เจตนา หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เจตนา หลวงปู่หล้า เขมปัตโต  (อ่าน 1677 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2011, 03:07:56 pm »

เจตนา หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ. คำชะอี จ. มุกดาหาร
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 007145 - โดยคุณ : ไก่แก้ว [ 19 พ.ย. 2545]

ผู้ปฏิบัติพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นไปตามเจตนาของตน เจตนาเป็นแม่เหล็กดึงดูดสำคัญมาก เจตนาว่าโดยย่อก็มีสองจำพวก จำพวกที่ต้องการพ้นทุกข์ในสงสารโดยแท้ย่อมเป็นโลกุตระเจตนา เจตนานั้นเล่าไม่มีท่านผู้ใดจะรับรองเจตนาได้ จะเท็จจริงประการใดก็ต้องเอาเจ้าตัวเป็นพยาน เว้นไว้แต่พระอรหันต์ที่ทรงเจโตปริญญะญาณเท่านั้น จะรู้จักเจตนาของท่านผู้อื่นได้โดยชัดแจ้ง เหลือนอกนั้นคาดคะเนเดาด้นผิดๆถูกๆทั้งนั้น และก็เดาผิดและด้นผิดนั้นแหละเป็นส่วนมากนัก
ถึงแม้ว่าจะเจตนาพ้นทุกข์ในสงสารโดยจริงจังก็ดี แต่ทว่าปฏิบัติผิดก็เนิ่นช้าอีก ถึงจะขยันหมั่นเพียรสักเพียงไรก็ตาม ถ้าปฏิปทาไปทางผิดแล้วก็ไม่คุ้มค่า ไม่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงได้โดยง่าย เช่นการเจริญกรรมะฐานไม่ถูกกับจริตเป็นต้น และข้อวัตรต่างๆบกพร่อง หรือขาดพระอาจารย์ที่ปฏิบัติถูกปฏิบัติชอบแนะนำ หรือขาดกัลยามิตรสหายที่ดีปลุกจิตใจให้ และสถานที่ไม่อำนวยอัตคัตฝืดเคืองเกินไป หรูหราเกลื่อนกล่นเกินไปไม่วิเวกวังเวงคลุกคลี
จะอย่างไรก็ตาม เมื่อผู้หวังพ้นทุกข์ในสงสารโดยแท้แล้ว สิ่งที่ขัดข้องภายนอกแล้ว ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อยไป เพราะจะช้าหรือเร็วก็ไม่มีการถอยหลังเสียแล้ว หนักก็เอาเบาก็สู้ สู้ทั้งนั้น เพราะตีความหมายว่าสู้กับกิเลสของตน กิเลสนั้นมันชวนสู้ในสิ่งที่ไม่ควรสู้ มันชวนถอยในสิ่งที่ไม่ควรถอย มันมีมายามากกว่าล้านๆนัยยะ แต่ก็เหลือวิสัยของสติปัญญาไปไม่ได้ ที่ว่าบาปไม่ชนะบุญนั้นเป็นของจริงผูกขาดอยู่แต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ไม่ต้องสงสัย
เจตนาโลกุตระชนะเจตนาโลกีย์ไปไม่ขบถคืน ปัญหาของโลกีย์จะรวมพลมาจากไหน ก่อนจะเลื่อมใสในโลกุตระเล่าก็มิใช่ตื่นข่าว เป็นอจาระศรัทธาอยู่ในตัวแล้ว เห็นภัยเกิดแก่เจ็บตายวิโยคพลัดพราก จิปาถะสารพัดฝังใจอยู่มิได้คุ้นเชื่องพอที่จะลืมใจลืมธรรม
