ด่วน!ศาลปกครองสูงสุดสั่ง'สตช.'ชดใช้ค่าสินไหมสลายพันธมิตรฯหน้ารัฐสภาปี51
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 25, 2024, 10:28:12 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ด่วน!ศาลปกครองสูงสุดสั่ง'สตช.'ชดใช้ค่าสินไหมสลายพันธมิตรฯหน้ารัฐสภาปี51  (อ่าน 1200 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13886


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: มกราคม 31, 2018, 02:37:15 pm »



31 ม.ค. 61 - ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
คดีหมายเลขดำที่ อ. ๒๘๐/๒๕๕๖ หมายเลขแดงที่ อ. ๑๔๔๒/๒๕๖๐
ในคดีที่นายชิงชัย  อุดมเจริญกิจ กับพวกรวม ๒๕๐ คน ผู้ฟ้องคดี
และนายกร  เอี่ยมอิทธิพล กับพวกรวม ๑๑ คน ผู้ร้องสอด ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และสำนักนายกรัฐมนตรี
เป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ กรณีสลายการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑
ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับความเสียหายแก่ชีวิตร่างกายและทรัพย์สิน
โดยคดีนี้ศาลปกครองกลางวินิจฉัยว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง
เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุอันเป็นการกระทำละเมิดแก่ผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอด
และมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่ผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอด จำนวน ๒๕๔ ราย

โดยศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีอำนาจหน้าที่ยับยั้งการชุมนุม
ที่เป็นไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายโดยปิดล้อมบริเวณรัฐสภาเพื่อไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบายได้
แต่ไม่ว่าการชุมนุมจะเป็นไปโดยสงบที่จะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมตามขั้นตอนและวิธีการที่เหมาะสม
แต่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีข้อบกพร่อง
ในขั้นตอนการเตรียมการหารถดับเพลิงมาใช้ในการสลายการชุมนุม
และวิธีการยิงแกสน้ำตา ประกอบกับแกสน้ำตาที่นำมาใช้ได้ซื้อมาเป็นเวลานานจึงมีประสิทธิภาพต่ำ
ทำให้ต้องใช้แกสน้ำตาจำนวนมากเกินกว่าที่จะใช้โดยปกติทั่วไป
ทำให้เกิดการปั่นป่วนชุลมุนและผู้ชุมนุมได้รับอันตราย
เกิดความเสียหายแก่ชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของผู้ชุมนุม
จึงเป็นการกระทำละเมิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในความเสียหายดังกล่าว

ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ นั้น มติคณะรัฐมนตรีที่ให้มีการประชุมแถลงนโยบายที่รัฐสภาเป็นไปตามปกติ
ซึ่งหากมีเหตุการณ์ไม่สงบเรียบร้อย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
สมควรติดตามสถานการณ์และเตรียมการเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหา
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจึงไม่ได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการในการสลายการชุมนุม
จึงไม่ได้กระทำละเมิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จะต้องรับผิดต่อผู้ได้รับความเสียหาย
สำหรับความรับผิดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นั้น การกระทำละเมิดสืบเนื่องมาจากการชุมนุมบางส่วน
ที่มีลักษณะทำให้ผู้อื่นเกรงกลัวซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่จะต้องระงับยับยั้ง
การกระทำดังกล่าว จึงให้ลดค่าเสียหายลงจากที่ศาลปกครองกลางกำหนด
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง
เป็นให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่ผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอด จำนวน ๒๕๔ ราย ลดลงจากที่ศาลปกครองชั้นต้นกำหนดร้อยละ ๒๐
และยกฟ้องสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ .
     

