ในระยะนี้ กระแสเกี่ยวกับ โรฮิงญา หลบหนีเข้ามาในไทย กำลังเป็นข่าวใหญ่ ถูกรัฐจับตามอง ..ดังนั้นเราจะมาทำความรู้จักกับ โรฮิงญา โรฮิงญา มีแผ่นดินตัวเองโดยเป็นดินแดนแถบชายแดนพม่ากับบังคลาเทศ ...
รัฐยะไข่ หรือชื่อเดิมคือ "อาละกัน" ซึ่งเป็นดินแดนอยุ่ทางตะวันตกและเป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่า
..ชาวโรฮิงญา ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและส่วนใหญ่เป็นพวกอาหรับ,ปาทาน,ส่วนใหญ่อพยพมาจากจิตตะกอง บังคลาเทศ ภาษาพูดแถมหน้าตาละม้ายคล้ายกับเพื่อนบ้านบังคลาเทศหยั่งกะแกะ
ย้อนไปในยุคปลายสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ก่อนพม่าจะได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี พ.ศ.2491 ..ใน ปี พ.ศ 2489 ยังไม่ทันที่อังกฤษจะประกาศให้เอกราช โรฮิงญาในระดับแกนนำบางคนมีความคิดว่า ดินแดนดังกล่าวที่พวกเขาอยู่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และคงดีไม่น้อยถ้าจะแยกดินแดนนี้ออกเป็นจำเพาะของเผ่าพันธุ์ ซึ่งในห้วงเวลานั้น ปัญหาความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างพุทธ(ยะไข่) กับ โรฮิงญา ยังไม่บานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่โตแบบทุกวันนี้
ผู้นำโรฮิงญาในเวลานั้น มีความภักดีและสนิทสนมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างปากีสถานตะวันออก(บังคลาเทศ) เพราะเป็นมุสลิมเหมือนกัน เดินทางเข้า ๆ ออกๆ จนในที่สุดก็ไปทำสัญญาลับ ๆ กับหลายชาติมุสลิมเพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนตนในการขอ "แบ่งแยกดินแดน!"
และถึงขนาดเดินทางไปพบผู้นำปากีสถานด้วยตัวเอง เพื่อขอให้สนับสนุนโดยขอให้ปากีสถานยอมรับเอาดินแดนดังกล่าวผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศปากีสถาน!
รัฐบาลพม่าใช่ว่าจะไม่รู้แกว เพราะอีกไม่นานสองสามปีจากนี้ประเทศตัวเองก็จะได้รับเอกราช หากขืนยอมให้โรฮิงญาแยกดินแดนออกไป ก็ต้องมีหลายก๊ก..หลายเผ่าในพม่าลุกฮือขอแบ่งสรรปันเค๊กกันวุ่น นี่จึงเกิดกรณีที่รัฐบาลกลางพม่าต้องออกโรงต้านและสร้างแรงบีบในระดับประเทศ จนในที่สุดผู้นำปากีสถานไม่กล้ารับข้อเสนอของผู้นำโรฮิงญาที่จะขอมอบดินแดนนี้ให้เป็นของปากีสถานในอนาคต
ภาพการไล่ล่าฆ่าเผาหมู่บ้านระหว่าง พุทธ-มุสลิม ในพม่า หลายกลุ่ม,องค์กรหลายชาติมุสลิมในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น ซาอุดิอาระเบีย,ปากีสถาน,บังคลาเทศ อินโดนีเซีย หรือแม้นแต่องค์กรยุวมุสลิมมาเลเซียข้างบ้านเรา! ต่างก็เห็นพ้องเพราะให้เหตุผลสากลว่า พม่านั้นกดขี่ชาวโรฮิงญา เพื่อให้มีน้ำหนักเหตุผลไปต่อรอง เพื่อสมควรกับการจะได้รับการสนับสนุนในระดับนานาชาติในการ "แยกแผ่นดิน!"
สุดท้ายโรฮิงญา ที่ได้รับการสนับสนุนก็ฮีกเหิมสถาปนาตัวเองเป็น กองทัพ ประกาศเป็นกบฎอย่างเต็มตัว นั่นคือปฐมบทของสงครามระหว่าง โรฮิงญากับรัฐบาลพม่า ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่ไหนๆ เวลาพวกจะแบ่งแยกแผ่นดินออกมันก็ต้องรบราฆ่ากันเป็นธรรมดา แต่ที่โรฮิงญาต้องกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อนนั่นเพราะสิ่งที่รัฐบาลพม่าดันถลำลึกเข้าไปในเกมเอาชนะและมุ่งทำลายจนสงครามที่อาจนำไปสู่การเจรจาได้ต้องหมดสิ้น เพราะมันขยายวงจาก ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกบฎ กลายเป็น สงครามชาติพันธุ์และการชังกันในเรื่องศาสนา!