ลืมตัวตนอะไรเลย ความเพลินในโลกใดๆก็ผยองไม่ขึ้น เป็นตัวศีลสมาธิปัญญากลมกลืนเป็นกองทัพธรรมสามัคคีอยู่ ไม่ได้แตกแยกกันไปเข้าตู้เข้าหีบภายนอกที่ไหน ยิ่งสำเหนียกพิจารณาติดต่อเนืองๆ สติปัญญาก็สูงขึ้น ฝนตกอยู่บ่อยๆ แผ่นดินก็ชุ่มน้ำก็ขังขึ้นขังขึ้น ภาชนะไม่รั่วหงายรับฝนทนไม่ได้ก็ต้องเต็มด้วยน้ำ พิจารณาไตรลักษณ์เห็นประจักษ์แจ้งพร้อมลมออกเข้าอยู่ พร้อมด้วยอู่สติปัญญาไม่สุ่มเดาคาดคะเนไม่เรียงแบบ เห็นแยบคายกลมกลืนกันในปัจจุบันของธรรมและจิตติดต่ออยู่ ไม่มีอันใดก่อนไม่มีอันใดหลัง เป็นพลังจิตพลังธรรมแน่นหนามั่นคง ตัวหลงๆเหลงๆอวิชชาตัญหาอุปาทานเป็นต้น มันจะขี่ช้างสูบบุหรี่ ถือขอถือง้าวมาจากทิศไหนอีกเล่า ขอแต่ว่าเชื่อธรรมเชื่อวินัยเชื่อจิตเชื่อใจเชื่อสติเชื่อปัญญาตอนนี้ให้พออย่าได้ส่งส่าย ความหน่ายความคลายความหลุดความพ้นไม่ต้องร้องเรียกหาก็ได้ ฯ
ย้อนหลังคืนมาปรารภจำพวกผู้ที่อุปสมบทหรือบรรพชาในพระพุทธศาสนามา แต่มิได้มีเจตนาพ้นทุกข์โดยด่วนในปัจจุบันชาติ เพราะเหตุใดหนอ เพราะเหตุว่าบารมีในชาติก่อนยังอ่อนอยู่มากนัก ไม่สามารถจะหนุนในปัจจุบันชาติให้แข็งแกร่งแก่กล้าได้ ก็ต้องจำเป็นยินดีในม้าก้านกล้วยอยู่นั้นเอง เจตนาและความหวังพอเป็นนิสสัย พอใจเลื่อมใสในอนาคตตะกาล อนาคตตะกาลเบื้องหน้านั้นเทอญ ดังนี้เสมอๆ แต่ก็ยังดีกว่าท่านผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาลัทธิถือว่าไม่มีบาปไม่มีบุญอันหาประมาณมิได้ และยังดีกว่าท่านผู้เคารพนับถือนอกจากศาสนาพุทธไปอักโขอีก เรื่องท่านผู้อื่นเอามาฝืนปรารภไว้
ไฉนจึงเอาเรื่องจำพวกท่านผู้อื่นมาปรารภไว้ จะไม่เป็นอวดดียกตนข่มท่านดอกหรือประการใดล่ะ คำว่าธรรมก็ต้องยกอุทธาหรณ์กล่าวทั่วไปบ้าง เราไม่ออกชื่อพรรคพวกบุคคลเป็นการไม่กระเทือนเลย แม้ถึงอย่างนั้นเรื่องดีเรื่องชั่วก็มีทั่วไปในคำสอนของพระพุทธศาสนา ประวัติที่ดีเด่นก็ประวัติพระอริยะ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น เรื่องที่เลวทรามก็มีเรื่องพระเทวทัตเป็นต้น ฯ พระปุคคละปัญญัติ ก็กล่าวถึงจำพวกบุคคลทั่วไป เรียกว่ากล่าวตามเป็นจริงมิได้ดูหมิ่นกล่าวเท็จ เพราะทางใดดีท่านผู้ต้องการดีจะได้พยายามปฏิบัติเอา ถ้าจะปรารภอันใดที่ดีไม่ได้ เกรงจะผิดใจแต่ผู้ชอบชั่ว คนดีก็สืบโลกไปไม่ได้ คนชั่วบางรายก็ถอนตัวมาเป็นคนดีได้ เพราะเห็นโทษในชั่วของตน คนชั่วก็มาจากคนดีเพราะดียังไม่แน่นอน ไม่เหมือนพระโสดาบัน พระโสดาบันดีไปไม่ถอยหลังจนถึงที่สุดทุกข์โดยชอบ โลกีย์ดีโลกีย์ชั่วเป็นของไม่แน่นอน หมุนเวียนเปลี่ยนไป
