kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #203 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:22:14 am » |
|
การเดินทางเข้าป่า ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติของป่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ มีแต่ความสงบ มีความเงียบสงัด ไม่วุ่นวาย กลับทำให้เรา สามารถมองเห็นจิตของเรา มองเห็นอารมณ์ของเราเด่นชัด และค้นหาวิธีควบคุมกำลังจิตให้อยู่ในสภาวะจิตที่เราต้องการ หรือที่เรียกว่าสำรอกเอาความชั่วในจิตออก ได้แก่ กิเลส ตัณหา ราคะ โลภ โกรธ หลงให้ออกจากจิต ตัดกามคุณทั้งห้าประการออกเพื่อไม่ให้จิตคับแคบขาดเหตุผล
มองเห็นกระบวนการทำงานของจิตอย่างมีระบบ เป็นกระแสอย่างต่อเนื่อง อย่างกับกระแสน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย มันจะไหลไปตามความปรารถนา ความต้องการทางอารมณ์นั้น ๆ หากจิตขณะนั้นอยู่ในกุศลจิต กระบวนของจิตก็คิดแต่สิ่งที่ดีทั้งกับตนเองและผู้อื่น จะคิดก็คิดแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์เรียกว่า กระทำอย่างนักปราชญ์ราชบัณฑิต เขาคิด เขาพูด เขาทำกัน
ในทางตรงข้าม หากจิตขณะนั้นอยู่ในอกุศลจิต ก็จะคิดกลับกันกับบัณฑิต คิดไม่มีเหตุผล คิดเห็นแก่ตัว ทำเห็นแก่ได้ พูดเห็นแก่ประโยชน์ มีความคิดเต็มไปด้วยอารมณ์มุ่งมั่นในทางอกุศลเพียงอย่างเดียว “สติก็ถูกอกุศลเข้าครอบ เข้ากำกับแทน” จะคิดไปทางไหนไม่ได้ นอกจากคิดตามที่ตั้งสมมุติฐานเอาไว้ เหตุผลที่คิดก็จะเป็นไปตามอกุศลจิตนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #204 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:22:38 am » |
|
ถ้าเราจะควบคุมกำกับจิตจะต้องสร้างปัญญาให้บริสุทธิ์ เพื่อสร้างวิชชาดับอวิชชา อกุศลก็จะดับ กุศลจิตก็จะเกิดแทนกระบวนการทำงานของจิต
ในช่วงนี้จะถูกสร้างกระแสจิตให้อยู่ในกุศล ที่มีอารมณ์แน่วแน่เป็นอารมณ์เดียวคือ กุศล ด้วยการสร้างสมาธิจิต การเจริญกรรมฐานสร้างปัญญาไปประหัตประหาร อวิชชาก็จะดับ สังขารก็จะปรุงแต่งแต่กุศล วิญญาณความรู้สึกจะอยู่กับกุศล นามรูปก็จะปรากฏแต่กุศล อายตนะก็จะถูกควบคุม ผัสสะก็จะถูกกุศลจิตเข้ากำกับ เวทนาความสุขโสมนัสเกิด ทุกข์โทมนัสจะดับ คงสภาวะของอุเบกขารมณ์
ตัณหา ความทะยานอยากก็จะหยุด อุปาทานการยึดมั่นก็จะคลาย ภพชาติก็จะไม่บังเกิดในจิต ความโศกเศร้าโศกาอาดูรก็จะดับไปด้วย ลักษณะเช่นนี้ความสุขจะบังเกิดเมื่อทุกข์ดับ กระบวนการนี้จะวิ่งอยู่ในจิตตลอดเวลา
ถ้าหากเกิดอกุศลจิตก็จะตรงกันข้าม บังเกิดทุกข์ คิดผิด ๆ อวิชชาเข้าครอบ แก้ปัญหาคือ ทุกข์ด้วยอารมณ์ ก่อความเดือดร้อนกับตนเองและผู้อื่น คิดทำอย่างไรก็ได้ขอเพียงแต่ได้มา จิตมีแต่มืดมัว ใครพูดตรงกับประโยชน์ของตนก็เป็นพวกกัน ใครพูดไม่ตรงประโยชน์ตนก็เป็นศัตรูกัน
ดังนั้นการกำกับจิตให้รู้จักเอาสิ่งที่ดีเข้าไป เอาสิ่งไม่ดีออกมาเป็นเรื่องสมควรที่ต้องศึกษา ต้องฝึกเพื่อสันติสุข ความเป็นอิสระของตัวเองจะได้อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างไม่ทรมาน
คนที่ต้องทนทุกข์หาความสงบสุขไม่ได้ตลอดชีวิต น่าเสียดายสิ่งที่ทุกคนทำได้ แต่ไม่ทำ ไม่กล้าทำในสิ่งที่ดี ต้องซ่อนเร้นไม่กล้าประกาศ หลบ ๆ ซ่อน ๆ ซึ่งต่างกับการทำชั่ว กล้าทำ กล้าแสดงตัว กล้าประกาศ อย่างโกรธก็แสดงออกให้เห็นความอหังการ ความโลภแสดงให้รู้แล้ว อย่างนี้จะหาความสงบในสังคมได้อย่างไร?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #205 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:22:58 am » |
|
นี่แหละธรรมชาติที่ได้จากการแสวงหาเดิน ป่า จากการเจริญจิต สัตว์ร้ายทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในป่า ถ้าเราไม่ได้เข้าไปก็ทำอันตรายไม่ได้ เข้าไปมันยังหนี ไม่คิดทำอันตราย หากแต่ป่ามนุษย์ ป่าคอนกรีต เราต้องพบอยู่ทุกเวลา อันตรายยิ่งกว่ากันและมีอยู่ตลอดเวลา
สิ่งเลวร้ายมันอาศัยอยู่ในจิตก็เหมือนสัตว์ร้าย หากเราไม่ฆ่าทำลายมันทิ้ง มันก็จะทำลายตัวเรา เสมือนเรามีโรคร้ายอยู่ในตัว ไม่รักษามันจะทำลายล้างชีวิตเราในที่สุด รักษาหายแล้วต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดอีก ทั้งต้องป้องกันโรคร้ายอื่น ๆ ไม่ให้บังเกิดในจิตของเรา
โรคที่อยู่ในจิตคือ กิเลส ตัณหา ราคะ อวิชชา ร้ายยิ่งกว่าโรคใด ๆ รักษายาก เมื่อเกิดขึ้นแล้วคนที่เป็นโรคทางจิตที่ไม่ยอมกินยา โรคก็จะเกาะกินอยู่ในจิตของแต่ละคน ให้อยู่กับความทุกข์เศร้าหมอง กระวนกระวาย รุ่มร้อน ฟุ้งซ่าน ผูกอาฆาตพยาบาท ถดถอย รันทด เบื่อหน่าย ท้อแท้ คิดหนี ดิ้นรนกระวนกระวายใจ ไม่กิน ไม่นอน อยู่ในอาการซึมเศร้า คิดท้อ คิดทำลายตนเอง ทำลายผู้อื่น ค้นหาวิธีอันเลวร้าย ว้าวุ่น จมปลักอยู่กับความชั่ว กลับตัวไม่ได้ ไม่รู้ถูกรู้ผิด คิดแต่จะได้ คิดแต่จะเอา คิดแต่ประโยชน์ คิดหาเล่ห์กลวิธีการ อย่างคำพังเพยที่ว่า “แม้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องเอาด้วยเวทมนต์คาถา”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #206 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:23:18 am » |
|
ลองพิจารณาว่ามันร้ายแรงน่ากลัวแค่ไหน ในสิ่งที่เราต้องผจญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อันตรายจะมาถึงตัวเราเมื่อไร ไม่อาจรู้ได้ ต้องอยู่กับความเสี่ยงไปวัน ๆ หนึ่ง มองไม่เห็น ป้องกันไม่ได้ ต้องทนอยู่กับสภาพอันเลวร้าย หวาดระแวง นอนสะดุ้ง คิดจนไม่ต้องหลับต้องนอน ร่างกายก็เสื่อมสูญคุณภาพ ระบบความคิดก็สลายคุณภาพไปด้วย
คิดแล้วน่าเศร้าเสียจริงชีวิตนี้ ทำอะไรผิด ๆ กรรมก็จะมาแสดงตัว มาสำแดงเดชเดชาอานุภาพให้เป็นไปตามกรรม *ใครจะยืนรอให้รถมาชน กรรมมาประชิดตัวก็เป็นสิทธิของเขา ใครจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวคงไม่ได้*
“ชี้ทางให้ไปแล้วไม่ไป ให้ยาไปกินแล้วไม่กิน โรคคงไม่เบาบางสลายหายได้” จิตมันจะสร้างภาพหลอน หลอกตัวเรา พร้อมทั้งตะคอกตัวเราไม่ให้คิด ไม่ให้ทำ ไม่ให้พูดในสิ่งที่ไม่ต้องการ
