“แสงสว่างที่ปลายทางรอด” วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “แสงสว่างที่ปลายทางรอด” วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด  (อ่าน 5263 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 04:58:04 pm »

“แสงสว่างที่ปลายทางรอด” วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด



องค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ


พลังจิตและพลังพีระมิด



เรียบเรียงโดย คุณจีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ



                    คำนำ


พระอาจารย์ท่านยอมเสียสละทางเดินของท่านบ้างเป็นครั้งคราว ยอมถูกวิพากษ์วิจารณ์


ว่าสอนผิดแนวทาง เพราะใช้พลังพีระมิดเพื่อเป็นอุปกรณ์ในการต่อลมหายใจมนุษย์


การเสียสละ อย่างยิ่งใหญ่ทั้งหมดของท่าน เกิดขึ้นเพราะ “ ความเมตตา ” ที่มีต่อมวลมนุษย์



องค์ความรู้ฯ แยกให้เห็นทั้งสิ่งที่เหมือน และ แตกต่าง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง สสาร พลังงาน


รูป นาม กายหยาบ และกายในกาย ตลอดจนวิธีฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน และ พลังงานบำบัด



ถ้าหากท่านได้อ่านหนังสือตั้งแต่ต้นจนจบ และยังมีโอกาสได้ฝึกจิต ฝึกปฏิบัติฯ ตามอีกด้วย


ท่านย่อมไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆในองค์ความรู้ฯ โปรดหยิบยื่นความเมตตาส่งต่อให้บุคคลรอบข้าง


โปรดช่วยเป็นกระบอกเสียง บอกสิ่งที่คุณได้รับรู้ว่า “ ใช่ ” อย่างไร



การเผยแพร่ธรรมะตามองค์ความรู้ฯของพระอาจารย์ทำได้อย่างยากลำบาก เพราะทุกวิธีต้อง


ใช้ร่างกายตนเองเป็นห้องทดลองและวิธีฝึกปฏิบัติฯ แต่ละวิธีหรือชื่อเรียกแต่ละอย่าง เช่น สมาธิหมุน ตั้งอยู่


ไหว-นิ่ง-ว่าง น้ำพลังพีระมิด พลังกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ พลังงานแม่เหล็กโลก ฯลฯ


แต่ละชื่อไม่เคยคุ้นหูหรือได้ยินมาก่อนเลย องค์ความรู้ฯ ไม่สามารถตอบความสงสัยได้ด้วยเพียง


การนึก คิด หรือ อ่าน ท่อง จำ



จากหนังสือ “ ทางรอดฯ ” มาถึง “ แสงสว่างที่ปลายทางรอด ” เป็นการผูกโยงภาวะวิกฤติ


พลังงานที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจะยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างหมดหนทางแก้ไข มนุษย์ต้อง


ตายผ่อนส่ง แต่อย่างไรก็ดี มนุษย์ยังพอมีความหวัง ยังพอเห็นแสงสว่างรางๆ ที่สุดปลายทางได้บ้าง


เพราะผู้ที่ผ่านการ “ ฝึกจิต ” เปรียบเสมือนผู้มีเครื่องผลิตพลังงาน เก็บสำรองไว้ใช้ตลอดเส้นทาง


หากท่านทำได้ ไม่ใช่จะมีแสงสว่างเฉพาะที่ปลายทางรอดเท่านั้น หากแต่ “ ทาง ” เส้นนั้นจะสว่าง


รุ่งโรจน์เผื่อแผ่แสงสว่างให้เพื่อนร่วมทางได้อย่างไม่มีวันมืดดับ



ผู้เขียนตั้งใจถ่ายทอดองค์ความรู้ฯ ถวายเป็นมุทิตาจิต ด้วยความสำนึกในเมตตาธรรม


แด่ พระอาจารย์เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด 20 กันยายน 2552 อีกครั้ง






จีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ


บันทึกการเข้า

kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 04:59:01 pm »

    เนื้อเรื่อง


ประมวลวิกฤตพลังงาน

สโตนเฮนจ์และการเชื่อมโยง

ความสัมพันธ์ระหว่างสสาร-พลังงาน กับ กายหยาบ-กายละเอียด

อาหารเสริมพลังงาน

ความสัมพันธ์ระหว่างวิปัสสนากรรมฐาน กับ ทางเลือกของสุขภาพในช่วงกลียุค

วิปัสสนากรรมฐาน “ ตั้งอยู่ ”