มาสาละวนอยู่บรรดาท่านผู้เข้าสู่อนุปาทิเสสะนิพพานไปแล้ว ก็ไปจากชั่วมาจากชั่วทั้งนั้น พระเทวทัต ก็จะพ้นจากชั่วแล้ว จะไปพระปัจเจกในอนาคต ฯ ที่กล่าวว่าพระอรหันต์ไม่มีบาปไม่มีบุญนั้นเป็นของจริงแท้ เพราะเหตุว่า พระอรหันต์นั้นสร้างบุญเต็มแล้ว จะเอาบุญไปเทใส่จิตใจขององค์ท่านก็ไหลทิ้งเพราะเต็มแล้ว และองค์ท่านก็เว้นบาปพอแล้ว
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องควรเข้าใจให้ชัดทั้งนั้น มิฉนั้นแล้วจะทำตนให้เป็นสุขก่อนห่ามจะเลยเถิดแต่กิเลสความเดือดร้อนทางใจยังเป็นฟืนไฟเผาขันธสันดานอยู่ แล้วฟิตตัวเองให้อยู่เหนือบาป เหนือบุญแบบดื้อๆ บุญสร้างยังไม่พอ บาปก็เว้นหรือละยังไม่พอ ก็ย่อมอยู่เหนือบาปบุญยังไม่ได้ พระอรหันต์ประเภทใดๆก็ตาม ไม่มีขณะใจใดจะเดือดร้อนใจเท่าเม็ดงาขาริ้นเลย เพราะมารเดือดมารร้อนตามไม่ถึงใจพระอรหันต์ พระอรหันต์ทอดบังสกุลความเดือดร้อนทางจิตใจแล้วด้วยพระปัญญาญาณอันถ่องแท้ เป็นสัมมาญาณะแท้ไม่ปลอมแปลง เป็นสัมมาวิวุติแท้ ไม่มัดใจให้เดือดร้อน
ท่านผู้ต้องการให้เหือดแห้งจากทะเลหลง ต้องพิจารณาวิปัสนาอยู่แบบบรรจงไม่ลดละได้ สมาธิล้วนๆนั้นไซร้พักอยู่ได้เป็นบางครั้งบางคราว หมดกำลังแล้วก็ถอนออกมา เพราะอยู่ใต้อำนาจอนิจจะตาอันละเอียด หัดให้รู้ทุกกระเบียดแห่งอานิสงส์ ไม่ยืนยงคงถาวรถ้านอนใจ จิตติดสมาธิมากไม่อยากจะพอใจพิจารณาสังขาร นิพพิทาญาณก็ไม่เปิดประตู เพราะมัวแต่สำคัญว่าดูเราสงบได้ ใจชนิดนั้นธรรมชนิดนั้นเป็นขั้นพระพรหมโลก ยังมิได้ข้ามโอฆะแห่งโลกสงสาร ตัวอุปาทานยังติดต้อยห้อยดูอยู่ เพราะไม่มีการต่อสู้นิ่งอยู่ในหลุมเพาะ ทางที่เหมาะอย่าได้พักในสมาธินาน เปรียบเหมือนคนทำงานเมื่อพักอยู่นาน งานก็นานเสร็จสิ้น เมื่อไม่พักเสียเลยก็ไม่ได้กำลัง จงระวังอย่าให้เนิ่นช้า มุงเรือนยังไม่ทันเสร็จนั้นนา เมื่อฝนตกชุกมาก็หอบผ้าตะลีตะลานหาที่กำบัง อนิจจังฯ

ที่มา ธรรมะออนไลน์


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: