อภินิหารลูกแก้วหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อภินิหารลูกแก้วหลวงพ่อพระราชพรหมยาน  (อ่าน 1848 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: ธันวาคม 08, 2010, 06:06:46 am »



อานุภาพลูกแก้ว

(คัดลอกบางตอนที่ หลวงพ่อเล่าไว้ในหนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๑๒๒)


...ซึ่ง ผลที่ได้จากลูกแก้วนี่ อุบัติเหตุมีทุกครั้งใน ๓ ครั้งที่แล้วมานะ ที่แจกมาก็พบอุบัติเหตุทุกครั้ง แต่ว่าอุบัติเหตุที่น่าจะตายเขาไม่บาดเจ็บ

อย่าง รายหนึ่งไปอยู่อเมริกา ซื้อรถราคา ๓.๐๐๐ เหรียญ ชนกันย่นไปเหลือราคา ๓๐๐ เหรียญ เจ้าของรถไม่ตาย แต่ว่ารถเหลือราคาเพียง ๓๐๐ เหรียญ

และ ก็เที่ยวแรกที่แจก วันนั้นไปที่อำเภอสามพรานมีสองผัวเมียแกบอกว่า รถชนประจันหน้ากันพังยับเยินเลยพวงมาลัยมากระแทกอกสามี พวงมาลัยคด แต่สองคนในรถไม่เป็นตราย

อีกรายหนึ่งเขามา รายงาน รายนี้ลูกสาวตัวเล็กล้มลงไปทับแก้ว เศษแก้วกระเด็นเข้าตา แกก็ร้องจ้า ฝ่ายพ่อก็จะพาไปโรงพยาบาล ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่าเรามีลูกแก้ว ก็เลยลองดูว่าลูกแก้วจะช่วยได้หรือไม่ได้ ก็เอาลูกแก้วไปลูบๆ ที่ตา ประเดี๋ยวเดียวลูกสาวหายปวด ก็เลยพาไปหาหมอให้ดูให้ปรากฏว่าไม่มีเศษแก้ว

สำหรับ เที่ยวนี้ที่ทำขึ้นมาแล้ว พวกบางแคไปรับมาจากวัด ปรากฏว่าคนหนึ่ง ก้างปลาติดคอ ทำอย่างไรก็ไม่ออก เขาก็จะพาไปหาหมอ พอดีคนที่เขาได้แก้วไปก็อาราธนาลูกแก้วลูบๆ ที่คอ ปรากฏว่าก้างหาย

และ ก็ที่ชุมแสงรับลูกแก้วไปแล้วกลับไปบ้าน ฟ้าผ่าใกล้ๆ ตัวแกไม่เป็นไรทั้ง ๒ ราย นี่ก็เลยยกทัพไปรับใหม่ ตอนแรกคนไปไม่กี่คน พอได้ยินข่าว เลยยกทัพมาเป็นกองทัพเลย

...ทั้ง นี้ขึ้นอยู่กับจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทนะ จะเห็นว่าแก้วลูกเล็กๆ แต่พึงเข้าใจว่า แก้วนี้ทำด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า เวลาทำจริงๆ อาตมาไม่รู้เรื่องเลย


ประสบสบการณ์อานุภาพลูกแก้วใส

(ของคุณประเสริฐ ..คัดลอกจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๔๘๔ -๔๘๕)


คุณ ประเสริฐ มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่วัดครั้งแรกทำบุญ ๑๐ บาทได้พระเหรียญแหนบเป็นเหรียญแรกของหลวงพ่อมา ๑ เหรียญ และก็ทำหาย วันรุ่งขึ้นจึงมากราบหลวงพ่อใหม่..ดังนี้ครับ

...พอมาถึงวัดก็พบหลวงพ่อนั่งรับแขกอยู่ ก็กราบท่าน และท่านก็ถามว่า "มาจากไหน" ก็ตอบท่านไปและบอกกับท่านว่า "วันนี้ผมพาพี่ชายมากราบหลวงพ่อครับ" และก็บอกไปอีกว่า "พระที่ให้ไปเมื่อวานนี้ หล่นหายครับ" ท่านก็ตอบว่า "รู้แล้ว" ก็แปลกใจท่านรู้ได้อย่างไร และก็มีโยมอีกชุดหนึ่ง มาจากโคราชบอกว่า "วันนี้ตั้งใจมากราบหลวงพ่อค่ะ" หลวงพ่อก็ตอบว่า "ฉันรอตั้งแต่ตี ๕ แล้ว" (งง ท่านรู้ได้ไง)