ไหว นิ่ง ว่าง

                    ประมวลวิกฤตพลังงาน


หนังสือ “ทางรอด” เล่มที่ผ่านมา ได้เขียนทิ้งท้ายไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนต่างตกอยู่ภายใต้พลังอันทรงอำนาจของวงกลมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เป็นแรงดึงดูดจากศูนย์กลางกาแลคซี่ทางช้างเผือก ทางทิศเหนือ ทุกคนจำต้องรับสภาพการตกอยู่ภายใต้แรงดึงนี้อย่างหนีไม่ได้
และเนื่องจากมนุษย์ เป็นผู้สร้างเหตุ มนุษย์จึงต้องรับผลของการกระทำนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเช่นกัน
ภาวะ โลกร้อน จึงเป็นสภาพเอ็นพีแอล (NPL) ของธรรมชาติที่หมดหนทางแก้ไข ได้แต่รอ….. วันสุดท้าย เท่านั้น จริงหรือ?”

จากกรกฎาคม’ 50 จนถึงกันยายน’ 52 ได้มีหลายๆปรากฏการณ์ ของวิกฤต พลังงานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บีบกระชับจนทำให้ “ ทางรอด ” ต้องเปลี่ยนเป็น “ แสงสว่างที่ปลาย ทางรอด ”
ซึ่งน่าจะเป็นทางรอดเฉพาะบุคคล บุคคลแบบใด?

ภาวะพลังงานแม่เหล็กโลกท่วมโลกเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติหลายๆอย่าง เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ดิน-โคลนถล่ม
ไฟไหม้ป่า พายุ ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ ไปทั่วทุกส่วน ของโลก เป็นโศกนาฏกรรมรายวันจนอาจกล่าวได้ว่า
เป็นเรื่องไม่ธรรมดาที่ดูธรรมดาไปเสียแล้ว พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เคยให้ความรู้พื้นฐานขององค์ความรู้ไว้เสมอว่า
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และสลาย ของพลังงานที่ให้ทั้งคุณและโทษต่อมวลสรรพสัตว์สิ่งในโลก ยังเกี่ยวเนื่องกับ ปัจจัยสำคัญ 3 อย่างนี้เสมอ
คือ พลังงานแม่เหล็กโลก การหมุนของโลก และ พลังงาน กระแสลมปราณ - พลังมโนธาตุ ซึ่งใน 3 อย่างนี้
พลังงานแม่เหล็กโลก เป็นตัวจักรสำคัญ มีอิทธิพลต่อการหมุนของโลก พลังงานกระแสลมปราณ-พลังมโนธาตุ อย่างยิ่งยวด
ดังเช่น ปรากฏการณ์ของวิกฤตพลังงานที่กำลังเกิดขึ้นและจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นตามลำดับ

1. ภาวะโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่อง

2. การเปลี่ยนแปลงของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล



                    ภาวะโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่อง


ท่านผู้อ่านลองจินตนาการนึกถึงผลไม้หลากหลายชนิด ซึ่งทุกชนิดจะมีขั้วหรือวิ่นอยู่ด้านบน มีจุกหรือก้นอยู่ด้านล่าง เช่น สับปะรด ขนุน
มีแกนอยู่ภายในให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน ส้มโอ ฝรั่ง มะละกอ แอปเปิ้ล ฟักทอง ฟักเขียว ฯลฯ มีเยื่อ รูพรุน กลวงทอดยาวอยู่ภายในผล
ตั้งแต่วิ่นจนถึงก้น แกนผลไม้มีลักษณะเหมือนกับแกนพลังงานของโลกทอดตัวยาวเคียงคู่ ไปกับแกนสสารจากขั้วโลกเหนือจรดขั้วโลกใต้
เป็นช่องทางไหลวนเข้า-ออก ร้อยรัดไป-มา ของ พลังงานแม่เหล็กโลก เพื่อดึงดูดสรรพสัตว์สิ่งทั้งหลายในโลก ตลอดจนดาวฤกษ์
ดาวเคราะห์อื่นๆ ให้อยู่ภายใต้อิทธิพล แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกตลอดไป ( จนกว่าจะมีการพลิกผัน เปลี่ยนแปลง
ทั้งทางกายภาพ และพลังงานอย่างยิ่งใหญ่ )