สรุปย่อคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดคดีหมายเลขดำ
ที่ อ. ๒๘๐/๒๕๕๖ หมายเลขแดงที่๑๔๔๒/๒๕๖๐ ระหว่างนายชิงชัย  อุดมเจริญกิจ
กับพวกรวม ๒๕๐ คน ผู้ฟ้องคดี นายกรณ์  เอี่ยมอิทธิพล กับพวกรวม ๑๑ คน
ผู้ร้องสอด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒

คดีนี้ผู้ฟ้องคดี ๒๕๐ คนและผู้ร้องสอด ๑๑ คน ฟ้องว่า
จากการสลายการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑
ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับความเสียหายแก่ชีวิตร่างกายและทรัพย์สินเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๘ ถึงแก่ความตาย
ผู้ฟ้องคดีอื่นและผู้ร้องสอดได้รับอันตรายแก่กายสาหัสและได้รับอันตรายแก่กาย
จึงฟ้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ศาลปกครองกลางไม่รับคำร้องของผู้ร้องสอดที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๖ ที่ ๘ ที่ ๙ และที่ ๑๑ ไว้พิจารณา
ต่อมา มีคำพิพากษาโดยวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ปฏิบัติตามหลักมาตรฐานสากล
ในการสลายการชุมนุมจากเบาไปหาหนัก โดยใช้โล่กำบังผลักดัน
ใช้ฉีดน้ำจากรถดับเพลิงแล้วจึงค่อยใช้แก๊สน้ำตา
รวมทั้งต้องประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบก่อน และการใช้แก๊สน้ำตาได้ยิงและขว้างตรงเข้าไปยังผู้ชุมนุมโดยตรง
และยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาล
และการสลายการชุมนุมได้ใช้แก๊สน้ำตาที่ขัดต่ออายุการใช้งาน
ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีได้ร่วมในการประชุมคณะรัฐมนตรี
และมีมติว่าต้องประชุมในรัฐสภาและสั่งการ
ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ผลักดันประชาชนที่ปิดล้อมรัฐสภาออกไป
เพื่อให้แถลงนโยบายในวันดังกล่าวให้ได้
ซึ่งในขณะแถลงนโยบายเมื่อทราบว่ามีการสลายการชุมนุม
ทำให้ประชาชนบาดเจ็บนับร้อยคน แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ใส่ใจ
หลังการประชุมสภาแล้วเสร็จเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
ยังคงใช้กำลังและอาวุธสลายการชุมนุม นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี
และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมิได้สนใจ
สั่งห้ามการกระทำละเมิดต่อกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความเห็นว่า

เป็นการกระทำความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและ
คณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติมีความเห็นว่า

เป็นการกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น
เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ได้รับอันตรายสาหัส ฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไต่ตรองไว้ก่อน

จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอด
จึงมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ฟ้องคดี
และผู้ร้องสอดจำนวนตั้งแต่ ๘,๙๐๐ บาท ถึง ๕,๑๙๐,๙๖๔.๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โดยให้มีสิทธิได้รับในความเสียหายเท่าที่เหลือจากที่ได้รับเงินทดแทนเยียวยา
ความเสียหายจากหน่วยงานของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ และสงวนสิทธิที่จะแก้ไข
คำพิพากษาในการต้องรักษาอย่างต่อเนื่องภายใน ๒ ปี
ยกฟ้องผู้ฟ้องคดีที่ ๔๕ คู่กรณีคือ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ถึงที่ ๑๓๕ ที่ ๑๓๗ ถึงที่ ๒๕๐
ผู้ร้องสอดที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๗ ที่ ๑๐ กับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการกระทำของผู้ชุมนุม
เป็นการกระทำเพื่อขัดขวางไม่ให้นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี
เข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไม่ใช่การก่ออาชญากรรมโดยแท้
จึงไม่อาจปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมทั้งหมดด้วยวิธีการเดียวกับการจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาได้
แต่หากการชุมนุมเป็นไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายทำให้ผู้อื่นเกิดความเกรงกลัว
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองย่อมมีอำนาจหน้าที่ระงับยับยั้งได้
แต่ทั้งนี้การปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายระเบียบ


และขั้นตอนวิธีการที่เหมาะสมตามที่กำหนดไว้  ดังนั้น
ไม่ว่าการชุมนุมจะเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองย่อมไม่อาจปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายระเบียบ
และขั้นตอนวิธีการที่เหมาะสมได้
ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ ๑๖๐๕/๒๕๕๑ อันเป็นคดี
ที่ผู้ชุมนุมบางรายยื่นฟ้องขอให้ยุติการใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุม
และมีคำขอให้ศาลกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว
ขอให้ห้ามการกระทำดังกล่าวในระหว่างพิจารณาคดี

ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่าการชุมนุมหน้ารัฐสภา
มิใช่การชุมนุมโดยสงบอันจะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
แต่การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสลายการชุม
ต้องกระทำเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความเหมาะสม
มีลำดับขั้นตอนตามหลักสากล
เมื่อการสลายการชุมนุมมีประชาชนเสียชีวิต ๑ ราย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

โดยประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมากไม่ได้รับการแจ้งเตือน
จึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการ
หรือวิธีการคุ้มครองให้หากจะกระทำการใดๆ ต่อผู้เข้าร่วมชุมนุม
ต้องดำเนินการเท่าที่จำเป็นโดยคำนึงถึงความเหมาะสม
มีลำดับขั้นตอนตามหลักสากล และ

ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าหลังเกิดเหตุคดีนี้

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้มอบหมายให้
คณะอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๑ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ซึ่งศาลสามารถรับฟังพยานหลักฐานที่ปรากฏตามรายงานดังกล่าวได้
โดยพยานให้ถ้อยคำว่าหลักในการควบคมฝูงชนมี ๒ วิธี คือ
๑. เจรจา
๒. เจรจาไม่ได้ผลจึงใช้กำลังโดยให้เจ้าหน้าที่นำโล่และแก๊สน้ำตา
ติดตัวไปโดยไม่มีกระบอง

ขั้นตอนการปฏิบัติ
คือ ๑. ใช้กำลังผลักดัน
๒. รถฉีดน้ำ
๓. แก๊สน้ำตา
๔. กระสุนยาง
๕. ยิงปืน จู่โจมจับแกนนำ

และข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นที่ยุติตามที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายไม่โต้เถียงกันว่า
ก่อนการใช้แก๊สน้ำตาเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ไม่ได้ใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้แต่อย่างใด
โดยพยานให้ถ้อยคำว่าได้ประสานขอรถดับเพลิงไปยังกรุงเทพมหานครแล้วแต่ไม่ได้
จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตา
โดยปรากฏว่าได้มีการขอรถไฟฟ้าส่องแสงสว่างและรถดับเพลิง
ไปยังกรุงเทพมหานครตามหนังสือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๑ แต่ไม่มีการเร่งรัดใดๆ
และมีหนังสืออีกครั้งหนึ่งตามหนังสือลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑
อันเป็นวันเกิดเหตุทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบก่อนหน้านั้น
แล้วว่าจะมีการชุมนุมที่บริเวณหน้ารัฐสภาและเป็นการขอรถดับเพลิง
หลังจากผู้ชุมนุมได้เคลื่อนมวลชนมาที่บริเวณหน้ารัฐสภาเมื่อเวลา ๒๐ นาฬิกา
ของวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ แล้ว และถึงแม้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะอ้างว่า
มีการกระทำความผิดต่อกฎหมายและมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
และอ้างส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าวจำนวนหลายคดี
แต่ก็ปรากฏตามสำนวนการสอบสวนดังกล่าวว่าเป็นการกระทำหลังจากเจ้าหน้าที่
ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมเป็นครั้งแรกเวลา ๖ นาฬิกาเศษ ทั้งสิ้น
อีกทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอดแต่ละรายเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าว
และข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมได้รับอันตรายแก่ชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ในระยะเวลาแตกต่างกันหลายครั้งหลายสถานที่ตั้งแต่เริ่มมี
การสลายการชุมนุมเมื่อเวลาประมาณ ๖ นาฬิกาเศษ มิใช่ได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาเดียวกัน
จึงไม่อาจรับฟังได้ว่ากรณีดังกล่าวเกิดจากวัตถุระเบิดที่ตนพกพามา
ซึ่งตามบทบัญญัติของกฎหมายวิธีพิจารณาคดีปกครอง ศาลปกครองมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริง
และรับฟังพยานหลักฐานที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
และรายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้
แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้ส่งสำนวนการไต่สวนต่อศาลโดยแจ้งว่า

ใช้ในการดำเนินคดีอาญา ศาลจึงไม่อาจรับฟังความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้
แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ส่งรายงานการตรวจสอบ


ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทั้งหมดต่อศาล ทั้งนี้
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นองค์กรอิสระ
ตามรัฐธรรมนูญที่ค้ำจุนการบริหารประเทศ
ให้เป็นไปโดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพยานบุคคลและพยานเอกสาร
จึงสมควรแก่การรับฟังเป็นอย่างยิ่ง
โดยศาลไม่ได้รับฟังในส่วนที่เป็นความเห็น
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
แต่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการให้ถ้อยคำของ
พยานบุคคลและพยานหลักฐานซึ่งเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ความเห็น
เมื่อไม่มีปัญหาโต้แย้งและพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า
พยานบุคคลและพยานหลักฐานที่ปรากฏเป็นพยานหลักฐานเท็จ
หรือเกิดจากการปรุงแต่งหรือดำเนินการไปโดยกลั่นแกล้งผู้หนึ่งผู้ใด
ศาลจึงสามารถรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าวได้
ส่วนการดำเนินการขององค์กรอื่นๆ และสำนวนการสอบสวนคดีอาญานั้น
ศาลมีอำนาจพิจารณาเปรียบเทียบกับพยานหลักฐานอื่นๆ
และสามารถใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานว่าพยานหลักฐานใด
รับฟังได้พยานหลักฐานใดรับฟังไม่ได้
เพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัยคดี ซึ่งถึงแม้การให้ถ้อยคำของผู้ฟ้องคดี
และพยานบางรายที่ยืนยันการกระทำที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จะเป็นผู้ร่วมชุมนุมที่เป็นผู้ได้รับความเสียหายในคดีนี้
ซึ่งต้องรับฟังการให้ถ้อยคำของบุคคลดังกล่าวด้วยความระมัดระวัง

แต่ก็มีกลุ่มสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ซึ่งมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในการชุมนุม
และไม่ใช่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ให้ถ้อยคำสอดคล้องต้องกันกับผู้ฟ้องคดี

และพยานที่เป็นผู้ร่วมชุมนุม อีกทั้งพยานทั้งหมดได้ให้ถ้อยคำ
ต่อคณะอนุกรรมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ๑
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๑
ซึ่งเป็นเวลาใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุที่ยังจดจำเหตุการณ์ได้
จึงฟังได้ว่าเป็นการให้ถ้อยคำตามความเป็นจริงไม่มีการเสริมแต่งข้อเท็จจริงใดๆ

และยังมีการให้ถ้อยคำของกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน
มายืนยันในความไม่เหมาะสมในวิธีการสลายการชุมนุม
และการใช้แก๊สน้ำตาอีกด้วย พยานหลักฐานดังกล่าว
จึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่า

การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่ง
เป็นเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีข้อบกพร่องในขั้นตอนการเตรียมการ

หารถดับเพลิงมาใช้ในการสลายการชุมนุมและมีข้อบกพร่อง
ในวิธีการยิงแก๊สน้ำตา โดยยิงในแนวตรงขนานกับพื้นซึ่งไม่เป็นไปตามวิธีการที่ถูกต้อง

ที่ต้องยิงเป็นวิถีโค้ง ประกอบกับแก๊สน้ำตาที่นำมาใช้เป็นแก๊สน้ำตาที่ซื้อมา
เป็นเวลานานจึงมีประสิทธิภาพต่ำ จึงต้องใช้แก๊สน้ำตาจำนวนมากเกินกว่าที่จะใช้โดยปกติทั่วไป
ทำให้เกิดความปั่นป่วนชุลมุนเกิดความเสียหายต่อผู้ชุมนุมมาก
เกินกว่าผลตามปกติที่เกิดจากการใช้แก๊สน้ำตาที่มีประสิทธิภาพดี
และยิงโดยวิธีการที่ถูกต้อง และยังส่งผลเสียหายไปถึงการปฏิบัติหน้าที่
ของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่มาช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ
ซึ่งไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติจะรู้ถึงข้อบกพร่องของขั้นตอนในการเตรียมการ
หารถดับเพลิงมาใช้กับผู้ชุมนุมก่อนการใช้แก๊สน้ำตาและข้อบกพร่อง
ในประสิทธิภาพของแก๊สน้ำตาที่ทำให้ต้องยิงแก๊สน้ำตาเป็นจำนวนมากหรือไม่ก็ตาม