ข้าพเจ้ามาวัดอีกทีหนึ่ง ก็ พ.ศ. ๒๕๒๔ เดือนกุมภาพันธ์ ไปสมัครทหารพรานที่ค่ายปักธงชัย พอฝึกจบภาคสนาม ก็กลับบ้านระหว่างนั้น ก็นึกถึงหลวงพ่อจึงไปกราบท่านเพื่อขอพร ท่านได้ให้ลูกแก้วมา ๑ องค์ชนิดกลมใส และท่านยังกำชับอีกว่า "ให้ไปเลี่ยมห้อยคอซะนะ" และท่านก็ให้นั่งพนมมือและตั้งใจ ท่านก็พรมน้ำมนต์ให้คนเดียว พอเสร็จท่านก็บอกว่า "ไปเถอะลูกไม่ต้องกลัวปืน ระวังระเบิดก็แล้วกัน" เพียงคำพูดประโยคเดียวนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และมั่นใจตลอดเวลา ก่อนลงพื้นที่ได้บวชเณร ๗ วัน เพราะหลวงพ่อทักว่าจะตายโหง พอเสร็จภารกิจที่เขาค้อ ก็มาทำบุญกับหลวงพ่อ ได้ถวายสังฆทาน ๑ ชุด ๕๐๐ บาท วันนี้ไม่พบหลวงพ่อฝากไว้กับพระท่าน

ลูกแก้วที่หลวงพ่อมอบให้และสั่งให้เลี่ยมห้อยคอ แต่ก็ไม่ได้เลี่ยม จนกระทั่งรับภารกิจใหม่ที่ ตาพระยา บ้านทับพริกล่าง ๒ เดือน จนใกล้เสร็จภารกิจจึงลากลับบ้าน ขณะนั้นก็นึกถึงคำที่หลวงพ่อพูดว่า ให้เลี่ยมห้อยคอก็เลยเลี่ยมที่ตลาดนั่นเอง และก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งวันนั้น ๓ กค.๒๕๒๔ เป็นวันเกิดเพื่อน กินเหล้าเมาแล้ว ขับรถจิ๊ปเที่ยวหาพระผู้หญิง แยกสุทธิสารขาเข้ามีสะพานลอยซึ่งขณะนั้นกำลังสร้างถนนเพิ่ม ก็มีรถแท็กซี่วิ่งแซงขึ้นไป พรรคพวกที่นั่งไปด้วย ก็เชียร์ให้แข่งกัน ก็เลยเสียหลัก เนื่องจากขาดสติ รถคว่ำพังยับเยิน และตัวเองก็กระเด็นออกจารถ ไปตกอยู่ในคูน้ำครำข้างๆ ส่วนอีก ๔ คนก็ติดอยู่กับรถ ได้รับอันตรายเพียงเล็กน้อย บังเอิญเท้าด้านซ้ายของข้าพเจ้า ไปถูกกับชิ้นส่วนข้างรถ เหวอะอย่างเห็นได้ชัด และในรถก็มีลูกระเบิดอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ระเบิด หลังจากนั้นก็พากันไปโรงพยาบาลพระมงกุฏ นอนรอหมอจนสว่าง ด้วยความหนาวและปวด พอหมอทำแผลเสร็จก็กลับบ้าน อยู่ได้ประมาณ ๑ อาทิตย์ อาการก็เกิดขึ้นคือ อ้าปากไม่ขึ้น และหลังแข็ง เวลาจะลุกนั่งไม่ได้ต้องนอนตะแคง เพื่อนคือประยูรและภรรยาเห็นอาการผิดปกติ จึงพาไปหาหมออีกครั้ง หมอก็รับตัวไว้และถามว่าเป็นอะไรครับ ตอบว่าเป็นบาดทะยัก และจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวเลย มารู้อีกที ก็อยู่บนเตียงข้างล่างแล้ว ตอนนี้พูดไม่ได้ ต้องเขียนหนังสือแทน ก็ถามหมอว่าเห็นลูกแก้วผมไหม หมอตอบว่าไม่เห็น ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจและร้องให้ออกมาดังๆ โดยไม่อายเลย (ทหารพรานนะเนี่ย) ขณะที่นอนอยู่นั้นเกิดฝันว่า ท่านยมทูตจะมาเอาชีวิต ก็เลยบอกกับท่านว่า พ่อตายยังไม่ได้บวชให้เลย ขอบวชก่อนก็แล้วกัน และก็หนีท่านไปที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นเป็นที่โล่ง ขณะนั้นไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน ท่านก็เลยยืนอยู่ที่ประตู ส่วนข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ตรงกลาง และก็สะดุ้งตื่นจนมาถึงทุกวันนี้ ก็จำได้ว่าสถานที่แห่งนั้นก็คือ ศาลา ๒ ไร่นั้นเอง

