แด่คุณแม่ของคุณเอง
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 25, 2024, 06:21:02 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: แด่คุณแม่ของคุณเอง  (อ่าน 4408 ครั้ง)
prasert_sms
Full Member
member
**

คะแนน40
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 218



อีเมล์
« เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2011, 09:04:03 pm »

ไปอ่านเจอมามีความหมายดี ถ้าซ้ำขออภัย

หลังจากที่แต่งงานมาได้   21   ปี
ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
เพราะ....วันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง
มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ
'   ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ '   ภรรยาผมพูด
' แต่ผมรักคุณนี่ '   ผมเถียง
' ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน '
ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ   ' แม่ '   ของผมเอง   
ซึ่งเธอเป็นหม้ายและใช้ชีวิตเพียงลำพังกับสัตว์เลี้ยงมา   19   ปีแล้ว
เนื่องจากงานที่รัดตัว ทั้งเจ้านายและลูกค้าที่ผมจะต้องรับผิดชอบ
และยังมีภรรยาและลูก ๆ ที่ต้องดูแล
ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น

ผมตอบตกลงกับภรรยา และขอบคุณที่เธอให้โอกาสเช่นนั้น
วันที่ผมโทรไปหาแม่ เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง
แม่ถามผมว่า   ' มีอะไรหรือ ?   ลูกสบายดีรึเปล่า ?'
แม่คิดว่าการที่ผมโทรมาหาอย่างกระทันหัน
หมายความว่ า   มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น   
ผมตอบแม่ว่า   ' ไม่มีอะไรคับ ก็อยากคุยกับแม่ และคงจะดีมาก ถ้าเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง '
แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า   ' ได้สิจ๊ะ แม่ยินดีมากเลยจ้ะ ' + ' แล้วลูกมีเวลาว่างแล้วเหรอจ๊ะ หยุดงานได้เหรอ '
เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน   
ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่า
แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน   
แม่สว มเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว
แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย
พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์
แม่บอกเพื่อน ๆ ว่า   ' จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย '     
แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ   เพื่อน ๆ ของแม่ต่างพากันประทับใจยกใหญ่
เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม   
บรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ   
ผมวางแผนว่าต้องเป็นร้านในสไตล์ที่แม่ต้องชอบ
แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง
หลังจากที่เรานั่งเรียบร้อยแล้ว   
ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร   
เพราะแม่บอกว่า   ' ตอนนี้สายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น '
เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง
จึงหยุดเว้นจังหวะ เพื่อให้แม่ได้เลือกรายการอาหาร
ผมเงยหน้าขึ้น   มองเห็นแม่กำลังจ้องมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง
แม่พูดเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า   
' ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟังหลายรอบ '   
ผมบอกแม่ว่า   ' งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้างแล้ว '   
ในระหว่างมื้ออาหารนั้น
เราคุยกันอย่างถูกคอ   -   ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร -
เพียงแต่สลับกันถามว่าชีวิตของเรา
เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน
เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า   ' แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ ' -
' แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ '
' แน่นอนครับ '   ผมตอบตกลง
' ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง ?'   ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน
' วิเศษมาก ๆ ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย '   ผมตอบ

อีกไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย
หลายวันต่อมา   
ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป
มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า...
' แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปอีกครั้งไม่ได้ -
แต่... แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือ สำหรับลูกกับภรรยา - ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน ,   รักลูกมากจ๊ะ '
ณ วินาทีนั้น ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า   '' รัก '
ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน
ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ
จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ
เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้
- บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป
คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่
- บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้
คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน
................... ................... ................... .........

 cry2!! cry2!! cry2!! THANK!!




