่นโควิดและมีการเปิดเผยใน YouTube
ที่แสดงให้เห็นถึงการประกอบร่างของไวรัส

ในโครงการ DEFUSE 2018 Baric ได้ให้รายละเอียด
ของการใช้เอนไซม์ BsmBI ที่พบในไวรัสโควิดเช่นเดียวกัน
และได้มีการตีพิมพ์ในวารสาร Cell
ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2020
(หลังจากที่มีการระบาดของโควิดแล้ว)
โดยแสดงการสร้างไวรัส โควิด ว่ามีความง่ายเพียงใด
และศึกษาเนื้อเยื่อตำแหน่ง ที่ ไวรัสโควิดชอบไปอยู่ เช่น
ตามระบบทางเดินหายใจในส่วนต่างๆ
โดยที่ไม่ได้มีการพูดถึงที่คณะของตนเอง
มีการวางแผนล่วงหน้าในการสร้างไวรัสโควิดอยู่แล้ว
และในปี 2020 Baric ผันไปใช้ restriction enzymes ตัวอื่น
ในการประกอบร่างโควิด ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า
เป็นการเบี่ยงเบนความเชื่อมโยงกับโควิด

ระลอกที่สี่ของการเปิดโปง 
Baric ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ตนเองภูมิใจ
ทั้งในการที่สามารถสร้างไวรัสโควิดในหลอดทดลอง
และที่สำคัญก็คือ ตำแหน่งที่ทำให้มีความสามารถติดเชื้อในมนุษย์
และเกิดโรคได้ นั่นก็คือ furin cleavage site
ซึ่งชิ้นส่วนรหัสพันธุกรรมนี้ Baric เอง
เป็นคนแสดงในการที่จะตัดต่อ ส่วนนี้เข้าไปที่
รอยต่อของ ส่วนหนาม S1 กับ S2 (R667)

ระลอกที่ห้าของการเปิดโปง
Tim Sheahan ทีมของ Baric ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ
ทางด้านพันธุกรรมและมีลูกทีมหลายคนที่รับผิดชอบ
ในแต่ละส่วนของการเชื่อมสายพันธุกรรมของไวรัส

ในวันที่ 11 ธันวาคม 2019 Tim ได้แชร์สกรีนช็อต
จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แสดง BatSRBD ซึ่งเป็น
ข้อมูลรหัสพันธุกรรม ที่จำเพาะ consensus sequence ของ UNC
มหาวิทยาลัย North Carolina ที่ตีพิมพ์
ในวารสาร PNAS
“synthetic recombinant bat SARS-like coronavirus is infectious in cultured cells and in mice”

ในปี 2008 ทั้งนี้เป็นการสังเคราะห์ในห้องทดลอง ทั้งหมด
ของตัว ไวรัสโคโรนา ที่มีขนาด 27.9 kb เรียกว่า
bat SARS like coronavirus (Bat-SCoV)
โดยถือว่าสามารถเป็นตัวแทนต้นกำเนิดของการระบาด ซาร์ส
และมีความสามารถในการติดเชื้อในเซลล์และในสัตว์ทดลอง

นอกจากตัวนี้แล้ว ไวรัสโควิดเองถือเป็นการคัดเลือกจัดสรรจากจีโนม
ไวรัสโคโรนาของค้างคาวซึ่งรวมทั้ง RaTG13 
Laos  Banal  Thailand  Cambodia

ทั้งนี้ ตัวอย่างไวรัสจากค้างคาว
นานาชนิดที่มีศักยภาพในการทำให้เกิดโรคระบาด
จะเก็บในตู้เย็นที่ North Carolina ของ Baric
และทำเป็น Genetic แพลตฟอร์ม
ที่จะสร้างเป็นตัวไวรัสโควิดที่ดีที่สุด
และในที่สุดแล้วก็ได้ตัว 293 และ HK3 ดังได้กล่าวในข้างต้น

ในการแถลงข่าวร่วมกันของ Baric กับ Fauci ในปี 2020
Baric ได้กล่าวถึง 25% bookend ที่จะ ต้องศึกษาวิจัยเพื่อ
ป้องกันการระบาดทั่วโลกในครั้งต่อไป
โดยไม่ได้ แถลงถึงการวิจัยที่ผ่านมา
ในการสร้างไวรัส โดยที่มีพิมพ์เขียวอยู่แล้วของโควิด

Baric ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดโปง
ในเดือน กันยายน 2021 ของโครงการ DEFUSE
โดยได้ปฏิเสธว่า
“ไม่เคยส่งข้อมูลพันธุกรรมของไวรัสลูกผสม clones หรือตัวไวรัส”
ให้สถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น
อย่างไรก็ตาม Fauci ได้อนุมัติเงินทุน 65,000,000 เหรียญ
ให้กับ UNC Baric ใน โครงการพัฒนายาต้านไวรัส
rapidly emerging anti-viral drug development initiative (READDI)

และอย่าลืมว่า สิทธิบัตรของ
ข้อมูลพันธุกรรมของไวรัสโควิดเป็นของ Baric และ NIH ตั้งแต่ปี 2018

-------------------------------------------------------------------------

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

โค๊ด:
https://www.facebook.com/thiravat.h/?locale=th_TH
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!