จวบจนกระทั่งสาร CFC ได้เป็นสาเหตุสำคัญทำให้แกนพลังงานโลกตัน และไม่มีแกนพลังงานโลกไปในที่สุด ภาวะพลังงานแม่เหล็กโลก
ฝังแน่นถมลงไปทั่วทุกส่วน ทุกตารางนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นน้ำ มหาสมุทร ผืนแผ่นดิน ชั้นบรรยากาศ อวกาศ ตลอดจนร่างกายมนุษย์
แทบไม่เหลือช่องว่างอีกแล้ว ความร้อน และ หนัก เป็นคุณสมบัติที่ทรงพลังแห่งการทำลายล้าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
ของพลังงานแม่เหล็กโลก และเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนแบบทันทีทันใด เช่น น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วเกินความคาดหมาย
ระบบนิเวศน์ สัตว์ พืช ที่เคยชินกับการใช้ชีวิต อยู่กับน้ำแข็งมาโดยตลอด จะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อดำรงชีวิต
ให้รอดอยู่ได้หรือไม่ คงต้องดูกันต่อไป แต่ที่แน่นอนที่สุดคือ ระดับน้ำเพิ่มขึ้นในมหาสมุทร ทะเล และปริมาณน้ำจำนวนมหาศาล
ต่างไหลลงสู่แอ่งกระทะบริเวณเส้นศูนย์สูตร เกาะเล็กเกาะน้อย แหลมชายฝั่ง ล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาน้ำท่วม เกาะจมหาย
ไปตามกาลเวลา ยิ่งไปกว่านั้น น้ำที่เกิดจากการ ละลายของน้ำแข็งจะเย็นจัด มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ จึงอยู่ลึกลงไปที่ก้นมหาสมุทร ทะเล
ในขณะที่พื้นผิวน้ำ ได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์ จึงทำให้อุณหภูมิระหว่างผิวน้ำกับก้นมหาสมุทร ทะเล
มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก กลายเป็นสาเหตุสำคัญ ของการเกิดพายุหมุนได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่มีลมกรรโชกแรง
เกิดการกระแทกวนไป-มา ระหว่างน้ำในมหาสมุทร ทะเล กับ ภูเขา โขดหินชายฝั่ง ฯลฯ จึงเกิดการหมุนวนของน้ำ
กอปรกับน้ำมีอุณหภูมิร้อน-เย็น ที่แตกต่างกันมากจนเกินไป ระหว่างน้ำที่พื้นผิวกับน้ำเย็นจัดที่อยู่ข้างล่าง น้ำจึงม้วนตัว เป็นเกลียว
ยกสูงขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งทวีกำลังเหวี่ยง-หมุน เคลื่อนที่เร็วมากขึ้นตามลำดับ ความรุนแรงของการกระแทก สามารถกวาดทำลาย เป็นวิบัติภัยธรรมชาติที่แสนหฤโหดได้ ในชั่วพริบตา

ยิ่งไปกว่านั้น หากลองเปรียบเทียบอุณหภูมิสูง-ต่ำที่แตกต่างกันระหว่างพื้นดินกับทะเล จะเห็นได้ชัดเจนว่า
แถบชายฝั่งย่อมมีอุณหภูมิสูงกว่าทะเลอยู่ตลอดเวลา การถ่ายเทสลับกันไป-มาของลม อากาศ
ระหว่างพื้นดินกับพื้นน้ำจึงผิดปกติไปจากเดิม
เพราะในปัจจุบันนี้มีเฉพาะลม ที่พัดจากทะเลเข้าหาชายฝั่งเพียงอย่างเดียว ดังนั้นปัญหาชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ
จึงยังคงเป็น ปัญหาใหญ่ที่แทบจะหมดหนทางแก้ไข ตราบใดที่ยังไม่สามารถคืนลมบกให้กลับสู่ทะเลได้ดังเดิม

