อันนี้เจ๋งว่า
จตุคามรุ่นใหม่ ที่ท่านวินัยลงไว้เป็นแน่แท้ รุ่นนี้กินขาด
' จตุคำ ' รุ่นพระพยอมสร้าง ' รวยโคตร ' อิ่มอร่อยไม่ต้องห้อยให้เมื่อยคอ
"พระพยอมปั๊มคุกกี้“ ฉุกคิด 4 คำ "รวยโคตร!” สอนธรรมะ รับประกันว่าไม่ใช่แค่กินได้ แต่มีอิทธิฤทธิ์ คือ “อิ่มอร่อย...ไม่ต้องห้อยให้เมื่อยคอ”
พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จัดแถลงข่าวตรงกับเวลาฉันเพลในวันศุกร์ที่ 15 มิ.ย. ที่วัดสวนแก้ว ฉันโชว์คุกกี้ “จตุคำ" รุ่น "ฉุกคิด 4 คำ รวยโคตร!” โดยเชิญผู้สื่อข่าวมารับแจกคุกกี้ติดยี่ห้อ “จตุคำ” ซึ่งบรรจุอยู่ในกระป๋อง และมีฉลากติดไว้อย่างสวยงามเหมือนขนมขายในห้างสรรพสินค้าหรู และภายในกระป๋องเป็นถุงพลาสติกมีแถบรัดลายเซ็นชื่อ พระพยอม กัลยาโณ และสติกเกอร์รูปพระพยอมชวนชิมอิ่มบุญ “หากินกับพระ” โดยบรรจุคุกกี้ที่ทำออกมาดูเผินๆ คล้ายเหรียญจตุคามฯ พิมพ์คำว่า “จตุคำ” เด่นชัดไว้บนคุกกี้แผ่นกลมใหญ่ 4 ชิ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชนชั้นกลาง หรือระดับปัญญาชนขึ้นไป
พระพยอม กล่าวว่า ได้พยายามพร่ำสอนเตือนให้คนไทยได้ฉุกคิด โดยการเทศน์ การเขียน มาตั้งแต่แรกเริ่มที่เกิดกระแสจตุคามรามเทพฟีเวอร์ หวังให้คนไทยโดยเฉพาะชาวพุทธที่กำลังหลงทิศนำเอา “จตุคามฯ” มาแทนที่ “จตุราอริยสัจ” หรือ “อริยสัจ 4” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ อันเป็นหัวใจแท้ๆ ของชาวพุทธที่สอนให้รู้ว่า ทุกข์เกิดได้อย่างไร 4 ประการ คือ การมีอยู่ของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางไปสู่ความดับทุกข์ ซึ่งชาวพุทธมักจะบอกว่ารู้แล้ว แต่ยังหลงไปบูชาอย่างอื่น นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย
“เวลานี้มีหลวงปู่หลวงพ่อของไทย ท่านกำลังทำสมาธิโดยไม่เกิดฌาณทัสนะ คือ ปัญญาอันรู้แจ้ง กลับหวังแต่จะปลุกเสกให้วัตถุของขลังมีพลังมีฤทธิ์มีเดชมีอำนาจ ทำให้คนร่ำรวยเป็นเศรษฐี จากสารพัดมวลสาร อาตมาไม่รู้ว่าจะไปตอบชาวพุทธทั่วโลกเขาว่าอย่างไร จนมีคนบอกว่า พระไทยชอบเสก พระเวียดนามชอบสอน เห็นจะจริง ดูอย่างท่านติช นัท ฮันห์ ที่ท่านมาเมืองไทยเมื่อคราวก่อน มีลูกศิษย์ลูกหาทั้งแขก จีน ไทย ฝรั่ง แห่ไปฟังคำที่ท่านสั่งสอน สิ่งหนึ่งซึ่งท่านไม่สนใจเลยคือ การปลุกเสกจตุคามรามเทพ เครื่องรางของขลัง ขณะที่พระไทยยังนั่งปลุกเสกกันอยู่ พระไทยน่าละอายต่อพระเวียดนามหรือไม่" พระพยอม กล่าว
"จริงๆ แล้ว มวลสารที่ทำให้คนเรามีความสุข กระปรี้กระเปร่า คือ เอนโดรฟิน ซึ่งร่างกายจะหลั่งออกมาเองจากความปีติปราโมช เช่น เมื่อขณะนอนหลับสนิท หรือเป็นสุขอันเกิดจากหยาดเหงื่อ ไม่ว่าออกกำลังกาย หรือทำงานจนเหงื่อไหล ไม่ใช่มาจากเศษดิน หิน ปูน ทราย หรือมวลสารอะไรทั้งสิ้น” พระพยอม กล่าว