จงหลับตาย้อนดูในอดีต เมื่อเราจะไปทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ไปทำความดี จิตในฝ่ายอกุศลก็จะตะคอกออกมาต่าง ๆ นานา ไม่ว่าง ไม่จำเป็น เสียเวลา เสียเงิน เสียทอง ค่อยทำวันหลัง เหนื่อยอยากพักผ่อน ที่ทำอยู่แล้วดีแล้ว ไม่ทำเราก็อยู่ดีกินดีอยู่แล้ว คนที่เขาทำไม่เห็นมีอะไรดีกว่าเรา ยังทุกข์ยากกว่าเรา
*ในทางกลับกันถ้าจิตชอบจะชั่ว ก็หาเหตุผลส่งเสริมให้ไปทำ เช่น* เขาเป็นเพื่อน เป็นพวกพ้อง ขัดไม่ได้ ต้องเข้าสังคม เราอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องพึ่งพากัน เดี๋ยวถูกตำหนิ เดี๋ยวถูกรังเกียจ เราต้องอยู่กับสังคม เราต้องมีเพื่อน ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน สถานที่อย่างไรก็จะไป แม้จะทิ้งครอบครัวไปให้เวลากับเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าว แล้วเสียเงินเสียทองก็ไม่กลัว กู้หนี้ยืมสินก็ไม่ว่า ท่องไปในโลกของโลกียวิสัย สนุกเพลิดเพลินกับมันอย่างสุดเหวี่ยง พึงพอใจในสภาพชีวิตอย่างนี้ ใครเตือนก็โกรธเคืองกลายเป็นศัตรูกัน ไม่คบค้าสมาคมกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #207 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:23:39 am » |
|
พระพุทธองค์ ตรัสไว้ว่า “กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตต่างกัน ในหมู่สัตว์ที่มีกรรมเหมือนกันย่อมเข้าใจ ยอมกันในหมู่สัตว์ประเภทนั้น”
จริงอย่างที่พระองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้ คนชอบเที่ยวย่อมเข้าใจกันในหมู่คนที่ชอบเที่ยว คนรักความสงบก็จะเข้าใจกันในหมู่ ชอบอย่างไรก็จะคบกันอยู่อย่างนั้น นักปฏิบัติก็จะคบกับนักปฏิบัติ
หากรู้จักแยกดีชั่วแล้วให้เจริญแต่กรรมดี สันติสมานฉันท์ก็จะบังเกิดในสังคม มีความสุข ไม่เบียดเบียนต่อกัน ก็จะบังเกิดสันติธรรมปรากฏในภาพรวม บ้านเมืองไม่วุ่นวาย ทุกคนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมเดียวกัน ต่างปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงร่วมกัน
ไม่ใช้โอกาสช่องว่างแสวงหาอำนาจอันไม่ชอบธรรม อยู่กับความถูกต้องไม่ใช่ถูกใจ ถูกใจอาจไม่ถูกต้อง ถูกต้องอาจไม่ถูกใจ แต่ต้องมองกันด้วยจิตใจอันเป็นกลาง มีเสรีภาพอิสรภาพที่อยู่บนพื้นฐานกฎเกณฑ์อันถูกต้องในเงื่อนไขเดียวกัน
คนเราอย่าคิดว่าแค่เกิดแล้วสลาย มันมีท่ามกลาง ท่ามกลางนี่แหละสำคัญนัก มันมีกรรมเป็นเครื่องหนุนให้เราก่อพฤติกรรม ดีชั่วไปพร้อม ๆ กัน สร้างความสงบ สร้างความเดือดร้อนควบกันไปไม่สิ้นสุด มันสร้างภาพ สร้างภูมิ สร้างชาติในการเวียนว่ายตายเกิด
การปฏิสนธิวิญญาณใหม่ตามกระแสของกรรม รู้ดีทำดี ไปดี รู้ชั่วทำชั่ว ไปชั่ว มันเป็นอย่างนี้ไม่มียกเว้น ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชั้นวรรณะ นี่แหละท่ามกลาง จึงมีความสำคัญต่อชีวิตต่อการสืบสานภพชาติ ต่อความสุขความเจริญ ต่อความทุกข์ยากลำบากยากเย็นเข็ญใจ ต่อความสำเร็จสมหวัง ต่อความได้มา ต่อความสูญเสีย ต่อผลวิบากกรรม
เขาให้เราสร้างของเราเอง สร้างดีกับสร้างชั่ว เขาให้เรามาชดใช้หรือเรียกว่าเสวยผลของวิบากในอดีตชาติ ให้เรามาเรียนรู้ กลับเนื้อกลับตัวให้ทำแต่ดี ละทำชั่ว ฝึกจิตให้พ้นจากอำนาจฝ่ายต่ำ สร้างสมบุญบารมี บุญวาสนาไว้เป็นทุนทรัพย์ในการเวียนว่ายท่องกระแสกรรมดีกรรมชั่ว
ให้ได้รู้เห็นสถานภาพการดำรงชีวิตของสัตว์โลก ที่แตกต่างกันด้วยผลกรรม เป็นบทเรียน เป็นมหาวิทยาลัยของชีวิต ผู้มีปัญญาย่อมมองเห็นในเหตุผลข้อนี้ เกิดความกระจ่างสว่างในจิต เกรงกลัวกระแสของอกุศลวิบากกรรม ไม่นำตัวไปให้ไฟนรกแผดเผาจิตของเรา ให้ไหม้ไปด้วยอำนาจของกิเลส
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #208 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:24:01 am » |
|
กระทำชั่วแล้วเกิดความสำนึก คิดทำดีแก้ตัวล้างวิบากกรรมชั่ว เหมือนอาบน้ำฟอกสบู่ชำระความสกปรกของร่างกาย ใช้หลักธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนชี้ทางแห่งความสุข ชำระจิตให้ผ่องใส ละจิตที่ชั่วมัวหมอง ให้ได้จิตดีมีความสะอาดก็จะสมประสงค์ที่ได้เกิด ได้อยู่ในท่ามกลาง ในที่สุดก็จะไปดีมีภูมิภพที่ดี เกิดในชาติไหน ๆ ก็จะดี หนีความทุกข์ยากได้ หนีความเลวร้ายที่เราไม่ต้องการ
นี่คือที่บอกว่า เรามาทำอะไรหนอ? มาเพื่อเหตุนี้ มาสร้างภูมิปัญญาธรรม มาชุบตัวเหมือนเมื่อพระสังข์ทองลงอาบน้ำในบ่อทอง ตัวจึงเป็นสีทองสวยงาม แต่เรา เอาจิตมาอาบน้ำธรรม อาบคุณงามความดี สร้างสมบารมี สร้างภพ สร้างชาติ มาทำลายความไม่ดี อันเป็นเหตุแห่งความเสื่อมในชีวิต คิดอย่างประเสริฐ คิดอย่างเป็นคนดีมีปัญญาธรรม ก็จะอยู่ในโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า อยู่ชำระจิตให้หมดจดจากกิเลสเรื่องเศร้าหมองทั้งหลาย อยู่เพื่อไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดสร้างอกุศลวิบาก ก็ต้องปฏิบัติตามคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนพุทธบริษัทสี่ให้บรรลุธรรมอันวิเศษ เข้าสู่แดนอริยบุคคลความเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ในที่สุดนับว่าถูกต้อง
ได้ไม่ครบ แต่ถ้าได้ขั้นหนึ่งขั้นใดก็นับว่าดีอยู่แล้ว ประเสริฐแล้ว เห็นแสงสว่างอยู่รำไร เดินเข้าไปใกล้ก็จะสว่างมากขึ้น เหมือนเมื่อเห็นแสงจากที่ไกล ๆ ส่องมา เมื่อเดินเข้าไปดูก็จะรู้ว่าเป็นอะไร? เพียงแต่อย่าสกัดกั้นตัวเองโดยบอกทำไม่ได้ จริงแล้ว ทำได้ทุกคนเพียงตั้งจิตให้มั่นที่จะปฏิบัติตามรอยพระพุทธองค์ จากอดีตจนปัจจุบันยังมีผู้ได้บรรลุธรรมขั้นสูง
ตราบเมื่อเอาจิตไปเรียนรู้ อาศัยจิตผู้อื่นเราไม่มี โอกาสจะค้นพบบรรลุได้ อย่างที่เราแสวงหาไปกราบพระอริยสงฆ์ กราบร้อยครั้งเราก็ยังเป็นเรา ท่านก็เป็นท่านอยู่ร่ำไป เราไปอาศัยจิตท่านไม่ได้
อย่าเดินทางผิดเสียเวลา หากคิดผิดกลับใจใหม่ ก็ไม่สาย จะสายก็ต่อเมื่อไม่ได้คิด ไม่ทำ ไม่กลับใจ เป็นเช่นนี้ไม่ใช่สายไป สมควรพูดว่าหมดเวลาเสียมากกว่าจึงจะถูก อาจบอกว่าสิ้นหวังแล้วชีวิตนี้ แต่ผู้มีปัญญาจะไม่รำพึงพูดอยู่อย่างนี้ เขาจะบอกว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่สิ้นหวัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #209 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:24:23 am » |