ปัญหาของวิบัติภัยที่รุนแรงอีกอย่างคือ ไฟไหม้ป่า เผาทำลายป่าใหญ่อุดมสมบูรณ์ในแทบ ทุกทวีปอย่างเท่าเทียมกัน
การเผาป่าอาจจะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ได้
แต่สาเหตุอีกอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นเนื่องจาก เมื่อพลังงานแม่เหล็กโลกถมเต็มชั้นบรรยากาศโลก พลังงานความร้อนสะสม
ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ป่าไม้นอกจากจะรับความร้อนของแสงอาทิตย์มากพออยู่แล้ว ยังต้องรับพลังงานความร้อนสะสม
ของพลังงานแม่เหล็กโลกอีกด้วย การเสียดสีกันของพลังงานความร้อน กับน้ำมันในเปลือกไม้จึงเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี
โหมไฟไหม้ป่าเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้อง อาศัยมนุษย์มา “เผาป่า” อีกต่อไป และหากสังเกตในเรื่องใกล้ตัวอีกสักนิด
ในบางวันอาจจะพบว่า มีเมฆฝนตั้งเค้า และฝนควรจะตก ได้แต่รอเก้อ เพราะพลังงานความร้อนสะสมของพลังงาน
แม่เหล็กโลกได้สลายกลุ่มเมฆฝนเหล่านั้นแล้ว แม้กระทั่งการเกิดแผ่นดินทรุด ถล่ม มักเกิด ตามมาทุกครั้งที่มีฝนตกหนัก
หรือ ลมพายุรุนแรง ต่างก็มีสาเหตุมาจาก พลังงานความร้อนสะสม ของพลังงานแม่เหล็กโลกอีกเช่นกัน

ดังนั้น ภาวะของน้ำล้นมากเกินพอดีจนถึงขั้นทำลาย หรือ การขาดน้ำจนกระทั่งเกิด ความขาดแคลน
ตลอดจนพายุหมุนหรือวิบัติภัยธรรมชาติอื่นๆที่เป็นผลมาจาก ลม น้ำ จะยังคง ปรากฏวนเวียนไปตามฤดูกาลของแต่ละประเทศ
แต่ละทวีปของโลก จนกว่าโลกเราจะได้แกน พลังงานโลกกลับคืนมา เพื่อเป็นที่อยู่ของพลังงานแม่เหล็กโลกดุจดังเดิม
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 04:59:25 pm »

        การเปลี่ยนแปลงของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล

องค์ ความรู้ที่นำมาเสนอต่อไปนี้ ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้รู้สิ่งเหล่านี้ด้วยความสามารถของ “จิต”
ที่เป็นอิสระจากสัญญาของความนึก-คิด ใช้แรงสืบต่อ(แรงสันตติ) เพื่อสาวหาเหตุของการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สลาย ของแต่ละเหตุ ผู้เขียนมี
หน้าที่ถ่ายทอด สิ่งที่ได้รู้มาอย่างเที่ยงตรงจะให้ประโยชน์มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ ของแต่ละบุคคล

จากสภาพที่ไม่มีแกนพลังงานโลกมาร่วม 8 ปี (พ.ศ. 2544-2552) โลกจึงลอยเคว้งคว้าง ไร้หลักยึด ขาดทิศทาง
ถูกกาแลคซี่ทางช้างเผือกดึงไปทางทิศเหนือทีละน้อยๆ และการสะสม ของพลังงานแม่เหล็กโลกได้มาถึงจุดอันตรายแล้ว
ยิ่งทำให้โลกหนักมากขึ้น เสียสมดุล ในบางครั้ง โลกจึงหมุนผิดปกติ คือ หมุนช้าลง บางครั้งแทบจะหยุดหมุน บางครั้งเหมือนหมุนและสะดุด

