กสทช. ยืนยันให้ประมูลโทรศัพท์ในคลื่น 4G ทั้งหมด 4 สัญญา
ประมูลและตัดสินวันละ 2 สัญญา รวมสองวันติดกัน ในวันที่ 11 - 12 พฤศจิกายน ศกนี้
จนถึงขณะนี้มีผู้เข้าร่วมประมูลเพียง 4 รายเท่านั้น ตามคาด
วันนี้คนไทยเข้าใจดีถึงความจำเป็นที่ต้องมีการประมูล เพียงแต่หลายท่านพยายามบอก กสทช. ว่า
ประเทศชาติจะได้ประโยชน์มากกว่า ถ้าการประมูลที่จัดเป็น 2 วันๆ ละ 2 สัญญาตามเดิม
แต่ควรทิ้งระยะเวลาให้ห่างกันสัก 3 เดือนเพราะจะทำให้เกิดการแข่งขันราคาในการประมูลมากขึ้น
ตามกลไกตลาดและสร้างรายได้เข้ารัฐเพิ่มขึ้นอีกหลายหมื่นล้านบาท ด้วยเหตุผล ดังนี้
1. ในธุรกิจการสื่อสารยุคดิจิตอลที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างนี้ ไม่มีใครอยากช้ากว่าคนอื่น
ผู้ประกอบการย่อมต้องการเป็นผู้นำตลาด ทุกรายต้องชิงการได้เปรียบโดยเฉพาะเรื่องความเร็วในการเปิดให้บริการ
2. เราเคยเห็นบทเรียนมาแล้วจากการประมูลคลื่น 3 G ที่ผ่านมา มีผู้เข้าแข่งขัน 3 ราย
เพื่อชิงใบอนุญาต 3 ใบ มีผลทำให้ราคาประมูล ต่ำกว่าราคาประเมินไว้ถึงร้อยละ 27
ทำให้รัฐต้องสูญประโยชน์จากการเสียรายได้ไปหลายหมื่นล้านบาท
ซึ่งควรเป็นรายได้ที่นำไปพัฒนาประเทศได้อีกมาก
3. แม้ กสทช. จะอ้างว่าการเร่งประมูลจะทำให้ประชาชนได้ใช้บริการเร็วขึ้น
แต่ในความเป็นจริงหากมีการเปิดให้บริการโดยผู้ชนะการประมูลรอบแรกสองรายบวกกับ
การที่มีผู้ให้บริการบางรายในระบบ 3 G เปิดให้การบริการบางส่วนด้วยระบบ 4 G อยู่แล้ว
จึงเชื่อ ประชาชนไม่ได้เสียโอกาส แต่อย่างใด นักธุรกิจ 2 ราย
ที่ได้สัมปทานทีหลังต่างหากที่จะเสียเปรียบการแข่งขันไป 3 เดือน
วันนี้ กสทช. ได้เชิญชวนให้บุคคลและองค์กรที่มีชื่อเสียงบางแห่งให้เข้าร่วมสังเกตุการณ์ในวันประมูลตามที่กำหนด
ทำให้ผมนึกถึงเวลาประมูลสร้างตึก สร้างถนน สร้างสะพานที่เขาทำอีอ็อคชั่นกัน
เกือบทั้งหมดเขาฮั้วกันเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนวันประมูลแล้ว
วันประมูลจึงเป็นเพียงการแสดงละครตบตาเป็นพิธีเท่านั้นเอง ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
โดยทั่วไปกฎหมายจะกำหนดว่าการกระทำใดที่ห้ามทำหรือทำไม่ได้
เพราะถือเป็นความผิดในคดีคอร์รัปชัน แต่ที่ผ่านมาการกระทำบางอย่างแม้เข้าข่ายว่า ฮั้ว กัน
หรือเป็น คอร์รัปชันเชิงนโยบาย กฎหมายยังเอาผิดไม่ได้
คอร์รัปชันเชิงนโยบาย มักเกิดขึ้นกับโครงการขนาดใหญ่ที่มีเงินจำนวนมากมาเกี่ยวข้อง
การโกงต้องทำโดยสมรู้ร่วมคิดกันเป็นขบวนการระหว่างนักธุรกิจ
นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงซึ่งอาจมีคนเดียวหรือหลายคนในหน่วยงาน
หรือหลายคนจากหลายหน่วยงานมาร่วมมือกัน ในการทำโครงการนั้นๆ
เขาจะอาศัยช่องว่างและอำนาจตามกฎหมาย พวกเขาจะหาเหตุผลมาอธิบายให้สังคมหลงเชื่อว่า
ได้ทำเพื่อประโยชน์ของสาธารณะและเป็นเรื่องที่ดีเลิศอย่างไร
แต่มักเป็นการกล่าวอ้างถึงสิ่งที่จะได้ (Output) เพียงกายภาพ
โดยไม่สนใจถึงผลสัมฤทธิ์ (Outcome) ความเสียหายหรือผลกระทบที่ตามมาในเชิงเศรษฐศาสตร์ในระยะยาว
ทั้งๆ ที่เบื้องหลังของโครงการมีการฉ้อโกง กอบโกยและสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวม
แต่พฤติกรรมที่อาศัยอ้างอิงกฎระเบียบเช่นนี้ ก็ดูถูกต้องและมีความชอบธรรมตามกฎหมาย(Legalize)
ทุกวันนี้ ป.ป.ช. จึงได้นำหลักนิติเศรษฐศาสตร์มาใช้เพื่อวิเคราะห์
ประเมินและเชื่อมโยงพฤติกรรมของผู้มีอำนาจและผู้เกี่ยวข้อง
กับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับทุกตัวแสดงโดยศึกษาความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ
รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติหรือผลประโยชน์ของส่วนรวม
จากการกระทำทั้งหมดนั้นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งแนวคิดนี้นับว่าก้าวหน้าและได้ผลดี
คอร์รัปชันแบบนี้เหล่าคนโกงนิยมทำกันมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา
เพราะจับผิดยากและตักตวงผลประโยชน์ได้ครั้งละมากๆ
แต่เชื่อเถอะครับถ้าประชาชนและกลไกของรัฐเข้าไปสืบสวน คุ้ยแคะกันจริงๆ รับรองจับได้แน่
เป็นห่วงแต่ว่าถ้าปล่อยให้มันโกงไปแล้วประเทศชาติก็เสียหายไปแล้ว จะย้อนคืนก็ไม่ได้...ทำไงดีครับ
Cr.
http://www.isranews.org/