|
โอกาสยังเปิดอยู่ ประตูแห่งความสำเร็จยังเปิดรับ ยังรอให้เข้าไป ยังท้าทาย เรียกร้องให้ทุกคนเข้าไป เข้าไปรู้ เข้าไปเรียน เข้าไปเพียร เข้าไปลิ้มรสชาติแห่งความสงบ ความสะอาดของจิต ให้เห็นจริงรู้จริงด้วยจิตเรา เข้ารับกระแสด้วยตนเอง ลิ้มชิมดูเอง พบทุกคนเห็นทุกคน
ถ้าเข้าไปท่องในดินแดนมหัศจรรย์ โลกแห่งความเร้นลับคือ โลก ของจิตวิญญาณอันกว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณา มีเรื่องมากมายให้เรียนรู้ มีหลักสูตรให้เรียนอย่างเป็นระบบ มีผลการทดลอง มีผลองค์ความรู้ที่ได้ศึกษา มีความสนุกเพลิดเพลินเกินกว่าที่คิด มีประโยชน์เกินจะหาเรียนได้จากที่ไหน ให้เข้าไปเรียนในจิตของเรานั่นแหละ ไม่ต้องไปไกล ไม่ต้องสอบเข้า เข้าได้เลย เรียนได้เลย มีครูคอยสอนอยู่แล้ว คอยอบรมอยู่แล้วคือ สติสัมปชัญญะ คอยแยกแยะอธิบายให้เราทุกเมื่อ ไม่มีเหน็ดเหนื่อย ไม่เกียจคร้าน ไม่มีเวลาพัก ไม่ต้องจ้าง เขาทำหน้าที่ของเขาเอง
เขาจะสอนให้เราดีก็ได้ สอนให้เราชั่วก็ได้ เพียงแต่ขอให้เราบอก ไม่ขัดข้อง ต้องการดีเขาจะสอนอย่างดี ต้องการชั่วเขาจะสอนกลเม็ดความชั่วให้ ครูคนนี้เขาตามใจเราอยู่เสมอ ไม่ขัดใจลูกศิษย์ที่สนใจเรียน
เห็นไหม ในโลกอันลี้ลับนี้ครูเขาตามใจผู้เรียน ครูคนนี้แปลก !!! ไม่เกลียด ไม่รักลูกศิษย์ที่เรียนวิชากับเขา เรียนเรื่องดีก็ส่งเสริม เรียนเรื่องไม่ดีก็ส่งเสริม บอกกล่าวหลักการ วิธีการให้เสร็จ ทั้งบอกกลเม็ดเด็ดพรายอย่างละเอียด ดีก็ให้ดีถึงที่สุด ชั่วก็สอนให้ชั่วสุดขั้วเช่นกัน
ทำชั่วเรียนง่ายเป็นวิชาชั้นต่ำ ทำดีเรียนยากเป็นวิชาชั้นสูง ต้องเรียนละเอียดถี่ถ้วน ไม่มีใครใคร่อยากเรียน ทั้งต้องทำปริญญานิพนธ์ส่งอีก ต้องทดลอง ต้องวิเคราะห์สังเคราะห์อย่างละเอียด แล้วต้องนำผลมาใช้ให้ได้ แล้วยังต้องทดลองต่อ ๆ ไปจนพบข้อเท็จจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงด้วย นี่คือโลกของจิตวิญญาณ มีความเป็นวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #210 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:24:46 am » |
|
พบนางกินรี
เช้าวันรุ่งขึ้นพากันไปสำรวจพื้นที่ เพื่อหาที่สงบ ที่เหมาะสมจะปฏิบัติธรรม เดินทางไปเหนือลำธารน้ำ ต่างคนต่างหาที่ที่เหมาะสมตามความพอใจของแต่ละคน ต่างคนต่างปฏิบัติกัน
ส่วนข้าพเจ้าเดินตามธารน้ำไปเรื่อย ๆ จนได้ที่ที่พึงพอใจก็นั่งปฏิบัติธรรม ขณะที่นั่งเจริญจิตอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเล่นน้ำกันสนุกสนาน ส่งเสียงดังอยู่ไม่ไกลนัก *จิต นึกสงสัยว่า ในป่าลึกเช่นนี้จะมีผู้หญิงชาวบ้านที่ไหน ? เธอมาเล่นน้ำกันหลายคนอย่างสนุกสนาน บ้านคนก็ไม่มี หรือแถวนี้จะมีชุมชน !!!*
ในจิตหนึ่งคิดว่าคงไม่มี เพราะมันไกลมาก ไกลแค่ไหนไม่รู้ เดินเข้ามาตั้ง ๑๔ ชั่วโมง เดินมาก็ไม่พบบ้านคนเลย พบแต่ป่าเขา ทุ่งหญ้า ความอยากรู้มีอำนาจมากกว่าความสงบเสียแล้ว
จึงต้องลืม ตาขึ้นดูอย่างช้า ๆ ตั้งสติไว้ก่อน แล้วเห็นผู้หญิงจำนวนมากกำลังเล่นน้ำ ไม่ได้กลัวเราเลย ไม่ได้อายสายตาที่มองไปสัมผัสเรือนร่างของพวกเขา ภาพที่เห็นนั้น ท่อนบนไม่มีผ้าปิด มองเห็นปทุมถันชัดเจน ส่วนล่างมีขาเป็นขานก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #211 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:25:14 am » |
|
เห็นแล้วนั่งพิจารณา นี่คือตัวกินรีในหนังสือวรรณคดี มันเป็นจินตนาการแต่ทำไมมีจริง ๆ ผิวพรรณก็งาม ใบหน้าก็สวย ผมยาวสลวยดำเป็นมัน นี่แดนอะไรกันแน่ !!!
ใช้มือขยี้ตาทั้งสองข้างเพื่อให้มั่นใจ พวกเขาเล่นน้ำจนเพียงพอ ต่างก็บินขึ้นฟ้าหายไป นั่งตกภวังค์อยู่พักหนึ่ง คิดไปเรื่อย ๆ ตัวกินรีมีจริงหรือ!!! ไม่มีทำไมจึงเห็นภาพปรากฏตรงหน้า ไม่ใช่มายาจิต เป็นภาพจริงให้เห็น เขามีชีวิตจิตใจ สนุกสนานกับการเล่นน้ำ พวกเขาจะเห็นเราหรือไม่ ไม่รู้ แต่เราเห็นเขาแน่ เห็นจนบินขึ้นฟ้า ปีกมาจากไหนก็ไม่ทันเห็น
ตอนอาบน้ำภาษาที่พูดคุยกัน เราฟังไม่รู้เรื่องไม่เคยได้ยินมาก่อน จากกริยาอาการเขาสนุกสนานเหมือนพวกเรา ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้เห็น จะเรียกใครมาดูก็ไม่ทันเพราะอยู่ห่างกัน หรือเกิดมายาภาพไม่รู้ได้ รู้แต่ว่าได้เห็นกับตาตัวเอง แสดงให้เห็นจินตนิยายเรื่องกินรี ผู้เขียนคงมีฐานที่มาในการเขียน การสร้างเรื่อง การเดินเรื่อง คงจะแต่งเติมให้สนุกมีคติธรรม ก่อนนั้นเข้าใจอย่างหนึ่งแต่บัดนี้เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง
ใครบอกว่าตัวกินรีไม่มี ข้าพเจ้าตอบว่ามี แต่คงไม่ถกเถียงกับใคร ๆ ในเรื่องนี้ คำตอบคงเหมือนกัน แรก ๆ คิดว่าจินตนาการเอา เมื่อได้พบเห็นความคิดก็เปลี่ยนไป เราไม่อาจเปลี่ยนความคิดของใครได้ เราเปลี่ยนแต่ความคิดของเรา เราห้ามไม่ได้ที่คนจะขัดแย้ง
เราบอกได้ว่าจริงหรือเท็จ รู้ว่าจริงมันอยู่ตรงไหน จริงอยู่ที่ได้เห็น เท็จอยู่ที่ไม่ได้พบเห็น เพียงแต่คิด จิตเราเป็นใหญ่ จิตเรารู้ จิตเราเข้าใจ องค์ความรู้ทางปัญญาอยู่ที่จิตเรา จิตเราจำแนกถูกผิด จิตเราแปรเปลี่ยน จิตเราตื่น จิตเราสงบ จิตเราแปรปรวน จิตเรารวนเร จิตเราเข้าถึงเข้าไม่ถึง จิตเราจะไม่เชื่อ ล้วนแต่เราทั้งนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #212 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:25:35 am » |
|
นี่คือธรรมชาติของจิตบางส่วนที่จำแนกมาพอเข้าใจ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เราไม่รบกับโลกนี้ ไม่มีประโยชน์อะไร ถูกในข้อเท็จจริงกับถูกสมมุติบัญญัติมันแตกต่างกัน มันเทียบกันไม่ได้"
เพื่อให้แน่ใจจึงลุกขึ้นเดินไปดูสถานที่ตัวกินรีเล่นน้ำ ปรากฏว่าเป็นบึงกว้าง น้ำใส เป็นธรรมชาติที่พบเห็นได้ ยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่งคิดว่า นี่คือแดนลี้ลับเขาพนมฉัตร!!! แต่ ทำไมไม่เห็นมีอะไรผิดแผกไปจากธรรมชาติทั่ว ๆ ไป หลวงพ่อก็ไม่พูด หลวงพี่ก็ไม่บอกอะไร เหมาะกับการแสวงหาความสงบที่จะศึกษาดูจิตของตนเอง