ตามปกติโลกเราหมุนจากขวาไปซ้าย เป็นการหมุนทวนเข็มนาฬิกา ขั้วโลกเหนือ ควรจะตั้งตรงไปทางทิศเหนือตามทิศทางของ
กาแลคซี่ทางช้างเผือก ไม่ใช่เอียงทำมุม 23½ องศา โลกรับแรงกระทบถึง 2 แรง คือทั้ง แรงยืด-แรงหด และ แรงรับ-แรงเหวี่ยง
ความรู้เหล่านี้ พระอาจารย์นำมาสอนแก่ศิษย์มากกว่า 10 ปี แล้ว และค่อยๆเพิ่มรายละเอียดบางอย่างให้ตรง ประเด็นมากขึ้นตามลำดับ
เหมาะกับกาลเวลา เพราะองค์ความรู้ แม้จะรู้ตั้งแต่ต้นจนจบว่าเป็น อย่างไร หากแต่การเชื่อมโยงอดีตกับอนาคตเข้าด้วยกัน
จำต้องเป็นไปตามเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว จริงๆ อย่างเช่นลายแทงขุมทรัพย์บอกว่า คุณจะไปถึงขุมทรัพย์ได้ คุณต้องผ่านด่านอันตรายถึง
10 ด่านด้วยกัน หากคุณยังไม่สามารถผ่านด่านที่ 7 คุณจะไปเดินในด่านที่ 8 ได้อย่างไร คุณต้อง ปฏิบัติตนตามกติกาที่วางไว้
เช่นเดียวกับองค์วามรู้ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับเวลา และ สถานการณ์เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหลักความรู้ พลังงาน
เทคนิค วิธีการ ฯลฯ ในครั้งนี้เรามารู้จักกับ ความรู้ใหม่ที่ทนแดดทนฝนมานานนับพันปี เพื่อรอการไขปริศนาจากผู้รู้

                สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)


สโตนเฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนาน ประมาณ 5,000-6,000 ปี
ผู้สนใจสามารถหาข้อมูลละเอียดมากเท่าที่ต้องการได้จากแหล่งข้อมูล อื่นๆ หากเป็นความรู้ที่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ทางจิต จำเป็นต้องให้เครดิตกับ “ชาวแอตแลนตีส” ก่อน

เมื่อประมาณ 13,000 ปี ล่วงมาแล้ว มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เป็นศูนย์รวมของ สรรพวิทยาการและอารยธรรมในยุคนั้น เรียกกันว่า “ยุคพีระมิด”
เนื่องจากใช้พลังของพีระมิดเป็น พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต พลังจิต การสื่อสาร การเดินทาง การรักษาโรค การคำนวณบอก
เวลาของดวงดาว และกาแลคซี่ทั้ง 3 (ปฏิทินดาราศาสตร์)

วิวัฒนาการด้าน พลังงาน พลังจิต ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากชาว ดาวอังคาร จนสามารถก้าวไปถึงลำดับสุดท้าย
คือการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการ เปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ

วิวัฒนาการด้านพลังงานมีด้วยกัน 7 ระดับ คือ
1.ความร้อน
2.แสง
3.เสียง
4.แม่เหล็ก ไฟฟ้า
5.ปรมาณู
6.เส้นแสง
7.การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ


1 เดือนล่วงหน้า ก่อนการล่มสลายของมหาอาณาจักร มีนักบวชรูปหนึ่ง เป็นนักบวชใน พระพุทธศาสนายุคที่เหลือแต่พระธรรมคำสอนของ
พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ ก่อนพระสมณโคดมของยุคนี้) นักบวชเป็นผู้มีความสามารถมาก มีพลังจิตสูง รู้อดีต อนาคต
จึงได้รู้ถึงเวลาของการล่มสลาย และ ยุบตัวจมลงในมหาสมุทรของมหาอาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นภาย ใน 1 เดือน
จากสาเหตุการใช้ “อาวุธแสง” ทำสงครามทำลายล้างแผ่นดินคู่อริ นักบวชได้ ชักชวน และอพยพบุคคลที่เชื่อพาลงเรือ เดินทางร่วม 1 เดือน
พ้นออกมาจากการยุบตัวของ ทวีป ขึ้นฝั่งที่แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ นักบวชได้บอกไว้อีกว่า “แผ่นดิน มหาอาณาจักร
แอตแลนตีสนี้ จะคืนกลับอีกครั้งในรอบ 13,000 ปี ข้างหน้า จะเป็นแผ่นดินที่ สมบูรณ์ด้วยทรัพยากร และจิตวิญญาณของมนุษย์”
พร้อมทั้งยืนยันสัจจวาจาในครั้งนั้น โดยใช้ พลังจิตและความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคารสร้างสัญลักษณ์ สฟิงซ์ (Sphinx) ขึ้นด้วยวิธีของ
การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ เพื่อเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ทำ เป็นรูปสิงห์หมอบมีใบหน้าเป็น
ชาวดาวอังคาร จัดวางไว้ในแนวทิศตะวันออก ตะวันตก มีพลังมโนธาตุสำหรับสร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่
อยู่ที่เท้าหน้าขวาของ สฟิงซ์


