ตาสว่างเสียที
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 25, 2024, 04:53:30 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตาสว่างเสียที  (อ่าน 2127 ครั้ง)
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3008


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« เมื่อ: มีนาคม 26, 2012, 09:41:42 am »

เรื่องลวงโลกในทำนองว่า "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นวีรบุรุษกู้ชาติไทยผู้ปลดหนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนด เป็นเรื่องที่คนไทยถูกหลอกลวงมากที่สุด ฝังหัวที่สุด และทำให้ถูกมอมเมาต่อไปอีกว่า "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นนายกฯ ที่บริหารเศรษฐกิจเก่ง มีบุญคุณต่อประเทศไทย ฯลฯ

นปก. ก็ขึ้นป้าย บอกว่า "เป็นความสามารถของทักษิณที่ทำให้ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้หมด"

อันธพาลที่ช่วยตำรวจของระบอบทักษิณทำร้ายคนแก่ที่ออกมาขับไล่ทักษิณ บริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ก็ให้การว่า "นายกฯทักษิณ เป็นคนใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมด เป็นคนสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้ราคายางสูงขึ้น แล้วมาตะโกนขับไล่นายกฯ ทักษิณทำไม"

ทั้งหมด ถูกฝังหัว มอมเมา ลวงหลอก โดยการปั้นแต่งข้อมูลข่าวสารของระบอบทักษิณ เริ่มตั้งแต่ค่ำวันที่ 31 ก.ค. 2546 ทักษิณออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ประกาศว่า วันนี้ ได้ชำระหนี้ก้อนสุดท้ายให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) เรียบร้อยแล้ว

"เราใช้หนี้ก่อนเวลา 2 ปี" ทักษิณโอ้อวดว่าเป็นความสำเร็จของตัวเองในวันนั้น...

เมื่อวานนี้ ได้ชี้ชัดไปให้เห็นแล้วว่า หนี้ไอเอ็มเอฟเกิดขึ้นในยุครัฐบาลชวลิต สมัยรัฐมนตรีคลังชื่อ "ทนง พิทยะ" ที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีโดยการสนับสนุนของ "ทักษิณ ชินวัตร"

เดือน มี.ค. 2540 สถาบันการเงินในประเทศจำนวนมากอ่อนแอ แต่รัฐบาลในขณะนั้นกลบเกลื่อน เลือกปิดเพียง 16 แห่ง พยายามอุ้มสถาบันการเงินที่มีสายสัมพันธ์กับพรรคพวกตนเอง ต่อมาภายหลัง เดือน มิ.ย. จึงปิดสถาบันการเงินเพิ่มอีก 42 แห่ง เกิดความปั่นป่วน ไม่เชื่อถือไปทั่ว

ในที่สุด เมื่อลดค่าเงินบาท 2 ก.ค. 2540 เงินทุนสำรองร่อยหรอ (แทบไม่เหลือหรอ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยไปเก็งกำไรต่อสู้ค่าเงินบาทจนหมดหน้าตัก) รัฐบาลชวลิตก็ไปขอกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 1 (Letter of Intent : LOI) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540

1) เงินกู้ไอเอ็มเอฟ ทางผู้ให้กู้เขาประเมินและตกลงให้กรอบประเทศไทยเป็นหนี้ได้ทั้งหมด ประมาณ 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อหักลบหนี้ที่รัฐบาลไทยกู้จากต่างประเทศและสถาบันการเงินระหว่าง ประเทศอื่นๆ แล้ว ปรากฏว่า ประเทศไทยได้กู้จากไอเอ็มเอฟจริงๆ ประมาณ 14,200 ล้านเหรียญสหรัฐ

2) เงื่อนไขและวิธีการรับเงินกู้ไอเอ็มเอฟ คือ ไอเอ็มเอฟจะทยอยส่งเงินให้เป็นงวดๆ 3 เดือนต่อหนึ่งงวด โดยแต่ละงวด รัฐบาลไทยก็จะต้องลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent : LOI เป็นเงื่อนไขพันธะผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตาม

พูดง่ายๆ ว่า ยื่นหมู ยื่นแมว จะเอาเงินจากเขา ก็ต้องทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับเขา

3) หนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent : LOI ฉบับที่หนึ่ง ลงนามสมัยรัฐบาลชวลิต เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2540 ตกลงผูกมัดไว้หมดแล้วว่า รัฐบาลไทยจะต้องรัดเข็มขัดอย่างไร ควบคุมนโยบายการเงินอย่างไร ควบคุมนโยบายการคลังอย่างไร ห้ามขึ้นเงินเดือนราชการอย่างไร ต้องมีนโยบายรัฐวิสาหกิจอย่างไร ฯลฯ

และเมื่อจะเอาเงินกู้งวดที่สอง (3 เดือนต่อมา) ก็ต้องยื่นเงื่อนไข LOI ฉบับที่สอง รัฐบาลชวลิตก็ไปตกลงไว้กับไอเอ็มเอฟแล้ว เซ็นต์กันเมื่อวันที่ 14 พ.ย.40