อย่างหลวงปู่ว่า ให้กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงจิตของตนเองให้เหมือนแม่เลี้ยงลูก ต้องเอาใจใส่ ตามดู ตามรู้ ตามทันอยู่ตลอดเวลา ไม่ละเลย ไม่เผลอไผลแม้แต่วินาทีเดียว สติต้องอยู่ตลอด ระลึกได้ รู้ตัวทุกลมหายใจเข้าออก คอยติง คอยเตือน คอยตำหนิจิตอยู่อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเห็นแล้ว พิจารณาแล้ว จึงกลับไปรวมกับพรรคพวกเพื่อกินอาหารกลางวัน
ค่ำคืนนั้นปฏิบัติธรรมตามปกติ เรื่องที่พบไม่ได้พูดกับใคร พิจารณาว่า หากเราพูดทุกคนต้องอยากพบ อยากดู อยากเห็น ก็ไม่รู้จะเอาที่ไหนให้ดู เพราะมันเกิดแล้ว ดับไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว หาภาพนั้นให้ดูไม่ได้อีกแล้ว จะพาไปก็คงเห็นแต่บึงน้ำ อาจจะบอกว่าเราโกหก พวกเขาก็จะต้องไปเฝ้าดู ไม่ต้องไปปฏิบัติกัน แต่พรุ่งนี้พาไปปฏิบัติธรรมใกล้ ๆ กัน คิดว่าเผื่อมีบุญคงได้เห็นเขามาเล่นน้ำกันอีก พวกเขาจะได้เห็นเป็นบุญ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #213 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:25:58 am » |
|
ตอนดึกทุกคนปฏิบัติกันอยู่ในกลด จะหลับกันหรือไม่ ก็ไม่ได้ดู มันมืด ขณะที่นั่งสมาธิอยู่ มีเสียงคนมาเรียกจะขอสนทนาด้วย จึงลืมตาออกจากสมาธิ
ช่างน่าทึ่ง !!! บริเวณนั้นสว่างเหมือนกลางวัน มองเห็นสภาพแวดล้อมเดิมที่เราอยู่ ที่เราทำกิจกันทั้งวัน โขดหิน ลำธาร พื้นดินก็ที่ตรงนั้น
คนที่มาหาเป็นผู้ชายและผู้หญิงนุ่งขาวห่มขาวไว้ผม ยาว ผิวพรรณงดงาม หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย อายุดูไม่มาก ไม่มีอาการของผู้สูงอายุ พูดจายิ้มแย้มดูโอบอ้อมอารี ผู้ชายบอกข้าพเจ้าว่า ”จะพาไปเที่ยวในเมือง” จึงถามเขาว่า “ในเมืองไหน มีแต่ป่า" เขาบอกว่า "เมืองพนมฉัตร”
จากคำบอก ทำให้ข้าพเจ้าขนหัวพองเหมือนถูกผีหลอก ตัวพองเหมือนลูกโป่ง เขา พูดต่อ “ตอนกลางวันได้พบแม่กินรีแล้วใช่ไหม? นั่นแหละเขาอยู่ในเมือง ยังมีสัตว์ในหิมพานต์อีกมากอยู่ในเมืองพนมฉัตร พวกเขามาเล่นน้ำแสดงตัวให้เห็น จะไปเที่ยวไหม? หลวงปู่ให้มารับไปดู” จึงถามว่า “หลวงปู่อยู่ไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไม่อยู่ ท่านมีกิจ”
ข้าพเจ้าจึงถามว่า “เข้าแล้วออกได้ไหม?” ชายผู้นั้นตอบว่า “ได้ จะพามาส่ง มันเป็นมิติซ้อนมิติอยู่” ถามว่า “ทำไมไม่ชวนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมคนอื่นเข้าไปด้วย” เขา ตอบว่า “หลวงปู่บอกมาแค่นี้ จะทำนอกเหนือไม่ได้ หากจะเข้าก็ให้ตามไป ไม่เข้าก็ไม่บังคับ ที่นั่นเป็นดินแดนแห่งความสงบ ผู้คนเขาปฏิบัติธรรมกันอยู่ อยากเข้าก็ไม่ได้เข้าหากหลวงปู่ไม่อนุญาต”
จึงตัดสินใจเดินตามชายหญิงคู่นั้นไป เดินข้ามลำธารไป ชายป่าก็เจอประตูเมืองทำด้วยหินแกะลวดลายสวยงาม เดินผ่านประตูเมืองเข้าไปข้างในมีปราสาทหิน เหมือนปราสาทหินพนมรุ้งหรือปราสาทหินพิมายจำนวนมาก ผู้คนในนั้นทั้งชายและหญิงนุ่งขาว ไว้ผมมวยกันทุกคน ไม่มีคนแก่มีแต่หนุ่มสาวผิวพรรณงาม หน้าตาดี สุภาพเรียบร้อย เดินเข้าไปเขาทักทายยิ้มให้ มีผู้ปฏิบัตินั่งสมาธิกันอยู่มากมาย ทั้งพระภิกษุสงฆ์ ฆราวาสล้วนปฏิบัติกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #214 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:26:22 am » |
|
ชายผู้นั้นได้พาข้าพเจ้าไปจนทั่ว ในเมืองล้วนทำด้วยหิน วิหารต่าง ๆ ผนังแกะสลักสวยงาม ชาย ผู้นั้นได้พาไปอาบน้ำตกที่ได้เคยอาบมาแล้วตอนถอดกายทิพย์ไป เขาเอาผ้าให้เปลี่ยน คราวนี้ไปด้วยกายหยาบ เปียกทั้งตัวแต่เท้าไม่เปียกเพราะน้ำตกไม่ถึงพื้น หายไปไหนไม่รู้ ได้แต่คิดว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์แน่
ชายผู้นั้นบอก “มีบุญนักแล้ว ได้อาบน้ำทิพย์อันทรงศักดิ์สิทธิ์ จะมีประโยชน์ในวันข้างหน้าต่อไป จะเข้าออกเมืองนี้ได้ต่อเมื่อหลวงปู่ท่านสั่ง" จากนั้นพาเข้าไปในวิหารไปกราบพระพุทธรูปทำด้วยหินเช่นกัน *
แล้วจึงพาเที่ยวต่อไป ได้เห็นความเป็นอยู่ในเมืองพนม ฉัตรมีสัตว์แปลก ๆ ไม่เคยเห็น ไม่ดุร้าย อยู่กันเป็นกลุ่ม ชายผู้นั้นบอกว่าเขาบำเพ็ญศีลเหมือนกัน พวกเขาเฝ้าอยู่ในบริเวณนี้ ใครรุกล้ำเข้าไปเขาจะมาขวาง เขาแปลงรูปได้ต่าง ๆ นานา !!! แต่ไม่ทำร้ายใคร ทำให้กลัวเท่านั้น เขาเป็นมิตรกับทุกคน
ทุกคนที่นี่กินอาหารทิพย์ ไม่ยุ่งยากเหมือนเมืองข้างนอก มีแต่กลางวัน ไม่มีกลางคืน ไม่มีร้อนหนาวอย่างที่เห็นนี่แหละ
จึงถามต่อไปว่า “จะไปเล่าให้ทุกคนฟังได้ไหม?” ชายผู้ นั้นตอบว่า “ไม่ได้ห้าม แต่ใครจะเชื่อ? เล่าแล้วมีอะไรดีขึ้น ใครจะมาก็มาไม่ได้ มาก็หาไม่พบ ยืนอยู่กลางเมืองแท้ ๆ ก็ยังไม่รู้!!! แล้วจะเล่าไปทำไม? ใครจะรู้นอกจากตัวเรา อาจทำให้คนทั่วไปเดียดฉันท์เอาใช่เหตุ เป็นบาปต่อเขาเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว หลวงปู่เพียงให้เข้ามาดูเท่านั้น ไม่ได้สั่งอะไรนอกจากให้พามาอาบน้ำทิพย์ ออกไปแล้วในอนาคตอาจจะต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ได้ เพราะได้อาบน้ำทิพย์ทั้งกายในกายนอก"
เรื่องต่าง ๆ จึงเป็นความลับต่อไป กระทั่งข้าพเจ้าคิดจะเขียนเรื่องราวฝากไว้กับโลกใบนี้ จึงตัดสินใจจะเล่าให้ได้รับรู้เผื่อท่านทั้งหลายจะมีโอกาส ได้เวลาเขาก็นำมาส่งใกล้สว่างพอดี
จึงต้องกราบคารวะหลวงพ่อสัมฤทธิ์ หลวงพี่ทองสุก หลวงพี่ณรงค์ ได้ให้โอกาสนี้จึงได้เข้าสู่แดนทิพย์ที่เรียกเขาพนมฉัตรหรือเมืองพนมฉัตร ทำให้ได้มีเรื่องเร้นลับกลับมาเขียนบอกเล่าให้ผู้สนใจได้อ่าน และขอบอกว่าอยู่บนโลกใบนี้ อย่าประมาท ยังมีอะไรอีกมากแม้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ ไม่ได้พบอย่างพระอริยสงฆ์ท่านได้พบ ได้เล่าบอกกล่าวจนเราอยากรู้ อยากเห็นกัน ทั้งนำมาเล่าต่อ ๆ กันไป
อยู่จนครบ ๗ วันก็เดินทางกลับ ได้เข้าแดนลี้ลับตามที่หลวงปู่บอกไว้ เหลืออีกสองที่คือ ภูเขาอีด่างกับภูเขาควาย ยังไม่รู้จะได้ไปไหม? ถ้าได้ไปคงมีเรื่องมาเขียนเล่าสู่กันฟังในโอกาสหน้า ทั้งตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่มีผู้รู้บอกว่าอยู่ในฝั่งลาว*