การสร้างสฟิงซ์มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 อย่าง

1. เป็นสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาของนักบวช ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด เพื่อกลับมา แก้ไขเหตุที่ได้สร้างไว้ในอดีต

2. จมูกสฟิงซ์ เป็นแหล่งของพลังกระแสลมปราณ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการหายใจของ ชาวดาวอังคาร ในยามที่แวะเวียนมาเยือนโลกของเรา
แต่ในที่สุดจมูกถูกอาวุธสงครามทำลาย แตกหักจนจมูกตัน ชาวดาวอังคารจึงค่อนข้างลำบากเมื่อมาท่องโลก

3. เมื่อถึงเวลาครบรอบ ของการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดเข้าสู่อิทธิพลของอีกกาแลคซี่ ผู้กลับมาทำหน้าที่ จะใช้เท้าขวาเหยียบลงบน
เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์ เกิดการขับเคลื่อนของ พลังมโนธาตุ และกระแสลมปราณม้วนหมุนเป็นเกลียวเข้าสู่ศูนย์กลาง สร้างเป็นแกนพลังงาน
โลกใหม่ มีขั้วโลกอยู่ในแนวทิศตะวันออกและตะวันตก

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 05:01:18 pm »

                    นักบวชรูปนั้น มีนามว่า รต (อ่านว่า ระตะ)


นับเป็นเวลาหลายพันปีที่อารยธรรมแอตแลนตีสได้ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง แตกแยกออก เป็นหลายเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ แยกกระจัดกระจายออกจากลุ่มแม่น้ำไนล์ ไปทั่วทุกส่วนของโลก พร้อมกับนำความรู้ของแอตแลนตีส เผยแพร่ อย่างกว้างขวาง เช่น การทำมัมมี่ เคล็ดลับของ การมีอายุยืน พลังพีระมิด รวมทั้งหลักการคำนวณของดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 เป็นปฏิทิน ดาราศาสตร์ ที่อธิบายถึงการสับเปลี่ยนแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก และ ระบบสุริยจักรวาล ในช่วง 26,000 ปี

ชาวมายา (มา ยัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสาย และมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการเผยแพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลก เป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอตแลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้น ด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่ง จัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธี การสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูง ร่วมมือกับ ชาวดาวอังคารในการเปลี่ยนหินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อน แล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิตเปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหิน แท่งใหญ่อีกครั้ง

สโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิด ของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีส ในการถ่ายทอด พลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ ทำสถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่สโตนเฮนจ์ของ ชาวมายาสร้างขึ้น เพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลกเมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี

พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนา และ อ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็น วงกลม 3 วง ไว้ดังนี้

เสาหินวงนอก เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็ก อีก 2 วง หมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่ นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะ มีทั้ง พลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่ อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้งกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแองกุลัม

เสาหินวงกลาง หมายถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะ พลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลก กำลังให้โทษอย่างรุนแรง และ จะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่ เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ ไตรแองกุลัมอีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี

เสาหินวงใน หมายถึง กาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่า กาแลคซี่ทางช้างเผือก พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะ เต็มไปด้วย พลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆ ดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออก ทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิก อีกครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอย่าง สมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี

ฉะนั้นในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ ทางช้างเผือก 13,000 ปี และ อีก 13,000 ปี จะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่า การที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไปทางทิศเหนือเสียที เดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก แต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวันออก 23½ องศา เพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้

การมีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรง ที่แตกต่าง คือ มากกว่าและน้อยกว่า ทำให้กาแลคซี่ ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูดมายังโลกเราในลักษณะดึงเข้า และ ผลักออก เข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืด และ แรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศ ตะวันออก แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็น แรงรับ และแรงเหวี่ยง คือ เหวี่ยงซ้าย-ขวา