สาเหตุนี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้ารอดชีวิตจากโรคร้ายนี้ เพราะหมอเองก็บอกญาติว่าไม่รอดแน่ แม่ก็เสียใจมาก และที่ประทับใจอีกครั้ง ก็คือ.. ..ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ร่วมบวชพระ เพื่อถวายกุศลแด่หลวงพ่อเมื่อ ๒๕ ธ.ค.๒๕๓๔ นี้จำนวนพระทั้งหมด ๑๘๐ องค์ และหลวงพ่อก็ยังสึกให้อีกด้วย ความกรุณาครั้งนี้ ไม่สามารถตอบแทนได้ ในขณะที่บวชอยู่ ๔ วัน หลวงพ่ออบรมว่า "เริ่มบวชวันแรกได้รับทุกขเวทนามาก ซึ่งไม่เคยเป็นอย่างนี้" ก็เกิดสงสารหลวงพ่อ รุ่งเช้าบิณบาต ก็นึกถึงเวทนาของหลวงพ่ออีก ก็ตั้งใจว่า ถ้าลูกรับทุกขเวทนานี้แทนได้ ขอให้แบ่งทุกข์นี้มาให้ลูกบ้าง ทันใดนั้นก็เกิดปิติน้ำตาใหล ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด

สรุปความว่า หลวงพ่อเป็นพระผู้ให้แสงสว่างแด่ลูกๆ ทุกคนเช่นข้าพเจ้า ปัจจุบันนี้เลิกเหล้ามาตั้งแต่ ๒๕๒๕ และบุหรี่เมื่องานเป่ายันต์ ๓ มค. และเลิกฆ่าสัตว์และลักทรัพย์เป็นต้น



"อภินิหารลูกแก้วหลวงพ่อ"

(โดยคุณสมนึก ...คัดลอกจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๕๕)


ผมชื่อนาย สมนึก ... ได้มารับใช้หลวงพ่อตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ช่วยอยู่ยาม ดูแลของสงฆ์ ทำงานภายในวัด และเป็นคนขับรถรับใช้หลวงพ่อ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตามที่ผมได้เขียนลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๒ ไปแล้ว

ผมมีลูกชายชื่อ ศิริเทพ ... ซึ่งลูกชายคนนี้ หลวงพ่อได้เมตตาตั้งชื่อให้ตั้งแต่อยู่ในท้อง (สมัยที่หลวงพ่อยังประจำอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า) ภายหลังหลวงพ่อมาอยู่วัดท่าซุง ผมก็ตามมารับใช้ที่นี่ และเอาลูกชายมาอยู่วัดด้วย ลูกชายผมมาโกนจุกที่วัดท่าซุง เรียนจบ ม.๓ แล้วไปต่อวิทยาลัยเทคนิคอุทัย ขณะเรียนปีสุดท้าย (ปีที่ ๓) ประมาณวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๘ พระใบฏีกาประทีป อัตถทัสสี ได้ใช้ให้ไปเช็คดินที่ทางวัดซื้อมาถมที่วัด โดยมีเพื่อนลูกชายเป็นคนขับไป เป็นรถจี๊ปเก่าตัวถังเป็นเหล็กทั้งคัน เพื่อนขับอย่างไรไม่ทราบ รถคว่ำ พลิกทับร่างของลูกชายผมทั้งคัน ทับช่วงท้องลงมา บังเอิญ เป็นอัศจรรย์ ที่อีกด้านหนึ่งมีก้อนหินก้อนหนึ่งรองรับไว้ มิฉะนั้นร่างของลูกชายคงแหลกแน่ แต่ก้อนหินนั้น ทำให้หลังโบ๋เป็นแผล เป็นแผลเป็นไปทั่วบริเวณแผ่นหลัง เมื่อเห็นสภาพลูกชายผมแล้วไม่น่ามีชีวิตรอดมาได้ ร่างกายเป็นแผลเหวอะหวะและถูกทับอยู่อย่างนั้น ต้องรอจนกระทั่ง คนขับวิ่งไปตามเอารถมายกออก ซึ่งระยะทางจากที่เกิดเหตุ และหนทางที่วิ่งไปตามรถมายกออกห่างกันประมาณ ๑ กม. (รถคว่ำบริเวณหลังโรงพยาบาล มาตามรถไปยกจากบริเวณศาลา ๑๒ ไร่) เมื่อเอารถมายกรถออกจากที่ทับลูกชายผมออกแล้ว ก็รีบนำลูกชายส่งโรงพยาบาล ในจังหวัดอุทัยธานี หมอตรวจดูสภาพร่างกายแล้ว บอกต้องผ่าตัด ผมก็ยังไม่ยอมเซ็นชื่อให้ผ่าตัด บอกขอไปกราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อดูก่อน พอกลับมาถึงหลวงพ่อก็บอกว่า "ให้เขาผ่าตัดเถอะลูก" หลวงพ่อก็พูดอีกว่า "กระดูกเชิงการานหัก ทิ่มกระเพาะปัสสาวะ เลือดตกใน" ตอน หลังหมอก็พูดตรงกับที่หลวงพ่อพูด กลับไปที่โรงพยาบาล เซ็นอนุญาตให้หมอผ่าตัดได้ ลูกชายผมต้องอยู่โรงพยาบาลถึง ๔๑ วัน ขณะที่โรงพยาบาลนั้น ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงตลอดจน พวกพระภิกษุภายในวัดท่าซุง ช่วยกันถวายสังฆทาน และปล่อยปลาอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร อาการลูกชายผมก็หายวันหายคืน และกลับจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด

การประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ ลูกชายผม ห้อยลูกแก้วหลวงพ่อเพียงลูกเดียว นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ที่ลูกชายผมมีชีวิตกลับมาได้ ทั้งๆ ที่หมอพูดว่า เป็นถึงขนาดนี้ไม่น่าจะรอดได้ หมอคนแรกผ่าตัดแล้วผิดพลาด มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ ต้องผ่าตัดเป็นครั้งที่ ๒ จึงได้รอดชีวิตกลับมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ ผมได้เผ้าดูอาการลูกชาย ที่โรงพยาบาลไม่น่าจะรอดได้ ขนาดหมอออกปากแล้วว่าไม่น่ารอดได้ ต้องผ่าตัด ถึงแม้จะมีแผลเป็นมากมาย แต่ผมก็พอใจที่ลูกชายรอดชีวิตมาคราวนี้ได้เพราะอภินิหาร (ความศักดิ์สิทธิ์) ของลูกแก้วหลวงพ่อ ที่ห้อยคออยู่เพียงลูกเดียวโดยแท้ และแม้กระทั่งมีการบังเอิญ ที่มีหินขวางไว้ก้อนหนึ่งขณะรถทับร่างลูกชายนั้น ผมคิดว่า เป็นปาฏิหาริย์ที่อานุภาพลูกแก้วหลวงพ่อช่วยคุ้มครองให้เป็นเช่นนั้น ผมเชื่อหลวงพ่อทุกอย่าง หลวงพ่อพูดตรงกับหมอทุกอย่าง ลูกชายก็ได้รอดชีวิตมาอย่างปาฏิหาริย์ และอยู่มาจนทุกวันนี้ ลูกชายผมปัจจุบันทำงานเป็นหลักแหล่ง ผมและภรรยาและลูกชาย ต่างมีความเคารพหลวงพ่อและ ขออยู่รับใช้ จนกว่าจะต้องตายจากกันนั้นแล ผมขอบูชาหลวงพ่อเท่าชีวิตของผม...สาธุ


วิธีการใช้ลูกแก้ว

(คัดลอกบางตอนจากหนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๑๒๑ )


..."ก่อนที่จะภาวนาคาถาให้มองดูลูกแก้วเสียก่อน จำภาพแก้วได้ ก็หลับตานึกถึงภาพแก้วนั้นแล้วก็ภาวนา นี่ทำเป็นกรรมฐาน จะภาวนา พุทโธ หรือ นะมะพะทะ ว่าได้ทุกอย่างเพราะว่าแก้วเป็นอาโลกกสิณ สำหรับอาโลกสิณนี่เป็นกสิณพื้นฐานของทิพจักขุญาณ หากว่าขณะที่หลับตาภาวนา ภาพลูกแก้วเลือนไปจากใจ ให้ลืมตาดูใหม่ จำภาพลูกแก้วแล้วภาวนาต่อไป จนกระทั่งภาพลูกแก้วติดตาติดใจ คราวหลังเราไม่ต้องมองดูลูกแก้ว แต่นึกภาพลูกแก้วได้เป็นปกติอย่างนี้ท่านเรียกว่า อุคหนิมิต อุคหนิมิตนี่เป็น อุปจารสมาธิ เป็นผลของทิพจักขุณาณ เมื่อทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งภาพลูกแก้วติดตาติดใจอยู่เสมอ ต่อมาก็อธิฐานให้ลูกแก้วโตขึ้น ก็จะเห็นภาพลูกแก้วโตขึ้น อธิฐานให้เล็กลงก็จะเล็กลง ให้อยู่สูงก็อยู่สูง ให้อยู่ต่ำก็อยู่ต่ำ อยู่หน้าก็ได้ อยู่หลังก็โด้ตามชอบใจ อย่างนี้เป็น ปฏิภาคนิมิต ถือว่าเป็นนิมิตสูงสุดส่วนหนึ่ง..."