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #215 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:26:45 am » |
|
พบกระแสบุญชั่วนิจนิรันดร์
จากนั้นมาได้เที่ยวพาสมัครพรรคพวกไป ปฏิบัติธรรมกันหลายที่ในประเทศ ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกจนถึงปัจจุบัน
เมื่อมีเวลาว่างราชการหยุดติดต่อกันหลาย วัน เราจะชวนกันไปแสวงหาความสงบไม่ได้ขาด แม้ไม่ได้ไปไหน ทุกวันเราก็จะสวดพระพุทธมนต์ เจริญกรรมฐาน สนทนาธรรมกันเป็นกิจวัตรประจำ ไปราชการก็หากำไรชีวิต ไปวัดไหว้พระ สวดมนต์ บางครั้งเราจะสวดตั้งแต่หัวค่ำจนสว่างก็มี เพื่อสร้างขันติ วิริยบารมี ทั้งเจริญสัจจะบารมีไม่ได้ขาด
ครั้งหนึ่งได้ไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพระ ธาตุ จังหวัดกาญจนบุรี ก่อนเข้าพรรษาปฏิบัติอยู่ ๕ วัน ตั้งใจกันในวันเข้าพรรษาจะถวายเทียนพรรษา ๙ วัด พร้อมทอดผ้าป่า ๙ วัดตามกำลังของคณะที่ไปปฏิบัติ สถานที่แห่งนั้นอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ เราได้ไปร่วมปฏิบัติ *มีเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้คนหนึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ได้เข้าไปพักปักกลด (ซึ่งปกติเขาไม่ให้เข้า)*
แต่เราโชคดีที่ได้ปฏิบัติในถ้ำ วิจิตรพิสดารทั้งสวยงามและมีเทวดาดูแล มีหินประหลาดก้อนหนึ่งปักอยู่บนพื้นมีลักษณะเหมือนฝ่ามือข้างขวา ใช้ไฟฉายส่องทะลุได้ ถ้ำนี้เป็นถ้ำมืด ที่หินก้อนนั้นมีพลังอำนาจเร้นลับ เมื่อเอามือไปจับจะมีพลังวิ่งเข้าสู่ร่างกายเรา
ไม่มีอะไรมาก ปฏิบัติกันไปสนทนากันไป เที่ยวนี้ไปกันยี่สิบกว่าคน ครบวันที่ ๕ เป็นวันเข้าพรรษาพอดี ออกจากปฏิบัติได้ไปตระเวนถวายเทียนพรรษา ทอดผ้าป่า ๙ วัด ถวายได้ ๘ วัด วัดสุดท้ายเข้าไปถวายในเมืองกาญจนบุรีที่วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ไปถึงตอนใกล้มืดพระท่านลงอุโบสถกำลังปลงอาบัติกันอยู่ ๘๔ รูปพอดี
จึงนำเทียนเข้าไปถวาย ท่านเจ้าคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) เป็นเจ้าอาวาส ท่านบอกว่าโชคดีแล้ว ให้รอก่อน ให้พระท่านศีลบริสุทธิ์ก่อนจึงค่อยถวาย มีพระ ๘๔ รูปพอดีเท่ากับ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถวายแล้วจะได้เวียนเทียนเอาบุญเสียเลย จะได้บุญหนักหาโอกาสเช่นนี้ยากนัก นาน ๆ จึงจะบังเกิด ตั้งแต่ท่านอุปสมบทมายังไม่เคยมีพระลงอุโบสถพอดี ๘๔ รูป พวกเราจึงรอจนพระท่านทำกิจสงฆ์เสร็จจึงนำเทียนถวาย ท่านเจ้าคุณรับเทียนพร้อมจุดเทียนให้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #216 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:27:21 am » |
|
พระท่านสวดชะยันโตพร้อมสาธุ รับเทียนพร้อมกันเป็นที่ปีติยินดีของทุกคน ได้เวลาเวียนเทียนพวกเราร่วมเวียนเทียน บังเกิดเหตุไม่คาดคิด ประชาชนที่ไปร่วมกันในวันนั้นมีจำนวนมาก
*เหตุการณ์คืนวันนั้น* มีเด็ก ๓ คน ผู้ใหญ่ ๗ คน ขณะที่เวียนเทียนรอบพระอุโบสถอยู่นั้น บุคคลดังกล่าวมีแสงสว่างออกจากตัวเหมือนหลอดไฟ คนอื่น ๆ ไม่มี ทำให้จิตบังเกิดความสงสัยว่าทำไมเป็นเช่นนั้น
จึงได้กำหนดจิตดูภายในพระอุโบสถหลังเวียนเทียนเสร็จแล้ว ก็มีคำตอบข้อสงสัยในปริศนาข้อนี้ บุคคล ทั้ง ๑๐ คนในชาติก่อนเคยร่วมสร้างอุโบสถ ทั้งพระประธานในอุโบสถหลังนี้ กลับชาติมาเกิดในชาติปัจจุบันได้มาทำพิธีอันเป็นมงคล ผลบุญที่ได้กระทำมาแสดงอานิสงส์ของบุญที่ได้กระทำตั้งแต่อดีตมาปรากฏอานุภาพ เข้าสนองบุญแก่บุคคลทั้ง ๑๐ คนนั้น จึงบังเกิดแสงสว่างทำให้เรามองเห็นด้วยจิตบริสุทธิ์ในขณะนั้น
*ผลบุญนั้นเมื่อกระทำไว้กับพระพุทธศาสนา ไม่ว่าเป็นการสร้างพระอุโบสถก็ดี ศาลาธรรมก็ดี พระประธานก็ดี เมื่อมีการทำสังฆกรรมบุญมาแสดงผลบุญทุกครั้ง หากสิ่งที่สร้างไว้ยังไม่ถูกทำลาย บุญนั้นจะบังเกิดตลอดเวลา
เรื่องนี้น่าคิด น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง น่าจะเป็นข้อคิด เราสมควรจะน้อมรับอานิสงส์ส่วนบุญที่ทำไว้ในอดีตชาติและในปัจจุบันชาติให้มา อุปถัมภ์ค้ำชูชีวิตของเรา
จริงหรือเท็จขอให้ทดลองปฏิบัติ ไม่เสียหายอะไร มีแต่ได้ไม่มีเสีย เราทำไว้แล้วเพียงเก็บเกี่ยวผลบุญมาใช้เท่านั้น ไม่ได้ยากเย็นอะไร? เพียง แต่ตั้งจิตอธิษฐานขอให้บุญส่วนใดที่ได้สร้างไว้กับพระพุทธศาสนา ได้ช่วยเหลือ เมื่อตกทุกข์ได้ยากจงมาเกื้อหนุน มาอุดหนุนจุนเจือ มาสำแดงผลบุญช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จในทุกประการ ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีให้พ้นไป สิ่งที่ดีจงมาบังเกิด ให้ได้พบแต่สิ่งที่ดี ที่ประเสริฐตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #217 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:27:41 am » |
|
ทั้งขอน้อมรับส่วนบุญที่ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่ท่านได้แผ่อานิสงส์ผลบุญส่งมาให้เพื่อนสัตว์โลกทั้งหลายที่ร่วมเวียนว่าย ตายเกิด ให้มาหนุนนำชีวิตให้พ้นจากอกุศลวิบาก ทั้งเกื้อหนุนชีวิตให้ผ่านอุปสรรคทั้งมวลในการดำรงชีวิตทั้งปัจจุบัน และอนาคตที่ต้องเวียนว่ายในภูมิภพ อย่าได้พบความลำบากยากจน อย่าได้พบความทุกข์ยาก อย่าได้เวียนว่ายไปสู่อบายภูมิตลอดไป ตราบเท่าที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่เพียงเท่านี้
ทำทุกวัน ตั้งสัจจะเอาไว้ให้ดีแต่ต้องทำด้วยฉันทะ ตั้งมั่นในศรัทธา ละความลังเลสงสัยให้หมดสิ้นไปจากจิต จะบังเกิดผลคุ้มค่าเกินกว่าที่คิด อย่ามัวมีมิจฉาทิฐิอยู่ ปล่อยให้เสียโอกาส โอกาสก็จะไปเป็นของคนอื่น แล้วเราจะโทษดวงชะตาอยู่ทำไม
นี่แหละ..วิธีแก้กรรมแก้ดวงชะตาวิธี หนึ่ง ไม่ต้องขอให้ใครช่วย เราช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง อาศัยแค่จิตใจของเราเท่านั้น ที่จะตัดสินชีวิตของเรา เราคือผู้ให้และผู้รับ