แต่เมื่อบกพร่องดังกล่าวส่งผลให้
เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดี
และผู้ร้องสอดแต่ละรายจึงเป็นการกระทำโดยจงใจ
หรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย
ให้เขาเสียหายแก่ชีวิตร่างกายสิทธิและเสรีภาพ
จึงเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่

ผู้กระทำละเมิดจึงต้องรับผิดต่อผู้ได้รับความเสียหาย

ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า แม้นายกรัฐมนตรี
จะเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่มีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่ง
และการกระทำละเมิดดังกล่าวจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากมติคณะรัฐมนตรี
ที่ให้มีการจัดประชุมแถลงนโยบายที่รัฐสภา แต่มติดังกล่าวก็เป็นไปตามปกติ
เพื่อให้การแถลงนโยบายของรัฐบาลดำเนินการไปได้เท่านั้น
โดยปรากฏตามเอกสารมติคณะรัฐมนตรีว่า ประธานรัฐสภาได้มีหนังสือนัดประชุมแล้ว
หากมีเหตุการณ์ความไม่สงบเรียบร้อยและเป็นอุปสรรคต่อการประชุม
หน่วยงานที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
สมควรติดตามสถานการณ์และเตรียมการเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหา
หากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกำหนดนัดหรือสถานที่ประชุมทางรัฐสภา
คงต้องปรึกษาหารือกันแล้วแจ้งคณะรัฐมนตรีทราบ
และมีมติมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีติดตามตรวจสอบสถานการณ์
และกำกับดูแลการรักษาความสงบเรียบร้อย
โดยประสานสั่งการผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจึงไม่ได้กำหนดขั้นตอนและวิธีการ
ในการสลายการชุมนุมแต่อย่างใด การกำหนดขั้นตอนและวิธีการในการสลายการชุมนุม
เพื่อเปิดทางให้มีการประชุมแถลงนโยบายจึงอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่
ของเจ้าหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่มีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย
และมีระเบียบกฎหมายกำหนดขั้นตอนวิธีการปฏิบัติหน้าที่ที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
อีกทั้งเมื่อเริ่มมีการประชุมแล้วและเกิดความเสียหาย
ย่อมเป็นอำนาจของประธานรัฐสภาที่จะสั่งให้ปิดประชุมเพื่อยุติเหตุการณ์หรือไม่
มิใช่อำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด
 ดั้งนั้น นายกรัฐมนตรีและเจ้าหน้าของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒
จึงไม่ได้กระทำละเมิดที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ หรือหน่วยงานอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดแต่อย่างใด

ในส่วนของค่าเสียหายนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า
กรณีสืบเนื่องมาจากการชุมนุมบางส่วนมีลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเกรงกลัวว่า
จะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพและทรัพย์สินซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
ที่จะต้องระงับยับยั้งการกระทำดังกล่าว
เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดแล้ว
เห็นว่าค่าเสียหายที่ศาลปกครองชั้นต้นกำหนดสูงเกินส่วน
จึงสมควรลดค่าเสียหายลดร้อยละ ๒๐ ศาลปกครองสูงสุด
จึงมีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น

เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่ผู้ฟ้องคดีและผู้ร้องสอดแต่ละรายจำนวน
ตั้งแต่ ๗,๑๒๐ บาท ถึง ๔,๑๕๒,๗๗๑.๘๔ บาท
พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น



อ้างถึง


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!