"ในเมื่อเห็นลูกแก้วชัดเจนแจ่มใสดีเท่าไหร่ ความเป็นทิพจักขุญาณของท่านพุทธบริษัทที่จะเห็นภาพอื่นก็จะเห็นชัดเจนเท่า นั้น แต่ว่าถ้าเห็นลูกแก้วชัดเจนดีแล้ว ต่อไปก็อธิฐานขอให้ภาพลูกแก้วหายไป ขอภาพของพระพุทธเจ้าจงปรากฏ ในเมื่อเห็นภาพของพระพุทธเจ้าปรากฏแทน ขอให้อธิฐานให้พระองค์โตขึ้น ภาพของพระพุทธเจ้าโตขึ้น ขอให้พระองค์ทรงเล็กลง ก็เล็กลง ให้สูงให้ต่ำได้ตามความต้องการ อย่างนี้ถือว่าถึง ที่สุด ของ มโนมยิทธิ

ถ้าทำมโนมยิทธิได้ตามนี้แล้วจึงเคลื่อนออก ถ้าเคลื่อนไปไหนจิตกับกายจะตัดกันเด็ดขาด คือว่าไป สุดตัว ถ้าไปสุดตัวก็จะได้พบทุกอย่าง จะพบเทวดา จะพบพรหมก็ดี พบพระอรหันต์ก็ดี เราก็จะมีสภาพไปนั่งคุยกันอย่างสบาย เหมือนนั่งคุยกันอยู่นี่ ถือว่าเป็นการเต็มมโนมยิทธิที่ศึกษา เพราะมโนมยิทธิที่ศึกษากันอยู่เวลานี้ เราใช้กำลังครึ่งเดียว..."

"แต่ว่าเพื่อผลประโยชน์ของบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า

"ทุกคนยังต้องกินต้องใช้ พระพุทธเจ้าก็ทรงห่วงเหมือนกัน ท่านถือว่าถ้าทุกคนยากจนเสียจริงๆ ไม่มีกินมีใช้ การเจริญสมาธิก็ไม่มีผล เพราะมีความเดือดร้อน"

ฉนั้นท่านจึงแนะนำว่า ถ้าทำสมาธิในด้านของกรรมฐานครบถ้วนพอใจแล้ว หลังจากนั้นให้ต่อด้วย คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า (คาถาเงินล้านปัจจุบัน) และเวลาที่เจริญพระกรรมฐานทรงฌาณเท่าไร คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็จะทรงฌาณเท่านั้น เมื่อคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเป็นฌาณ การเงินของท่านพุทธบริษัทจะมีการคล่องตัวดีมาก ถ้าปฏิบัติได้เป็นฌาณจริงๆ คือ เห็นภาพชัดจริงให้สังเกตุดูว่า หลังจากทำไป ๓ เดือน ผลการปฏิบัติลาภสักการะจะเกิด การเงินไม่ฝืดเคือง ยิ่งทำนานมากเงินก็จะยิ่งขังตัว..."

"เงินเดือนที่ไม่ค่อยพอเดือน มันก็จะเริ่มพอเดือน เดือนหน้ากับเดือนหลัง มันสวัสดีกันได้ก็พอตัวแล้ว ต่อมาเจ้าเดือนหน้ามันไม่ยอมไป เดือนใหม่ก็ยังมีมาอีก มันเริ่มขังตัว มันเริ่มขังตัวแน่นะ รวมความว่า มันนอนคุยกันในกระเป๋าได้ ทำตามนี้มีผลจริงๆ นะ และวิธีที่ใช้เงินในคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีแบบหนึ่ง ซึ่งเคยได้กล่าวไว้แล้ว.."







บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: