ดังนั้นเมื่อนายพิสิษฐ์ ฮามไสย์ หุ้นส่วนบริษัทรัตนอุตสาหกรรมปาล์ม จำกัด ได้ไปดูต้นแบบโรงสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำ CP-P 1500 ที่ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นงานวิจัยร่วมระหว่าง MTEC และบริษัทเกรท อะโกร จำกัด กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ จึงสนใจที่จะซื้อเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มดังกล่าวมาดำเนินการติดตั้งในโรงงานที่อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย ด้วยเชื่อว่านวัตกรรมดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ของผู้ประกอบในพื้นที่ปลูกปาล์มใหม่ซึ่งมีพื้นที่ปลูกปาล์มรอบโรงงานเฉลี่ย 1,500-3,000 ไร่ได้ อีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่มีรายได้จากการขายปาล์มที่สูงขึ้นนอกจากนี้เกษตรกรยังสามารถคัดเลือกปาล์มที่สุกแก่เต็มที่มาขายที่โรงงานสกัดปาล์มได้ทุกวันด้วยระยะทางการขนส่งที่ไม่ไกลจากแหล่งปลูกปาล์มมากนัก นับเป็นการปฏิรูปในการสร้างรูปแบบใหม่ของการซื้อ-ขายปาล์มในพื้นที่ปลูกใหม่สร้างความมั่นใจและพึงพอใจแก่เกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก
ที่ผ่านมาชาวสวนปาล์มในภาคอีสานต้องเผชิญกับการกดราคารับซื้อจากพ่อค้าคนกลางที่เข้ามารับซื้อผลผลิตทุก 15 วัน โดยบางช่วงราคารับซื้อต่ำกว่าราคากลางถึง กก.ละ 1-2 บาท แต่เกษตรกรก็จำเป็นต้องขายโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล เพราะไม่มีทางเลือก อีกทั้งยัง
การกำหนดรอบรับซื้อผลผลิตทุก 15 วันยังเป็นที่มาของปัญหาการตัดผลปาล์มดิบ หรือผลปาล์มไม่ได้คุณภาพที่เกิดขึ้น เพราะเกษตรกรไม่อยากเสียโอกาสจึงเลือกที่จะตัดผลปาล์มทันทีเมื่อถึงรอบการรับซื้อแม้ปาล์มจะยังดิบก็ตาม ในส่วนตัวคิดว่าการตั้งโรงสกัดน้ำมันปาล์มในพื้นที่จะช่วยลดปัญหาการตัดผลปาล์มดิบได้ เนื่องจากเกษตรกรสามารถเก็บผลผลิตมาส่งขายโรงงานได้ทุกวัน โดยบริษัทฯยังเพิ่มเกณฑ์การให้ราคารับซื้อตามคุณภาพของผลิตแทนการรับซื้อจากน้ำหนักรวมเหมือนที่ผ่านมาด้วย ซึ่งจากผลการดำเนินการที่ผ่านมา พบว่าได้รับความร่วมมือและพอใจจากเกษตรกร นางพะยอมกล่าว
นายสมพงษ์ บังทอง ชาวสวนปาล์มตำบลนาดง อำเภอปากคาด จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นเกษตรกรกลุ่มแรกๆของจังหวัดที่สนใจปลูกปาล์มน้ำมัน กล่าวว่า เริ่มทำการปลูกปาล์มน้ำมันปี 2548 และค่อยๆขยายพื้นที่ปลูกจนกระทั่งปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกปาล์มทั้งหมด 80 ไร่
สนใจที่จะปลูกปาล์มน้ำมันเพราะได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยฯหนองคาย ซึ่งจากการศึกษาเพิ่มเติมเห็นว่า ปาล์มน้ำมันน่าจะเป็นพืชที่มีอนาคตอีกทั้งยังเป็นพืชที่ดูแลรักษาไม่ยาก ปลูกเพียง 3 ปีก็สามารถให้ผลตอบแทนได้แล้วจึงได้ตัดสินใจปลูก ปัจจุบันต้นปาล์มที่ปลูกไว้เริ่มทยอยให้ผลผลิตแล้ว โดยเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมาให้ผลผลิตเฉลี่ย 3-4 ตันต่อสัปดาห์ ส่วนหน้าฝนปีนี้คาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ละ 7-8 ตันต่อสัปดาห์
สำหรับช่องทางการขายนั้น นายสมพงษ์กล่าวว่า เดิมทีจะมีพ่อค้าคนกลางจากภาคตะวันออก หรือภาคใต้ขึ้นมารับซื้อทุก 15 วัน ซึ่งราคาเฉลี่ยประมาณ กก. 3-3.50 บาท
แต่กรณีของเกษตรกรที่อยู่ไกลอาจจะราคาเพียง กก.ละ 1.50-2.00 บาทเท่านั้น จนกระทั่งบริษัทรัตนอุตสาหกรรมปาล์ม จำกัด ได้ตั้งโรงสกัดน้ำมันปาล์มขึ้นที่อำเภอรัตนวาปี นอกจากจะทำให้เกษตรกรในพื้นที่ขายผลปาล์มได้ราคาสูงถึง กก.ละ 6-6.80 บาทแล้ว การมีโรงงานในพื้นที่ทำให้เกษตรกรสามารถเก็บผลปาล์มสุกขายได้ทุกวันโดยไม่ต้องเร่งตัดผลปาล์มดิบให้ทันรอบการรับซื้อเหมือนที่ผ่านมาด้วย
ตอนที่ยังไม่โรงสกัดน้ำมันปาล์มในพื้นที่ เกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 3,500-3,700 บาท แต่หลังจากมีโรงงานในพื้นที่แล้วเกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ยจากการเก็บผลปาล์มสูงถึงประมาณไร่ละ 6,800 บาท ในส่วนตัวเชื่อว่า ปาล์มน้ำมันเป็นน้ำมันบนดินที่ยังมีโอกาสและเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งเขตที่ลุ่มในหลายพื้นที่ของภาคอีสานยังสามารถที่จะขยายพื้นที่ปลูกได้ นายสมพงษ์กล่าว