บันทึกการเข้า

ถาวร-LSVteam
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน955
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7987



อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 09:57:53 am »

ผมจะเล่า ประสบการณ์ความผิดพลาด ในชีวิตผมให้ฟังบ้าง
มันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้
ที่อยากเล่าให้รับรู้กันไว้ เพื่อที่คนที่ยังมีพ่อแม่อยู่ จะได้ไม่ทำพลาดอย่างผม 

   เมื่อ20ปีก่อน  ผมเปิดร้านซ่อมใหม่ๆ แล้วก็ได้ตัดสินใจซื้อบ้านหลังที่ผมอยู่ในทุกวันนี้
ด้วยราคา1ล้าน3แสนบาท ช่วงนั้นดอกเบี้ยแพงมาก ร้อยละ12.5
กู้เงินธนาคาร มา8แสน4หมื่นบาท
ค่าดอกเบี้ยตกเดือนละ 9พันกว่า 

ด้วยช่วงนั้นรายได้ดี พอควร งานเยอะมาก นั่งซ่อมตั้งแต่ เช้าบางวันถึงเที่ยงคืน
เป็นบางวัน ซ่อมทีวีได้วันละ10กว่าเครื่องถึง20เครื่องต่อวัน

มีวันหนึ่งนั่งคุยกับพ่อ แล้วพ่อก็เอ่ยขึ้นมาว่า เมืองไทย เขาไปมาจนทั่วหมดแล้ว
แต่ไปก็ไปทำมาหากิน แต่ในชิวิตไม่เคยนั่งเครื่องบินเลย 
ในชีวิตอยากลองนั่งเครื่องบินสักหน 


ผมก็รับปากอย่างดีเลยว่า พ่อได้นั่งเครื่องบินแน่ ขอเวลาผ่อนบ้านหมดก่อน
ผมจะพาพ่อนั่งเครื่องบินไปเที่ยวเชียงใหม่กัน2คน   
 ด้วยที่ว่าเพราะคิดว่ามีภาระมาก จึงได้คิดแบบนั้น
หลังจากนั้นก็ทำงานไปอย่างไม่ได้คิดอะไร ประมาณ 5ปีต่อมา
ในวันหนึ่งซึ่งลูกสาวคนโตของผมตอนนั้นอายุ4ขวบ บอกว่าอยากไปตกปลา
ผมก็รับปากว่าอาทิตย์นี้จะพาไป เมื่อถึงวันอาทิตย์

พ่อบ่นปวดหัวแต่เช้า

ผมก็เลยไม่อยากไป ลูกสาวก็รบเร้า ผมก็เลยดุลูกสาวว่า จะไปได้อย่างไร
ปู่ไม่สบายไม่เห็นหรือ  พ่อผมได้ยิน ก็บอกว่า
ไปเถอะรับปากลูกแล้ว  กูไม่เป็นไรหรอก
ถึงเป็นมึงอยู่ก็ช่วยอะไรกูไม่ได้หรอก 

ผมก็เลยพาลูกไปแบบไม่สบายใจนักปล่อยให้พ่ออยู่กับหลาน
(ลูกชายพี่สาวคนโตต่างแม่กับผมไปรับมาอยู่ด้วยหลังจากพี่สาวผมเป็นโรคหัวใจรั่วตาย )

เมื่อตกเย็น ผมก็ได้พาเมียและลูกกลับบ้าน เมื่อมาจอดรถหน้าบ้านก็ทำให้ใจหายเป็นอย่างมากอย่างที่ระแวงเอาไว้
เพราะประตูบ้านปิดไม่มีใครอยู่รีบเปิดบ้านให้ลูกเมียเข้าบ้านแล้วผมก็รีบขับรถไปโรงพยาบาลทันที
ไปถึงก็มองหาเจ้าหลานชาย ซึ่งมันก็อายุ15แล้ว ก็ไม่เจอ
จึงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทันทีว่ามีคนป่วยเข้ามาหรือเปล่า ชื่อนาย นิต  คำยาด