กำลังกบฎของโรฮิงญาในเวลานั้นแข็งแกร่งเพราะมีทั้งเงินทองแถมอาวุธสนับสนุนจากต่างชาติ จึงเข้าบุกยึดเมืองต่าง ๆ ในรัฐยะไข่ได้มากมายและที่สำคัญเมื่อ
บุกยึดได้ก็ไม่ต่างอะไรกับสงครามที่อื่น ๆ คือฆ่า,ทำร้ายและขับไล่ชาวยะไข่ทีเป็นพุทธหรือศาสนาอื่นให้ออกไปจากดินแดนดังกล่าว และที่น่าตกใจคือเมื่อไล่คนคนศาสนาอื่นออกไปแล้ว กลับไปนำเอาชาวโรฮิงญาหรือญาติพี่น้องตนจากบังคลาเทศอพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนนี้แทน ซึ่งก็มีผู้อพยพที่ยินดีจะมาอย่างมากมายเพราะปากีสถานตะวันออก(บังคลาเทศ) นั้นผู้คนก็แทบล้นจะไม่มีกิน ต่างก็ทิ้งถิ่นเดิมมาอยู่ยะไช่ด้วยหมายว่าวันหนึ่งข้างหน้าที่นี่อาจเป็นประเทศใหม่ของพวกตน!
สงครามจิตวิทยาเริ่มกันสองฝ่าย ทั้งโรฮิงญาที่สร้างทัศนะให้คนของตนเกลียดคนพุทธยะไข่....และไม่ต่างกันกับชาวพุทธยะไช่ที่เริ่มเกลียดชังมุสลิมโรฮิงญาก็สร้างภาพกล่าวขวัญนานาว่าโรฮิงญาทำลายไล่ล่าและฆ่าคนพุทธ
กรณีภิกษุยะไข่ ออกมาประท้วงให้รัฐบาลพม่าปราบปรามโรฮิงญา ดูจะเป็นเกมสร้างเหตุผลชอบธรรมหรือไม่.เพราะหลังจากมีการประท้วงจากภิกษุดังกล่าว รัฐบาลพม่าจึงประกาศสงครามใหญ่ปราบกบฎโรฮิงญา และก้าวที่พลาดของรัฐบาลพม่าคือการประกาศให้พม่ามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ยิ่งเป็นการเร่งปฎิกริยาลุกลามให้คนศาสนาอื่นโดยเฉพาะมุสลิมทั่วประเทศในพม่าเกิดการต่อต้านและขยายวงความขัดแย้งด้าน พุทธ อิสลามไปทั่ว
จาก ทหารรบกับ กบฎ ลุกลามกลายเป็น คนพุทธไล่ล่าฆ่าเผาคนโรฮิงญา สลับไปสลับมาแบบ ที่เอ็งทีข้า ตายกันทั้งพุทธ,มุสลิม มาจวบจนปัจจุบัน
และด้วยความเป็นรัฐบาลมีการนำคนพุทธเข้าดินแดนยะไข่ เพื่อบีบบังคับคนโรฮิงญาในดินแดนนั้นให้ออกไปจากดินแดนจึงกลายเป็นตำนานล้างแค้นมาจนเรา ๆ ได้เห็นแค่ ภาพสรุปของ โรฮิงญากับเรือลำน้อย ที่เบื้องหลังมันก็มาจากเรื่องเดียวคือ "อำนาจ" และ "ความเกลียดชัง" จากทั้งสองฝ่าย
ส่วนในไทยนั้น โรฮิงญา บางครั้งที่พบเป็นชายฉกรรจ์ ผู้หญิงและเด็ก อยู่รวมกันอย่างแออัดภายในสภาพอิดโรย ภายในเพิงกระท่อมขนาดใหญ่
ชาวโรฮิงญากลุ่มนี้ถูกนำมาพัก ณ จุดดังกล่าวนานกว่า 3 เดือน รอส่งไปยังประเทศมาเลเซีย เพื่อซื้อไปเป็นแรงงานเรือประมง ผ่านนายหน้าทั้งชาวไทยและชาวพม่า โดยมีค่าตัวรายละ 60,000-70,000 บาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง แผนกคดีสืบสวนความมั่นคงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ บอกว่า มีการขนชาวโรฮิงญา รัฐยะไข่ ประเทศพม่า จากชายแดน จ.ระนอง ทั้งทางเรือและทางบก เดินทางไปทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย โดยน่าจะเข้าไปทำงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัย และเป็นทหารรับจ้างที่ส่งเข้าไปยังประเทศตะวันออกกลาง และอัฟกานิสถาน เพราะโดยพื้นฐานชาวโรฮิงญามีความเชี่ยวชาญเรื่องการรบ รวมทั้งเดินทางไปทำงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย และตามแนวพรมแดนไทย-มาเลเซีย มีอาชีพเป็นแรงงานในสวนปาล์ม และงานรับจ้างทั่วไป
ชาวโรฮิงญาเดิน ทางออกนอกประเทศผ่านโพยก๊วน ส่วนค่าใช้จ่ายมีกลุ่มต้นทางเจ้าของงานสำรองจ่ายไปก่อน แต่เมื่อเข้าไปทำงานจะต้องถูกหักเป็นรายเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
จาก
http://www.leksound.net/board/index.php?topic=42