ผลจากการรับ แรงกระทบ แรงดึงดูด จากทั้งสองกาแลคซี่ เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรา กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ครบ 5 ขันธ์ ( รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) และ ตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่น ที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะ ขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงาน ท่องเที่ยวไปได้ทั่วจักรวาล และใช้พลังจิต เพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง

ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และ แรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบของแรง เนื่องจากความหนาแน่นของพลังงานแม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิด สภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้ง พร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่


สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจของแรงดึงดูดที่มีต่อโลก และระบบ สุริยจักรวาล ระบบวงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงาน แม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมากยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึง เข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทาง ทิศตะวันออก และ เมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุดจะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือก ไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงเข้าหา กาแลคซี่อันโดรเมดา แต่เนื่องจากกาแลคซี่อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลัง แรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูก อัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงาน จากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดแสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้ง ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏ ขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละคร ปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที จากนั้น จะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพ และ พลังงานของโลก สุริยจักรวาล ครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง เหมือนกับที่ มหาอาณาจักรแอตแลนตีสเคยประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปี ที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็น การวนครบรอบ เปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม นับเป็นเวลา อีกประมาณ 13,000 ปี และ ถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมี ทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่ โดยมีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติก คงมีโอกาสคืนกลับมาเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำ ลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือ ช่วงเวลา 13,000 ปี ครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติ และจิตวิญญาณ ของมนุษย์ นักบวชรูปนั้นได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว


บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 05:03:12 pm »

            ความสัมพันธ์ระหว่างสสาร - พลังงาน กับ กายหยาบ - กายละเอียด


สโตนเฮนจ์ อาจจะบอกความเป็นอนาคตหลายอย่างที่ยากต่อการเชื่อ ผู้เขียนได้นำมาบอก ต่อตามที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ใช้ “ จิต ” ไขปริศนาจากการจัดวางเสาหินเหล่านั้น อนาคตที่โหดร้ายต่อทุกชีวิต ของแต่ละบุคคล ที่มีความผูกพันอย่างเหนียวแน่น โยงใยเป็น เครือญาติ อาจจะต้องมีการพลัดพรากหรือตายจาก องค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ท่านสอนให้อยู่กับปัจจุบัน อนาคตตามรูปแบบที่สโตนเฮนจ์บอกไว้ จะเกิดขึ้น จริงหรือไม่สิ่งเหล่านั้นยังมาไม่ถึง หากจะเกิดจริง เรายังมีเวลาเตรียมตัว เพื่อผ่าน จุดเปลี่ยนอีก 3 ปีเศษ แต่สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญอยู่ทุกวันเหมือนการตายผ่อนส่ง จากการรับพลังงาน แม่เหล็กโลกที่มีคุณสมบัติร้อนและหนักเข้าสู่ร่างกาย ถมเต็มเนื้อเยื่อ เซลล์ อยู่ทุกวินาที ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายที่มนุษย์มีน้อยอยู่แล้วยิ่งลดน้อยลง จนถึงจุดเสื่อมถอย เยียวยารักษาได้ยากยิ่งขึ้น (ภูมิต้านทานร่างกายลดต่ำลงตั้งแต่ประมาณปีพ.ศ. 2544 เป็นต้นมา)

มนุษย์เราอาศัยอยู่ในโลกที่กำลังป่วยหนักจากวิกฤตพลังงานแม่เหล็กโลก มนุษย์จึงต้อง ป่วยตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลองถามตัวท่านเองดูว่าเคยมีอาการอย่างนี้ และเคยได้รับฟังข่าว สุขภาพเช่นนี้บ้างไหม

- รู้สึกหายใจได้ยาก หายใจได้ไม่อิ่ม หายใจได้แค่คอ หรือ บางครั้งเหมือนหายใจไม่เข้า เหนื่อยง่าย