พระพยอม กล่าวถึงการพร่ำสอนที่ผ่านมาว่า คงไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไร เพราะสื่อมวลชนก็มีส่วนร่วมไปโฆษณาชวนเชื่อด้วย ทำพิธีปลุกเสกที่ไหนก็มีข่าวตามมาทันทีว่า เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อย่างโน้นอย่างนี้ หรือไม่ก็ลงโฆษณาชวนเชื่อกันเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็เป็นประธานกดปั๊มพิมพ์เสียเอง ก็ยิ่งกู่ไม่กลับ ชนชั้นปัญญาชนกลับไม่รู้จักใช้ปัญญา หน่วยงานของรัฐอย่าง สคบ.ไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ออกมาคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ควรจะทำ หรือว่ากำลังคิดจะจัดสร้างเองกับเขาด้วย อย่างนี้ก็คงลำบาก
“อาตมาเห็นมีดารา นักร้อง นักแสดง พิธีกรมากหน้าหลายตาไปร่วมงานปลุกเสกจตุคามฯ แล้วตั้งหลายรุ่น ถามหน่อยมีดาราคนไหนพร้อมมาเป็นอาสาสมัคร ช่วยแนะนำ “จตุคำ" รุ่นฉุกคิด 4 คำ รวยโคตร! ที่อาตมาจัดสร้างนี้บ้างไหม จะขออนุโมทนาไว้ล่วงหน้า” พระพยอม กล่าวว่า
พระพยอมยังระบุว่า คุกกี้ของวัดมีอิทธิฤทธิ์คือ “อิ่มอร่อย...ไม่ต้องห้อยให้เมื่อยคอ” ซึ่งนี่คือการสอนอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เพื่อสอนให้คนไทยได้ฉุกคิด และไม่ยึดติด หลงใหลในวัตถุอย่างไร้สติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว ซึ่งเป็นช่วงฉันเพล พระพยอมได้ฉันคุกกี้ และเชิญชวนผู้สื่อข่าวให้ชิมคุกกี้ “จตุคำ” พร้อมทั้งแจกจ่ายจตุคำกระป๋องให้ผู้สื่อข่าวติดมือกลับสำนักพิมพ์กันอย่างถ้วนหน้า โดย "จตุคำ" หรือ คำ 4 คำ คือ “อุ อา กะ สะ-ขยันหา ขยันเก็บ เลือกคบ เลือกใช้" ได้นำมาปั๊มไว้ด้านหลังคุกกี้ “จตุคำ” เพื่อเตือนสติให้ฉุกคิดกันว่า คนเรานั้นรวยได้ทุกคน รวยได้ทั้งโคตร จากความขยันหมั่นเพียร รักษาทรัพย์ ไม่คบคนผลาญทำลายทรัพย์ และไม่ใช้จ่ายเกินตัวนั่นเอง แต่ถ้ารวยแบบจตุคามฯ รุ่น "รวยได้โดยไม่มีเหตุผล" ทำให้คนเราอยู่นิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ถ้าห้อยแล้วจะรวยอย่างไม่มีเหตุผล ให้ขอซื้อสักโหล จะเอาไปห้อยที่หน้าทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน้ากระทรวงต่างๆ จะได้ช่วยให้รวยกันทั้งประเทศ ไม่ต้องมาห้อยกันทีละคนให้คอเคล็ดขัดยอก
ทั้งนี้ "4 คำล้ำค่า คาถาเศรษฐี" ที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนและมีปราชญ์สรุปไว้เป็นคำย่อว่า “อุ อา กะ สะ” นั้น "อุ" มาจากคำว่า "อุฏฐานสัมปทา" คือ พร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร ในการประกอบสัมมาอาชีพ หรือจำง่ายๆ ว่า ขยันหา "อา" มาจากคำว่า อารักขสัมปทา คือ การเก็บรักษาทรัพย์สินที่ได้มาโดยชอบธรรม หรือจำง่ายๆ ว่า ขยันเก็บ "กะ" มาจากคำว่า "กัลยาณมิตตา" คือ การคบหาสมาคมกับคนดีมีคุณธรรม มีน้ำใจ และเป็นเพื่อนที่ไม่พาไปผลาญทรัพย์ หรือจำง่ายๆ ว่า เลือกคบ "สะ" มาจากคำว่า สมชีวิตา คือ การใช้จ่ายอย่างประหยัดพอเพียง ใช้ชีวิตสมถะ ไม่ฟุ่มเฟือย หรือจำง่ายๆ ว่า เลือกใช้ จตุคำ “อุ อา กะ สะ” คือ ขยันหา ขยันเก็บ เลือกคบ เลือกใช้
ที่มา : คมชัดลึก