4) เงื่อนไขและวิธีการจ่ายคืนเงินกู้ไอเอ็มเอฟ คือ เงินกู้แต่ละงวดแต่ละก้อน จะต้องจ่ายคืนเมื่อครบกำหนด 3 ปี ยกตัวอย่าง ก้อนที่ได้มา 14 พ.ย. 40 ก็มีกำหนดจ่ายคืน 14 พ.ย. 43 (นับไปอีก 3 ปี) เป็นต้น

ดังนั้น ตามแผนการที่เจรจากรอบการกู้ไอเอ็มเอฟไว้เดิม วางแผนกันว่า ประเทศไทยจะรับเงินกู้จากไอเอ็มเอฟไปอย่างนี้ ทุกๆ 3 เดือน จนครบยอดเงินกู้ทั้งหมด ซึ่งตามแผนเดิม เงินกู้งวดสุดท้ายจะได้รับประมาณกลางปี 2544 ซึ่งทำให้กำหนดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟก้อนสุดท้าย ก็ต้องชำระกลางปี 2547 (นับไปอีก 3 ปี)

เมื่อรัฐบาลชวลิตออกไป รัฐบาลชวนก็เข้ามา (หลัง 14 พ.ย. 2540) หลังจากนี้ คือ ช่วงที่ประเทศไทยจะต้องทำตามเงื่อนไขพันธะที่ไปตกลงไว้กับไอเอ็มเอฟ และเริ่มทยอยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟตามกำหนด ระหว่างนี้ ประชาชนคนไทยในประเทศต้องเดือดร้อนกับ "ยาขมหม้อใหญ่" ที่ต้องรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจกันถ้วนหน้า แต่ในที่สุด เมื่อค่าเงินบาทต่ำลง การส่งออกดีขึ้น ภาคธุรกิจเอกชนในประเทศปรับตัวได้ กลับมาแข่งขันได้ ภาคการเงินในประเทศดีขึ้น ดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ทุนสำรองของประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ ฯลฯ

เมื่อสถานการณ์ประเทศไทยดีขึ้น จนถึงช่วงกลางปี 2543 (รัฐบาลชวน) จึงได้ตกลงเลิกกู้จากไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด 1 ปี จากเดิมที่เคยกำหนดว่าจะทยอยรับเงินกู้เรื่อยๆ ไปจนถึงงวดสุดท้าย ณ กลางปี 2544 ที่จะทำให้มีกำหนดชำระหนี้งวดสุดท้าย ณ กลางปี 2547 (กำหนดชำระ 3 ปี)

แต่เมื่อกู้เงินน้อยลง โดยเลิกรับเงินกู้เร็วขึ้น 1 ปี กำหนดการชำระเงินกู้งวดสุดท้ายย่อมเร็วขึ้น 1 ปี ตามไปด้วย เพราะฉะนั้น กำหนดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ งวดสุดท้าย จึงเร็วขึ้น จากกลางปี 2547 เหลือเพียงกลางปี 2546 ประเทศไทยก็จะหมดหนี้ไอเอ็มเอฟ (ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล)

5) กลางปี 2546 เมื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" คุยโอ่ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ว่าตนเองเป็นผู้ช่วยให้ประเทศไทยปลดหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนดถึง 2 ปี และมีการนำไปขยายผลว่าถ้าไม่ใช่ทักษิณประเทศไทยจะไม่มีทางใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ได้เช่นนี้ จึงเป็นเพียงลูกไม้ เล่ห์เหลี่ยม ปลุกระดม หาเสียงทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง อย่างน่าเวทนา

ประชาชนคนไทยที่ทนทุกข์ตลอดช่วงเวลาวิกฤติต่างหาก คือ วีรบุรุษ ช่วยกันกอบกู้วิกฤติของชาติ ในขณะที่ "ทักษิณ" ซึ่งมีสัมพันธ์เชิงลึกกับรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ประกาศลดค่าเงินบาทนั้น กลับไม่ได้รับผลกระทบเหมือนคนอื่นๆ เพราะได้ล่วงรู้ข้อมูลสำคัญล่วงหน้า

6) ที่ไม่รู้จักอายก็คือ จนถึงบัดนี้ ก็ยังมีการพยายามลวงหลอกประชาชนคนไทยด้วยเรื่องลวงๆ พรรค์อย่างนี้ต่อไปอีก เพียงหวังจะสร้างภาพลวงว่า ทักษิณเก่งกาจ เลอเลิศ ต่างๆ นานา เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวของคนที่หลบหนีคดีทุจริตโกงกิน บ้านเมือง

เลิกคิด เลิกคุย เลิกโกหก เพื่อสร้างความสับสนวุ่นวายในประเทศได้แล้ว

ความจริง คือ ไม่มีทักษิณ ประเทศไทยก็รอดพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ! และไม่มีทักษิณ ประเทศไทยก็สามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ !

ตรงกันข้าม หากไม่มีทักษิณ ประเทศชาติอาจจะไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้เสียด้วยซ้ำ !
http://www.facebook.com/l.php?u=http%3A%2F%2Fwww.oknation.net%2Fblog%2Fprint.php%3Fid%3D455267&h=nAQFwC2Bf
ขอบคุณhttp://www.facebook.com/kamolporn.banlue


บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!