เขาเลยถามว่าเป็นอะไรกับคนป่วย ผมก็ตอบว่าเป็นลูกชาย
เขาจึงพาผมไปหาที่นั่งแล้วก็บอกว่าทำใจดีๆนะ  ลุงแกเสียแล้ว

เท่านั้นแหละครับผมทรุดเลยพูดออกมาได้แค่คำเดียวว่า  หา
แล้วก็จำอะไรต่อไปแทบไม่ได้เลยเพราะว่าช่วงนั้นมันเหมือนกับหน้ามืดมึนชาไปหมด
จนพยาบาลเขาเข้ามาเขย่าผมแล้วถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า ถึงได้สติกลับมา 
ก็ตอบว่าไม่เป็นไรครับ แล้วเด็กที่มาด้วยล่ะครับไปไหน เขาว่ากลับบ้านไปได้สักพักแล้ว 
ผมจึงได้เดินไปตู้โทรศัพท์ โทรกลับบ้านเพื่อบอกให้เมียรู้ ทันทีที่เมียผมรัยโทรศัพท์
ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย เมียผมก็ปล่อยโฮ ออกมาเลยเพราะว่าเจ้าหลานชายมันกลับไปถึงบ้านพอดี
แล้วก็บอกให้เมียผมรับรู้ในช่วงเดียวกัน  หลังจากนั้นผมก็ขอเขาไปดูหน้าพ่อหน่อย
มีเจ้าหน้าที่พาไปห้องเก็บศพ เขาก็ให้ดู
ผมก็นั่งร้องให้ที่เตียงที่พ่อนอนอยู่เจ้าหน้าที่ห้องเก็บศพเขาก็บอกว่า

ร้องไปเหอะแต่อย่าให้น้ำตาไปถูกตัวเขานะมันจะทำให้เขาเป็นห่วง 

แล้วผมก็กลับบ้าน โทรหาพี่น้องและญาติ จัดงาศพผ่านไป   

  จนกระทั่ง ถึงวันที่ผมผ่อนบ้านหมด ไปโอนบ้าน กลับเป็นวันที่ผมน้ำตาร่วงอีกครั้ง
เพราะพอผ่อนบ้านหมดมันก็นึกถึงคำพูดที่เคยรับปากพ่อไว้ว่า ผ่อนบ้านหมดเมื่อไหร่
เราจะนั่งเครื่องบินไปเที่ยวเชียงใหม่กัน  มันกลายเป็นว่าวันนั้นเป็นวันที่เสียใจแทนที่จะดีใจ
เพราะแค่วันนั้น ผมทำเสียก่อน พาพ่อไปเที่ยวเสียก่อน
ผมก็จะผ่อนบ้านหมดช้าไปอีกแค่ เดือนเดียวเท่านั้นเอง 


         แต่กลับไม่ได้ทำ เมื่อถึงเวลา คิดจะทำก็ทำไม่ได้เสียแล้ว
เพราะพ่อได้ตายจากผมไปแล้ว   

จึงอยากบอกกับ เพื่อน พี่ๆหรือใครก็ได้ที่ยังมีพ่อแม่อยู่
อย่าได้ทำผิดพลาดอย่างเช่นผม
เพราะเวลามันย้อนกลับมาไม่ได้
บันทึกการเข้า

ยังสร้างความฉิบหายให้ประเทศไทยไมพอกันอีกหรือ 
 ผู้ใดคิดร้ายให้ร้ายพระองค์ มันจงพินาจฉิบหายในเวลาอันใกล้
พรเทพ-LSV team♥
รับติดตั้งจานดาวเทียม ลาดพร้าว บางกะปิ
Senior Member
member
*

คะแนน1453
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12125

091-091-9196 ID LINE : tv59


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 10:56:26 am »

