ทะเคะฮิสะ อิจิมะ เกษตรกรพันล้านแห่งจิบะ (ภาพบน), โคอิจิ ยะมะชิตะ เศรษฐีผู้แปรรูปลูกท้อให้กลายเป็นเงิน (ภาพล่าง)"นี่หรือคือเกษตรกร นี่หรือคือเจ้าของบ้านหลังโต นี่หรือคือผู้บริหารไร่อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่มองเห็นอยู่ตอนนี้?" ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวทันที หลังจากได้พบตัวเป็นๆ ของ ทะเคะฮิสะ อิจิมะ (Takehisa Iijima) เกษตรกรวัย 35 ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งประจำจังหวัดจิบะ
ผมสีส้มทองที่เกิดจากการย้อม เสื้อยืดพอตัว เสียงหัวเราะที่แสนเปิดเผย รอยยิ้มขี้เล่น บวกกับท่าทีสบายๆ ทุกอย่างที่ประกอบเป็นบุคลิกภาพภายนอกของเขาช่างดูขัดแย้งกับตำแหน่งผู้บริหาร กระทั่งเมื่อได้นั่งพูดคุยกัน จึงได้คำตอบว่าอะไรทำให้หยาดเหงื่อในวันวานของเขากลับมาทอประกายมีมูลค่าอยู่ขณะนี้ เป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในหัวคิด กลยุทธ์
วิธีบริหารหนี้ ของเขานี่เอง
วิธีขยายกิจการของผม ผมจะใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารเอาครับ แต่ต้องค่อยๆ กู้นะ คือจะไม่กู้เป็นก้อนใหญ่ทีเดียวเพื่อมาลงทุนขนาดใหญ่ แต่จะคิดว่าในปีนี้เราต้องการจะขยายตรงไหน ถ้าปีนี้อยากได้เครื่องจักรเพิ่ม อยากได้เครื่องบรรจุถุงกับรถแทร็กเตอร์ขนาด 75 แรงม้า
เราก็จะกู้แค่เอามาใช้ตรงนั้น จะไม่กู้เกินความจำเป็น พอหลังจากเอาเครื่องจักรมาใช้ช่วยงาน จนทำให้ทำงานได้ไวขึ้น ผลผลิตเพิ่มขึ้น เราก็เอากำไรจากตรงนี้แหละครับไปจ่ายหนี้ก้อนเดิมที่ติดธนาคารไว้ แล้วหลังจากนั้นค่อยไปกู้ก้อนใหม่
เงินส่วนใหญ่ที่กู้มา ผมชอบเอาไปลงทุนกับเครื่องไม้เครื่องมือและเครื่องจักร เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ลงทุนแล้วคืนทุน พอมีของตัวเอง เราก็ไม่ต้องเสียเงินไปเช่ายืมเครื่องจักรของคนอื่นเขามาใช้อีกแล้ว ยังไงก็คุ้มครับ ยกตัวอย่างเช่น จากเดิม ผมมี เครื่องล้างหัวไชเท้า วันหนึ่งล้างได้แค่ 500 กล่อง แต่พอซื้อเครื่องใหม่ มันเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นถึง 3 เท่าคือ ล้างได้วันละ 1,000-1,500 กล่อง แต่ก็ไม่ใช่ความดีความชอบของเครื่องจักรอย่างเดียวนะครับ เพราะยังไงกำลังคนก็ยังสำคัญ เพราะถึงแม้เครื่องจักรประสิทธิภาพดีแค่ไหน แต่ไม่มีคนคุมมันก็จบ ที่เราสามารถทำงานได้เยอะขึ้น ก็เป็นเพราะลูกจ้างเขายอมทำงานตามชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะฉะนั้น เราก็ต้องตอบแทนเขาด้วย
จริงๆ แล้ว ในญี่ปุ่นเรามีระบบเงินช่วยเหลือเกษตรกรเยอะมากๆ นะครับ มีทั้งมาจากรัฐบาลส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น
แค่ภาครัฐเขารู้ว่าใครอยากจะสร้างอะไรเกี่ยวกับแปรรูปการเกษตร เขาจะเสนอตัวออกเงินให้เลยครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับผม ผมไม่เคยใช้วิธีกู้เงินจากรัฐเลย จะขอคำปรึกษาด้านข้อมูลอย่างเดียว ผมเลือกที่จะกู้กับธนาคารมากกว่า ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น มันเป็นความคิดที่ปลูกฝังมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อแล้วครับ เขาบอกเราเสมอว่า
ไม่จำเป็นต้องขยายกิจการให้โตแบบเฉียบพลัน ไม่จำเป็นต้องกู้เงินก้อนโตจากรัฐบาลเพื่อมาลงทุนใหญ่โตแล้วก็เป็นหนี้ไม่จบไม่สิ้น แต่พ่อจะสอนให้พึ่งตัวเองเป็นหลัก ค่อยๆ โตไปทีละปี ไม่ต้องพยายามฝืนทำอะไรในขณะที่ตัวเองยังไม่พร้อม ผมเลยเลือกกู้จากธนาคารดีกว่า
การกู้เงินจากแบงก์ เราจะมีภาระ ต้องคืนเงินกู้ให้ได้ตามเวลาที่กำหนด ถึงจะหนักหน่อย แต่มันก็จะเป็นแรงผลักให้เราอยากรีบปลดหนี้ และถ้าเราทำได้ มันก็จะเป็นการสร้างเครดิตให้ตัวเราเองด้วย พอจะกู้ครั้งต่อไป แบงก์ก็จะมองเราเป็นลูกค้าเกรดเอ ถึงผมจะเรียนจบเศรษฐศาสตร์มา ไม่ถนัดเรื่องเกษตรแบบนี้เท่าไหร่ แต่เมื่อต้องมาสานต่อจากคุณพ่อ ผมก็อยากจะรักษาทุกอย่างในไร่เอาไว้ด้วยตัวเอง ก็เลยเลือกที่จะปลูกพืชง่ายๆ ก่อน ในปีแรกๆ ที่ทำ ตั้งแต่เมื่อ 13 ปีที่แล้ว เราปลูกแค่ไม่กี่อย่างเองครับ มีหัวไชเท้ากับผักป๋วยเล้ง ใช้พื้นที่แค่ 3 เฮกเตอร์ ปลูกหมุนเวียนไปแบบนี้ จนตอนนี้เราขยายออกไปได้ ทั้งหมดประมาณ 40 เฮกเตอร์แล้ว และตอนนี้ก็สามารถปลดหนี้ทุกอย่างได้หมดแล้วด้วย เขาปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ
ทุกวันนี้ เกษตรกรญี่ปุ่นในละแวกนั้นทุกคนมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 15 ล้านเยน หรือคิดเป็นเงินไทยคือประมาณ 4.8 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่าผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกปี เพราะคุณทะเคะฮิสะ เจ้าของฟาร์มอิจิมะแห่งนี้ ตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าในอนาคตต้องทำให้เกษตรกรทุกคนมีรายได้อยู่ที่ 9.6 ล้านบาทต่อปีให้ได้ ผมอยากเห็นเกษตรกรในเมืองเราทุกคนเป็นสุดยอดโมเดลด้านการเกษตรครับ เขาประกาศกร้าวเอาไว้ในฐานะประธานสมาคมเกษตรกรจังหวัดจิบะ
มันต่างกันตรง กู้ 0 เปอร์เซ็นต์ ไปเปรียบเทียบกับเขาไม่ได้หรอก บ้านเรามันต่างกันเยอะ เกษตรกรชาวไทยซึ่งเดินทางไปดูงานในครั้งนี้ด้วยกันราว 5-6 คน ต่างพูดออกมาในทำนองเดียวกันหลังจากได้เดินชมผลิตผลอันตระการตาจากไร่และความกว้างใหญ่ของที่พักอาศัยจากเพื่อนร่วมอาชีพในต่างแดน คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ฟังเผินๆ แล้วอาจนึกว่าเป็นคำพูดตัดพ้อที่มาจากอารมณ์ย่อท้อของกระดูกสันหลังชาติไทย แต่ใครจะรู้บ้างว่า คำว่า มันต่างกัน ของพวกเขามีเหตุผลสนับสนุนความต่างให้น่าคิดอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเรื่องการสนับสนุนจากภาครัฐ เห็นได้ชัดเลยว่าถ้าเป็นการลงทุนเกี่ยวกับเกษตรกรรม โดยเฉพาะไร่ที่ไม่ได้มุ่งหมายจะส่งออกผลิตผลในรูปแบบสินค้าสดจากไร่อย่างเดียว แต่มีการแปรรูปผักผลไม้ออกมาเป็นเอกลักษณ์ประจำไร่ ส่งออกเป็นสินค้าประจำตำบล
รัฐบาลญี่ปุ่นพร้อมยื่นข้อเสนอ ให้กู้ 0 เปอร์เซ็นต์ หรือแม้แต่เข้ามาลงทุนออกค่าเครื่องจักรให้ครึ่งหนึ่งเลยก็มี เมื่อเทียบกับประเทศไทยแล้ว บางทีแค่เดินเข้าไปยื่นเอกสารกับเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นยังยากเลย เวลาไปเขียนของบกับ อบต.หมู่บ้าน ส่วนใหญ่ถ้าเป็นกลุ่มใหม่หรือเกษตรกรรวมตัวกันเข้าไปเอง โดยที่ไม่ได้มีผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันเข้ามาร่วมรู้เห็น เขาจะไม่ค่อยอนุมัติค่ะ แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่มีผู้ใหญ่บ้าน เมียผู้ใหญ่บ้าน เขาจะอนุมัติ เพราะฉะนั้น คนที่ได้งบไปก็จะเป็นกลุ่มเดิมๆ มันไม่ได้กระจาย พอเราไปขอ เขาจะถามว่าคุณรู้ได้ยังไงว่ามีงบตัวนี้ รู้มาจากใคร และรู้ระเบียบข้อจำกัดมั้ยว่าต้องทำอะไรบ้าง เขาบอกว่าไม่ได้รวมกลุ่มกันมาทั้งหมู่บ้าน รวมกลุ่มแค่เกษตรกรมาแบบนี้ แน่ใจแล้วเหรอว่าจะทำได้ เราก็ถามกลับไปว่า แล้วทำไมคุณไม่เข้าไปส่งเสริมเกษตรกรจริงๆ ล่ะ ในเมื่อเขาอยากแปรรูป อยากผลิตผลิตภัณฑ์ออกมา เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าคุณไปผ่านทางผู้ใหญ่บ้าน ทางกำนันมาก่อนสิ สรุปคือเราต้องผ่านฐานพวกนี้ขึ้นไปก่อน กนกพร ดิษฐกระจันทร์ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวอินทรีย์ประจำจังหวัดสุพรรณบุรี บอกเล่าจากประสบการณ์ตรงด้วยท่าทีเอือมระอา