ผู้ให้คือ ศรัทธารับเอาส่วนบุญมีให้ใช้ ไม่ใช้ก็ไม่ได้ใช้ สังขารก็ไม่รอเวลา การแตกดับของรูปกายมีเวลาจำกัด มีไม่มากสั้นนิดเดียว อาจไม่ทันตั้งตัว ไม่ทันได้เตรียมตัว ไม่ทันได้คิด คิดได้ก็สายเกินจะแก้ไข ไปไม่มีอะไรติดตัวไป ไม่มีทุนทรัพย์ไปสร้างภูมิใหม่ ไม่มีบุญนำทาง ไปอย่างไร้จุดหมายที่เรียกไปตามยถากรรมนั่นเอง คนฉลาดคงไม่คิดเลือกทางเดินอย่างนี้ ต้องเลือกทางที่ดีกว่า ผู้รับคือ รับเอาส่วนบุญ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #218 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:28:14 am » |
|
ขึ้นเขาคิชฌกูฏกราบรอยพระพุทธบาท
กฎแห่งกรรมเป็นกฎเหล็ก ทั้งดุดันและนิ่มนวลตามกระแสกรรมดีกรรมชั่ว สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาเริ่มก่อตัวบังเกิดกับตัวข้าพเจ้า อาการเจ็บป่วยจากกระดูกทับเส้นประสาททำให้เสียวชาตามตัว อันเป็นผลมาจากการที่ไปรักษาโรคต่าง ๆ ให้ผู้อื่นด้วยการใช้พลังอำนาจจิต เราไปขวางทางกรรมของคนที่กำลังเสวยผลกรรมอยู่
พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสเตือนสติไว้ว่า “บุคคลใดทำกรรมนั้นไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์ บุคคลนั้นต้องชดใช้กรรมนั้น” ถึงแม้การกระทำนั้นกระทำด้วยความเมตตากรุณาก็ตาม ก็ต้องชดใช้
อย่างเราไปช่วยให้ที่หลบซ่อนโจรจากการตามจับของเจ้าหน้าที่ ก็จะมีความผิดในการให้ที่หลบซ่อนพักพิงกับผู้ร้าย เจ้าหน้าที่ก็จะจับตัวไปลงโทษได้เช่นกัน ได้เขียนไว้ในตอนต้นแล้วว่า การขวางกรรมทำการรักษาโรคร้ายต่าง ๆ ด้วยความอยากช่วย อยากทดลองพลังอำนาจจิตของเรา *ไปกระทำให้กระแสกรรมนั้นเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอำนาจตามกฎของกรรม ตัดรอนความศักดิ์สิทธิ์
เหตุที่ว่าเช่นนี้เริ่มมาบอกความจริงกับเรา เพราะไปหาหมอรักษาโรคหนึ่งจะได้แถมโรคอื่นกลับมาด้วยทุกครั้ง* จึง รู้ว่าโรคที่เป็นอยู่เป็นกระแสแห่งกรรม ต้องหาวิธีแก้กรรมตัวนี้ด้วยการทำความดี แผ่อานิสงส์ให้เจ้ากรรมนายเวรและชดใช้วิบากกรรมด้วยการเจริญกรรมฐานตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ เป็นการฝึกซ้อมขันติ วิริยบารมีไปพร้อมกัน
ได้ชวนพรรคพวก ๔ คนขึ้นไปบำเพ็ญบารมีบนเขาคิชฌกูฏอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ชีวิตจะไม่ลำบากและมีโชคลาภ เราไปด้วยกัน ๕ คน ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าอยู่สูงแค่ไหน ? ขึ้นกันอย่างไร ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #219 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:28:34 am » |
|
ความจริงแล้วในฤดูกาลไหว้รอยพระพุทธบาท จะมีรถวิ่งขึ้นไปส่งช่วงหนึ่ง แล้วเดินทางเท้าขึ้นไปอีกช่วงหนึ่ง ด้วยความไม่รู้ คิดว่าไม่ไกล ไม่สูงมาก เพราะนอกฤดูกาลไม่มีคนขึ้นไป เขาห้ามขึ้น
เราได้นำเอารถไปจอดไว้ที่ทำการชลประทานตีนเขา แล้วเดิน แบกสัมภาระขึ้นเนินเขา ช่วงแรกก็มหาโหดอยู่แล้ว เหนื่อยแทบขาดใจ เส้นทางที่เดินไปขึ้นเนินลงเนิน แต่ละเนินมีระยะทางยาวสูงชันสลับกัน ไกลแค่ไหนไม่รู้ ? เดินไปพักไป ได้ทิ้งข้าวของบางส่วนไว้ข้างทาง เพราะแบกต่อไปไม่ไหว
ขึ้นจากเที่ยงวันถึงยอดเขาเที่ยงคืนพอดี เดินกันเกือบไม่ถึงจะถอดใจก็หลายครั้ง ต้อง อาศัยกำลังใจจากที่เรา เป็นผู้นำจะท้อไม่ได้ คิดอยู่อย่างนี้ตลอดทาง เดินจนถึงลานพระสีวลีสามทุ่ม ทำอาหารกินกันแล้วเดินต่ออย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง
คืนนั้นนอนกันในถ้ำพระฤๅษี ได้บอกกล่าวแล้วเตรียมที่นอน ข้าพเจ้าบอกกับพระแม่ธรณีให้คุ้มครอง ขณะที่กำลังนอนกันอยู่ ทุกคนเห็นปากถ้ำปิดลงมา เหมือนมีคนมาก่ออิฐปิดเอาไว้ เห็นเช่นนั้นทุกคนก็คลายความหวาดระแวงในอันตราย นึกขอบคุณพระแม่ธรณี ท่านปิดปากถ้ำด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ ป้องกันอันตรายให้กับพวกเรา จึงหลับกันสบาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #220 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:28:57 am » |
|
รุ่งขึ้นออกสำรวจพื้นที่ ด้านบนเป็นลานคอนกรีต สภาพรอบ ๆ ร่มรื่น ธรรมชาติสวยงาม อากาศสดชื่น ไม่ร้อนค่อนข้างเย็น มีศาลา ที่พัก เครื่องครัวพร้อม
ด้านขวามือของลานหินเป็นที่สถิตรอยพระพุทธบาท เป็นรอยธรรมชาติเหยียบอยู่ บนหินข้าง ๆ มีหินก้อนโตรูปร่างคล้ายบาตรพระวางคว่ำอยู่ เขาเรียกว่า "บาตรพระพุทธเจ้า"
ได้ไปกราบรอยพระพุทธบาท สวดมนต์ เตรียมที่พัก ทำอาหารกินกัน จึงไปตรวจดูบริเวณตามป้ายที่บอกทาง ไป ดูลานพระอินทร์ ไปสักการะหินลูกบาตรพระอานนท์ หินลูกบาตรพระโมคคัลลาน์ หินลูกบาตรพระสารีบุตร บนยอดเขาอีกลูกใกล้ ๆ กัน อยู่บนนั้นเหมือนอยู่บนทิพย์วิมาน ลืมเรื่องต่าง ๆ ข้างล่างหมดสิ้น
มีการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนากันอย่างเคร่งครัด ขณะนั่งอยู่ก้อนเมฆจะผ่านตัวเรา อากาศชื้น อยู่ปฏิบัติธรรมกัน ๕ คืน นับว่าสมเจตนาที่ได้ขึ้นไปปฏิบัติเพื่อตัดอกุศลวิบากกรรมตามที่ตั้งใจไว้
ใช้รูปกายเป็นเครื่องสำนึกผิด ใช้ความเหน็ดเหนื่อยที่ต้องทรมานเดินขึ้นเขาเป็นการเปลื้องหนี้กรรม ใช้การบำเพ็ญกรรมฐานเป็นเครื่องต่อรองขออโหสิกรรม ใช้สัจจะ ขันติ วิริยบารมีเป็นฐานรองรับ
บนเขาลูกนี้มีอะไรมากมาย มีความศักดิ์สิทธิ์สมตามคำร่ำลือ เป็นที่สถิตของเหล่าเทวดาที่มาบำเพ็ญ มารักษา มากราบไหว้รอยพระพุทธบาทเป็นมิติซ้อนมิติอยู่ มิติปกติเป็นป่า มิติเร้นลับเป็นทิพย์วิมานของเหล่าเทวดา เป็นที่บำเพ็ญของพระฤๅษี ของคนบังบดแห่งเมืองลับแล
ตอนกลางคืน เราจะสวดพระพุทธมนต์บนลานรอยพระบาทปฏิบัติกันบริเวณนี้ เช้าและกลางคืนอากาศหนาว ขณะปฏิบัติธรรมกันอยู่จะมีพลัง อำนาจเร้นลับ เวลาอากาศหนาวจะมีพลังความร้อนพุ่งมาจากหินก้อนใหญ่ ตรงข้ามกับหินลูกบาตร ทำให้อบอุ่นเหมือนมีดวงอาทิตย์ส่องอยู่เราจะไม่หนาว หากออกจากบริเวณตรงนั้นก็จะหนาวจนตัวสั่น เป็นสิ่งที่ได้พบเห็นประการหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #221 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:29:14 am » |
|
ดูภาพพระเวสสันดรชาดก
อีกประการหนึ่ง *มีผู้บอกว่าถ้าเราเป็นผู้มีบุญให้ส่องไฟฉายไปที่หินลูกบาตรในตอนกลางคืน จะปรากฏภาพต่าง ๆ อย่างน่าทึ่ง !!!