สุดยอดครับคุณถาวร
บทความคุณทำให้ผมน้ำตาไหลได้
ผมเป็นคนที่น้ำตาไหลยากมาก

พ่อผมเสีย ผมก็ไม่เสียใจ ไม่เสียน้ำตา เพราะสิ่งที่ควรทำผมก็ทำเสร็จหมด ไม่ได้ติดค้างอะไรพ่อ ตอนนั้นผมอยู่ กทม. ผมกลับไปรับพ่อออกจากโรงบาลทัน รับกลับมาที่บ้าน ได้คุยกับพ่อ และคืนนั้นพ่อก็จากไป

ส่วนแม่ผม ป่วยนานมาก นานจนผมขึ้นลง กทม เบตง เป็นสิบๆรอบเลย ทั้งขับรถไปบ้างนั่งเครื่องไปบ้าง สั่งเสียจนไม่มีอะไรจะสั่งแล้ว ก่อนแม่จะไปจริงๆผมได้ยินเสียงแม่บอกว่า (ผมอยู่ กทม) ถ้าพวกเธอจะมาหาฉันก็ให้รีบมานะ ไม่นั้นฉันจะไม่รอแล้ว ผมก็โทรกลับเบตง ถามอาการแม่ และฝากบอกแม่ด้วยว่าแม่ไม่ต้องรอผม และโทรบอกพี่ๆคนอื่นๆว่าให้รีบกลับ ว่าบอกมาว่าอย่างนั้น แต่ก็ไม่มีใครกลับทัน เพราะเส้นทางมันไกลมาก ก็แต่ไม่ได้เสียใจอะไร เพราะอย่างที่บอก ตอนที่แม่ยังดีๆ เราได้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว ได้พาแม่ไปเทียว พาแม่ไปกินข้าว พาแม่นั่งเครื่องขึ้น กทม เพื่อรักษา คือทำทุกอย่างดีสุดแล้ว และยังนิมนต์พระมาสวดให้แม่ก่อนที่แมจะไปด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้เสียใจอะไร

แต่ของคุณ น่าเสียใจจริงๆ  cry2!!
บันทึกการเข้า

ถาวร-LSVteam
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน955
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7987



อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 05:27:35 pm »

ผมรักพ่อผมมาก แต่ไม่เคยแสดงออกเลย ทุกวันนี้ที่ผมได้ดีได้มีอยู่เพราะ
สิ่งที่พ่อสอน ที่พ่อตี ที่พ่อใช้ ถึงแม้ว่า ผมจะเสียใจมาก
ในตอนสมัยเรียนซึ่งพ่อผมไม่ให้เรียนต่อ
เพราะฐานะทางบ้านถือว่ายากจน
แถมมีน้องต้องเรียนอีก 3คน ซึ่งตอนนั้นไม่เข้าใจ
มาเข้าใจก็เมื่อ ได้ทำงานหาเงินด้วยตัวเองสักระยะ ถึงได้เข้าใจตรงจุดนี้ 
ผมเรียนจบ ม.3ก็ต้องไปทำงาน จนอายุเกือบ23ถึงได้ตัดสินใจกลับมาเปิดร้านซ่อมที่สระบุรี
เพราะเป็นห่วงพ่อแม่และน้องชายคนเล็กซึ่งอยู่กันแค่3คน
พี่น้องคนอื่น ไปอยู่ กทม.กันหมด   
มีคำพูดอยู่คำหนึ่งที่ผม แอบฟังแล้วก็ ทำให้รักพ่อมากเพิ่มอีก 
เพราะวันนั้น ไปกินเหล้ากับเพื่อน กลับเข้าบ้าน ทุกคนยังไม่นอน
กำลังจะไขประตูบ้าน ได้ยินพ่อคุยกับแม่ และน้องชายคนเล็ก
ซึ่งอายุห่างจากผม 12ปี   พ่อพูดว่า

มึง2คนอย่าคิดว่าลูกคนอื่น พี่คนอื่นจะดีกว่าไอ้วรมัน
นานๆเขามาที ซื้อของมาให้ ให้เงินไว้ใช้
แต่ไอ้วรมันไม่เคยให้ แต่สิ่งที่มันให้มันมากกว่าคนอื่นที่มาให้เสียอีก