จึงได้จุดธูปเทียนขออนุญาต ได้ตั้งจิตบริสุทธิ์ขอเป็นอธิษฐานบารมี หากพวกข้าพเจ้านี้จะมีบุญได้เห็นภาพไม่เกินวิสัยจะให้ดูได้ ขอโปรดให้บังเกิดภาพตามแต่เห็นสมควร จะได้รู้ จะได้เห็นให้เป็นบุญตากับทุกคน ได้ส่องไฟฉายอยู่พักหนึ่ง คิดในใจว่าคงไม่มีบุญได้ดู เห็นแต่ผนังหินลูกบาตรสีดำไม่มีภาพอะไรเลย
คิดแค่นั้นก็บังเกิดอัศจรรย์ปรากฏขึ้น บนผนังหิน เป็นรูปพระเวสสันดรกำลังมอบช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พราหมณ์สี่คน!!! เป็นภาพเหมือนภาพวาดที่ผนังวัดพระแก้วไม่มีผิดเพี้ยน สีสันสวยงาม ลงรักปิดทอง ภาพจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
จากนั้นเป็นภาพนั่งบนรถม้าสี่คน มีองค์พระเวสสันดร พระแม่มัทรี กัณหา ชาลี มีพราหมณ์มาขอรถม้าก็ประทานให้อีก กลับเป็นภาพทั้งสองพระองค์ทรงอุ้มกุมาร กุมารีทั้งสองเดินเข้าป่า ภาพที่ทั้งสี่พระองค์ทรงแต่งเป็นฤๅษีนั่งบนศาลาในป่า ภาพชูชกไปขอกัณหาและชาลี ภาพเสือ สิงโตขวางทางนางมัทรี ภาพทรงช้างกลับเมือง*
ต่อจากนั้นเป็นภาพพระบรมศาสดาสัมมา สัมพุทธเจ้าเดินนำหน้า พระอรหันต์เดินตามเป็นแถว แต่ละภาพสวยสดงดงาม เหมือนมีคนเอาเครื่องฉายภาพนิ่งฉายขึ้นไปบนผนังหิน พวกเราดูกันจนเพลิดเพลินใจ ก้มลงกราบแล้วแยกกันไปปฏิบัติธรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #222 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:29:39 am » |
|
เหนือคำบรรยายใด ๆ ถ้าใครได้พบก็จะเข้าใจด้วยตนเอง ถ้าจะตอบตามหลักวิทยาศาสตร์ ยากจะตอบได้ นอก จากจะหาคำตอบได้จากหลักของเดชเดชา กฤษฎานุภาพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่นั้นเป็นผู้กำหนดเหตุการณ์ เพื่อสอนธรรม อบรมจิตของพวกเราให้เป็นผู้เสียสละ รู้จักบำเพ็ญมหาทานบารมีอย่างองค์พระโพธิสัตว์ พระเวสสันดรที่ได้บำเพ็ญมาจากอดีต ให้ดูว่าพระองค์ท่านเสียสละอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นหนทางแห่งอนาคต
พวกเราที่ขึ้นไปก็เสียสละกายเป็นบารมีทานให้กับชีวิต ภูมิ ภพ ให้บำเพ็ญความเพียรเป็นบารมีเช่นกัน ได้รับความเมตตาให้ได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด หากท่านผู้อ่านยังมีความสงสัยติดอยู่ในอารมณ์ มีคำตอบอยู่อย่างเดียวคือ ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร? แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เห็นกันแล้ว ทุกคนมีความสงสัยไม่ต่างกัน แต่จะหาคำตอบอย่างตรงไปตรงมานั้น ไม่มี !!!
มีแต่ปีติในจิตของพวกเราที่ได้เห็นภาพพิสดารที่บังเกิดให้เห็น นี่แหละโลกใบนี้ ได้ซ่อนความเร้นลับไว้มากมายให้ผู้อยากรู้ อยากเห็นได้ไปพบ เข้าไปค้นหา เข้าไปดู เข้าไปศึกษาเรียนรู้ เข้าไปอยู่กับธรรมชาติ
ท่านทั้งหลายอาจพบอย่างที่พวกข้าพเจ้าพบ ขอได้จงพิจารณาเถิดว่า ธรรม ทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า เหตุเกิดที่ไหนให้ดับที่นั่น อะไรทั้งมวลเกิดที่ใจของเรา ความสงสัยก็ใจของเรา ละความสงสัยที่ใจของเรา ละไม่ได้ก็ไปพิสูจน์เอา อย่ามัวมานั่งมานอนคิดสงสัยให้เปลืองสมอง เสื่อมเสียคุณภาพทางความคิดกับสิ่งที่เราไม่รู้อยู่ทำไม ทำไมไม่ทำให้รู้ จิตจะละความสงสัยไปได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #223 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:30:03 am » |
|
ข้อเขียนนี้ไม่มีเจตนาให้ผู้อ่าน *ได้อ่านแล้วมีความทุกข์* แต่ต้องการเปิดโอกาสให้ได้รับรู้ในสิ่งที่มีอยู่ ในชีวิตของคนเรายังมีเรื่องต่าง ๆ จะต้องแก้ไขอยู่มากมาย หากไม่แก้ไขก็จะกลายเป็นปัญหาชีวิต ปัญหาทางด้านวัตถุแก้ไม่ยาก ที่แก้ยากเป็นปัญหาของจิตใจ แก้ยากที่สุดคือปัญหาในกระแสกรรม จากการได้เห็นภาพเรื่องราวในชาดก เพื่อให้เห็นอานิสงส์ของการบำเพ็ญบารมีทานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการเสียสละเพียงส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
อีกประการหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันตกของหินเป็นทางลานหิน ลาดลง มีอยู่จุดหนึ่งถ้าเราไปนั่งหรือนอนตรงนั้นจะมีพลังจักรวาล เป็นกระแสไหลมารอบทิศมาสัมผัสกับพลังในกายของเรา พลังนี้จะวิ่งเข้าประสานกับพลังจิต เป็นพลังเพิ่มพูนกำลังของธาตุสี่คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ให้ปรับประสานธาตุในธาตุ ธาตุต่างธาตุให้กลมกลืนกันกับวิญญาณธาตุ ทำให้จิตมีพลัง ทำให้รักษาสุขภาพกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ช่วยเสริมพลังทางความคิด รักษาโรคต่าง ๆ ต้องพึงเข้าใจว่า การเจ็บป่วยมีเหตุอยู่ ๒ ประการ
ประการแรก เจ็บป่วยปกติโดยธรรมชาติมี ๓ ลักษณะ
* ๑. โรคที่เกิดแล้ว รักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย กินยาสามัญก็หาย ไม่กินยาเลยระยะหนึ่งก็หายไปเอง * ๒. โรคที่เกิดแล้ว รักษาจึงหาย ไม่รักษาก็ไม่หาย * ๓. โรคที่เกิดแล้ว รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย
ประการที่สอง เจ็บป่วยที่เกิดจากกระแสกรรม การรักษาต้องแก้ที่กระบวนของกรรมเสียก่อนจึงจะรักษา ไม่เช่นนั้นจะรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ต้องรู้ว่าผลที่บังเกิดมาจากอะไร กระทำกับใครในชาติใด ใครจะช่วยแก้กรรมของแต่ละคน ในกรณีนี้แต่ละคนย่อมมีวิธีแก้ไขแตกต่างกันไป
ทำอย่างไรเจ้ากรรมนายเวรจึงจะอโหสิกรรม เขาขออะไรต้องรู้ จงอย่าตกเป็นเครื่องมือของใคร ให้ถูกหลอกให้เสียทรัพย์ เสียเวลาหรือสูญเสียอื่น ๆ อีกมาก ถ้าหมอที่ชำนาญการรักษาต้องหา สมมติฐานให้พบเสียก่อน จึงจะจ่ายยา ไม่ใช่เห็นคนป่วยแล้วฉีดยาให้ทันที ถ้ากระทำอย่างนี้เรียกว่าเป็นหมอไม่จริง เอาแต่เงินค่ารักษา เช่นเดียวกับการสำรวจกระแสกรรม ตัดทอนกรรมได้ โรคเกิดจากผลของกรรมก็จะหายได้ พลังงานที่เกิดในจุดนั้นมีคุณค่าอย่างที่กล่าวมา ถ้าใครได้ขึ้นไปสมควรไปรับพลังงานนี้ จะมีประโยชน์ที่ได้ขึ้นไป การสะเดาะเคราะห์ใช่จะแก้กรรมได้ทั้งหมด เป็นแต่เพียงวิธีหนึ่งในร้อยในพันวิธีการแก้กระแสกรรมเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #224 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:30:23 am » |
|
หลวงปู่ให้สืบชะตาต่ออายุ
เพื่อให้เรื่องของกระแสกรรมที่มาบอก กล่าวมาปรากฏตัวมีความต่อเนื่อง ทั้งแก้ความสงสัยต่าง ๆ ในข้อเขียนข้างต้น ถึงพลังอำนาจบนเขาคิชฌกูฏที่ว่ารักษาโรคได้ ข้าพเจ้าไปรับพลังงานมาหลายครั้ง ได้ขึ้นไปเกือบทุกปีหลังจากได้ขึ้นไปครั้งแรกแล้ว ในบางปีขึ้นไปสองถึงสามครั้ง ได้ปฏิบัติและรับพลังทิพย์ที่ว่าแต่โรคในตัวของข้าพเจ้าก็ยังไม่หาย เพียงแต่ทุเลาเท่านั้น