ที่กินใช้กันอยู่ทุกวัน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ทุกอย่างไอ้วรมันจ่าย อยู่คนเดียว
ลองคิดดูว่าใครให้มากกว่ากัน  ซึ่งสิ่งนี้ผมเองไม่เคยคิด แต่พ่อผมคิด
และพูดบอกแม่และน้อง  พี่น้องคนไหนจะมารับไปอยู่ด้วย
เพื่อจะดูแลพ่อบ้าง พ่อมักจะปฏิเสฐ  ว่ากูไม่ไปหรอก มันลำบาก
ไปอยู่แบบนั้น มันไม่สดวก จะไปไหนทีก็ไม่คล่องตัว
คิดถึงพวกมึงก็มาหาเอาแล้วกัน  ในช่วงจัดงานศพพ่อ
พี่สาวผมคนโต จะไม่ยอมร้องให้ให้ผมเห็นเลย
และจะสั่งน้องทุกคนด้วย ถ้าจะร้องให้ไปร้องห่างๆผมอย่าให้ผมเห็น
เพราะเขาไม่อยากเห็นผมร้องเขารู้ว่าผมรักพ่อมาก 
ในบ้านผม มีพี่น้องด้วยกัน 6คน(แม่เดียวกัน) มีพี่สาว2คน
ผมเป็นคนที่3แต่เป็นลูกชายคนโต มีน้องชายอีก2คนน้องสาวอีก1 
แม่ก็เสียไปได้ 6-7ปีแล้ว ไม่มีใครแล้วเหลือกันแต่พี่น้อง
และก็ยาย ที่ผมก็ยังไปหาอยู่แทบทุกปี 
และก็แม่ยายผม ซึ่ง อยากไปไหนขอให้บอกผมจะทำให้
จะรับมาอยู่ด้วยก็ไม่มาอยู่ด้วยแค่ช่วงปิดเทอม
เพราะเขาห่วงหลานเขา (ลูกของน้องเมีย)
พรุ่งนี้ก็จะต้องพาเมียไปดูเขาหน่อยเพราะว่าไม่ค่อยสบาย
ถ้าเป็นมากก็คิดว่าจะรับมาอยู่ที่นี่หาหมอมันจะได้สดวก
เพราะอยากช่วยให้เขาดูแลพ่อแม่เป็นอย่างดี ไม่ให้ติดขัด
เพราะว่าเขาอยู่กับผมมา เขาก็คอยดูแลพ่อแม่ผมเป็นอย่างดีมาตลอด
ในช่วงที่พ่อแม่ผมยังมีชีีวิตอยู่ ก็อยากตอบแทนเขามั่ง
 รักพ่อแม่เขาให้เหมือนพ่อแม่ตัวเอง อย่างที่เขาทำ
บันทึกการเข้า

ยังสร้างความฉิบหายให้ประเทศไทยไมพอกันอีกหรือ 
 ผู้ใดคิดร้ายให้ร้ายพระองค์ มันจงพินาจฉิบหายในเวลาอันใกล้
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3008


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2011, 09:18:36 am »

 เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นความไม่เที่ยงในแต่ละชีวิต อะไรที่ทำได้ในตอนนี้วันนี้ ควรรีบทำทันที
ผลัดวันประกันพรุ่ง แล้วต้องเสียใจที่ไม่ได้ทำ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์อยู่ใกล้ตัวไม่ต้องไปเสาะแสวง
หาที่ไหนอีกแล้ว ขอบคุณๆอ.ถาวรและเพื่อนๆที่ได้เล่าครั้งหนึ่งในชีวิตเป็นอุทธาหรณ์สอนใจทำให้
ได้ฉุกคิดขึ้นมาทันที ขอบุญกุศลอันประเสริฐสุดจงเกิดกับท่านตลอดไป
บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!