ขอเรียนให้ทราบว่ากรรมของแต่ละคนเบาบาง แตกต่างกัน สำหรับข้าพเจ้าบอกได้ว่าหนักจนถึงขั้นต้องพลัดพรากจากโลกนี้ไป คนเรามีกรรมดี กรรมชั่วสั่งสมอยู่มากเหมือนเมล็ดพันธุ์พืช เอาเมล็ดพันธุ์ไหนไปปลูกก็จะได้พืชผลพันธุ์นั้น ในการเวียนว่ายแต่ละชาติได้เก็บสะสมไว้มากมาย แม้ในชาติปัจจุบันจะไม่ได้ทำกรรมชั่ว แต่ในชาติอื่น ๆ ได้สร้างไว้ จึงได้ปรากฏตัวแสดงธรรมให้เจ็บป่วย แม้แต่เศษกรรมก็มีผลต่อชีวิตของเราทั้งในชาติปัจจุบันและในอนาคต
หากต้องการให้ได้ภูมิภพชาติที่ต้องเกิดใหม่ หมดจดสะอาดบริสุทธิ์ก็ต้องชดใช้หนี้เสียก่อน ถ้าจะเลือกเส้นทางนี้ในการสำนึกผิดยอมชดใช้ ใช้แบบผ่อนส่งจะได้ไม่รุนแรง
อย่างอดีตกาลแม้แต่พระอรหันต์ พระ โมคคัลลาน์เคยได้ทำมหาวิบากกรรมเป็นอนันตริยกรรมจนโจรมาทุบท่านดับขันธ์ อันเป็นเหตุมาจากท่านเคยกระทำกับพระบิดาและพระมารดาในชาติก่อน แต่ด้วยญาณทัสนะ ท่านหยั่งรู้วาระกรรมจึงยอมชดใช้หนี้เพื่อไม่ให้ติดหนี้กรรมสืบต่อไป ที่จะเป็นหนามขวางกั้นทางแห่งพระนิพพาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #225 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 09:30:52 am » |
|
พุทธศักราช ๒๕๔๒ กลางปี ขณะเรียนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วปอ. รุ่น ๔๒ อาการกระดูกทับเส้นประสาทกำเริบ จะด้วยแรงกรรมอันใดก็ตามเป็นเหตุปัจจัยให้พบวิบาก พรรคพวกแนะนำหมอจีนรักษา ก่อนเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศไปคุนหมิง ประเทศจีน หมอจีนได้ให้กินยาเม็ดสีดำ ๒ เม็ด ไปถึงคุนหมิงยาออกฤทธิ์ทำให้อาเจียน ถ่ายท้องตลอด ๕ วันที่ดูงาน กินอะไรไม่ได้ ในปาก ลำคอ ลำไส้และกระเพาะเป็นแผล ภายใน ๔ วันน้ำหนักลดลง ๑๒ กิโลกรัม แม้แต่น้ำยังดื่มไม่ได้ มีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำแช่ของเน่า
เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลศิริราช ๑๕ วัน ในลำคอมีเชื้อแบคทีเรีย กินอาหารที่เป็นพวกแป้งเคี้ยวแล้ว จะแข็งเป็นหิน แม้แต่หมอเองก็ไม่เข้าใจว่าเป็นโรคอะไร? เป็นอาการที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้โรคใหม่มาอีกโรคได้แก่ โรคเบาหวาน หมอบอกว่าตับถูกทำลาย ๓๐% หากเข้าโรงพยาบาลช้า ๑๕ นาทีคงตายไปแล้ว น้ำที่ดื่มได้ในตอนนั้นเป็นน้ำโซดาสิงห์ นอกนั้นจะเหม็นเน่า
ตับถูกทำลายจากยาจีน ๒ เม็ดที่กินเข้าไป ที่บอกไว้ตอนนั้นว่ารักษาโรคหนึ่งแถมอีกโรคหนึ่งเรียกว่า กรรมกำหนด ใน ช่วงแรกหมอคิดว่าเป็นเอดส์ พยาบาลใส่ถุงมือกันหมด ได้เจาะเลือดไปตรวจแล้วไม่ใช่ พยาบาลจึงถอดถุงมือ ยังได้ถามว่า “ทำไมไม่ใส่ถุงมือ” พยาบาลตอบว่า “ปลอดภัย ไม่ใช่โรคเอดส์ ตอนต้นคิดว่าใช่ อาการเหมือนกัน” ข้าพเจ้ายังคิดตลก หากเป็นก็แย่แล้วไม่เคยเที่ยวสำส่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
mr.ton003
Full Member
member
คะแนน 28
ออฟไลน์
กระทู้: 220
ทำสิ่งใดอย่างหวังผลตอบแทน
|
|
« ตอบ #227 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 02:11:00 pm » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #228 เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 06:40:14 am » |
|
จุดหมายสำคัญในการบวช
ขอฝากนวกะไว้ แม่เป็นใหญ่กว่าพ่อ ท่านที่บวช ท่านเป็นเณรก่อนนะ ต้องบวชเป็นเณรก่อนถึงจะเป็นพระ จึงมีคำกล่าวว่า “บวชเณรให้แม่ บวชพระให้พ่อ อุ้มบาตรเข้าโบสถ์ เพื่อโปรดมารดาบิดา”
แต่แล้วเรามาบวชหนึ่งพรรษาได้อะไรบ้างไหม? ท่านนวกะทั้งหลาย! ท่านได้อะไรให้แม่ต่อไป สวดมนต์ภาวนาขาดหรือไม่ประการใด จุดมุ่งหมายอันนั้นเป็นความสำคัญในการบวชในพรรษา
ปัจจุบันนี้ญาติโยมทั้งหลายมีลูกบวช ๗ วัน ไม่รู้คำว่าวัสสา ไม่รู้คำว่ากฐิน ไม่รู้ว่าผ้ากาสาวพัตร์เป็นอย่างไรเลย ท่านก็สึกแล้ว นะ...ก็ไม่รู้ โม...ก็ไม่เห็น เลยไม่ได้ดิบได้ดีหาว่าศาสนาไม่ดี ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนแต่ประการใด บวช ๓ วัน ๗ วัน บวช ๑๐ วันก็สึก ท่านจะได้อะไรไป แต่บวชอย่างนี้ที่นี่คงไม่รับนะ คงให้ไปบวชที่อื่น ที่นี่จะต้องสอนตั้งแต่ “นะโมฯ” ไปตามลำดับ ไม่ทำอย่างนี้แล้วท่านจะได้อะไร...ท่านจะไม่ได้อะไรเลย ขอฝากไว้
อันนี้อธิบายเบื้องต้น ต้องท้าวความจากเหตุถึงจะมาเป็นผล เหตุคืออยู่จำพรรษา ญาติโยมทั้งหญิงทั้งชาย อุบาสก อุบาสิกา ก็อยู่จำพรรษา จำพรรษา ๓ เดือนอยากจะเจริญพรถามท่านผู้นุ่งขาวเนกขัมมะ ท่านได้อะไรบ้างตั้งแต่เข้าพรรษามานี้...มาถึงวันนี้ท่านได้อะไรบ้าง? ต้องมาชี้แจงแสดงออกพรรษามหาปวารณาในวันนี้ ท่านจะได้รู้ว่าท่านได้อะไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #229 เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 06:40:47 am » |
|
ปวารณา...ยอมรับคำตักเตือนโดยไม่โกรธ
คำว่า “มหาปวารณา” นี้ สมัยโบราณอาตมาเห็นเมื่อเป็นเด็ก ตักน้ำใส่ตุ่ม พระทำน้ำมนต์ น้ำมนต์ออกพรรษานิยมมาก...นิยมกันว่าน้ำมนต์ออกพรรษานั้น นำมาใช้รดต้นหมากรากไม้ ไปให้คนผีเข้าเจ้าสิงกินแล้วผีออก แต่ว่าข้อเท็จจริงไม่ใช่อย่างนั้น น้ำมนต์แปลว่าน้ำมหาปวารณาซึ่งกันและกัน ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ผูกพยาบาทอาฆาตมีเวรกัน ตักเตือนว่ากล่าวกันได้ ผู้ใหญ่ก็เตือนผู้น้อยได้ ผู้น้อยก็เตือนผู้ใหญ่ได้ ลูกหลานเตือนพ่อแม่ได้...ไม่โกรธ
คนเราถ้าไม่ปฏิบัติธรรมก่อน ไม่มีธรรมให้ลึกซึ้งแล้ว เตือนก็โกรธแล้วเพราะนิสัยไม่ดี ยังไม่มีคุณธรรมคุณภาพ นิสัยมาจากไหน? นิสัยแปลว่าแบบอย่าง ต้องปฏิบัติธรรมครบ ๓ เดือนก่อนแล้วถึงตักเตือนกันได้
ท่านทั้งหลายก็เตือนข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าอาจพลั้งเผลอสติไป... “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” ไปเจอกันที่ไหนก็ตักเตือนกันได้ เพราะจะแยกย้ายกันไปออกพรรษาแล้วต่างคนต่างไป จึงต้องทำปวารณาไว้ก่อน ถ้าเจอเมื่อไร...เห็นข้าพเจ้าผิดพลาด หรือเคยเห็นเคยได้ยินมาอย่างไร ก็สามารถจะตักเตือนได้...โกรธไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #230 เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 12:21:24 pm » |
|
การตำหนิติเตียนผู้อื่น
การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมจึงพอใจสร้างขึ้นเอง
คำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต คัดลอกจากหนังสือ ขันธะวิมุติสะมังคีธรรมะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
คะแนน 630
ออฟไลน์
กระทู้: 2363
NightBaron
|
|
« ตอบ #231 เมื่อ: เมษายน 19, 2011, 09:20:03 pm » |
|
"ดูกร..อตุละ การนินทาหรือการสรรเสริญนี้มีมาแต่โบราณ มิใช่มีเพียงวันนี้ คนย่อมนินทาแม้ผู้นั่งนิ่ง แม้ผู้พูดมาก แม้ผู้พูดพอประมาณ ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก บุรุษผู้ถูกนินทาโดยส่วนเดียว หรือถูกสรรเสริญโดยส่วนเดียวไม่มี แล้วจักไม่มี และไม่มีในบัดนี้"
คาถาธรรมบท โกธวรรคที่ ๑๗
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|