- รู้สึกมึน และปวดศีรษะ น้ำตาไหล หรือ ตาฟาง มองเห็นไม่ชัดโดยไม่ทราบสาเหตุ

- รู้สึกหนักปวดเมื่อยทั่วตัว โดยเฉพาะที่ต้นคอ ไหล่ บั้นเอว จะลุก นั่ง ก้ม เงย เปลี่ยน อิริยาบถได้ลำบาก หรือมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างปัจจุบันทันที

- กลางคืนนอนหลับได้ยาก ชอบตื่นกลางดึก และแทบไม่หลับอีกเลย

- อยู่มาวันหนึ่งตรวจพบว่า มีอาการของเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ทั้งๆที่ไม่เคยมีประวัติ มาก่อน

- ทราบข่าวว่าคนที่รู้จัก เพื่อนฝูง ฯลฯ เป็นอัมพฤกษ์ หรือเสียชีวิตแล้ว ทั้งๆที่เมื่อวานยัง พูดคุยกันเป็นปกติ

- ฟังข่าวบอกว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจาก “การติดเชื้อในกระแสเลือด” หรือบาง คนเป็นนักกีฬาร่างกายแข็งแรง อายุยังน้อยแต่มีอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิตทันที

- พบผู้ป่วยมะเร็งมีเพิ่มมากขึ้น และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

- เชื้อไวรัส และแบคทีเรียได้กลายเป็นแชมป์ประจำปีไปเสียแล้ว

ทุกอาการของโรคและทุกข่าวของการสูญชีวิตที่ได้ยิน ย่อมมีสาเหตุของการเกิดโรคและวิธี ของการรักษา องค์ ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ใช้หลักของคลื่นพลังงานบำบัด เป็นทางเลือกของสุขภาพที่พึ่งตนเอง สนับสนุนการใช้อาหารแทนยา และประเด็นสำคัญ ที่สุดคือ โรคภัยทุกชนิดมีสาเหตุเบื้องต้น สืบเนื่องมาจากพลังงานแม่เหล็กโลกแทบทั้งสิ้น ดังนั้น องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงได้ปรับเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง เพื่อแก้ไข อาการและรับมือกับความใหม่และรุนแรงของโรคทุกโรคได้ทันท่วงที ด้วยการบำบัดรักษาทั้งสอง ส่วน ควบคู่กันไปทั้งรูปหยาบและรูปละเอียด หรือทั้งกายสสารและกายพลังงาน

องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระอาจารย์ ให้ อุบายหลักของวิปัสสนากรรมฐานด้วยการดูกฎไตรลักษณ์ ตัวแรกคือ ความเป็นอนิจจัง (ความไม่ เที่ยง) ดูให้เห็นอาการเกิด-ดับ (ยืด-หด) และการกระทบ 2 ส่วน หรือการหมุนธรรมจักร (รับ-เหวี่ยง) เป็นปัจจุบันขณะ ทั้ง 2 อุบายนี้ หากผู้ฝึกปฏิบัติทำได้ จะให้ประโยชน์ทั้งกายหยาบ และ กายละเอียด (กายสสารและกายพลังงาน) ยังความเป็นปกติสุข และ มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา พลังงานภายในโลกยังมีความสมดุลอยู่ ซึ่งแตกต่างจาก ปัจจุบันอย่างสุดขั้ว

เมื่อองค์ความรู้ฯ ได้พัฒนาเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นทางเลือกของ สุขภาพ จึงมีการใช้อุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิดเพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากการใช้พลังจิตเพียง อย่างเดียว พลังพีระมิดเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยดึงพลังงานละเอียด เช่น พลังกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ และธาตุว่าง เข้าสู่ร่างกาย ทั้งทางลมหายใจเข้า (อากาศ) และ น้ำดื่มพลังกระแส ลมปราณ และพลังมโนธาตุ หากแต่วิกฤตพลังงานกลับทวีความรุนแรงขึ้น องค์ความรู้ฯ จึงพัฒนา ต่อไปอีกเพื่อหาทางรับมือกับความรุนแรงของโรคทุกโรคได้ทันท่วงที ทั้งการป้องกัน และบำบัด รักษา อย่างหวังผลได้จริงอย่างครบถ้วนทั้งรูปหยาบและรูปละเอียด หรือ ทั้งกายสสาร และ กายพลังงาน

ท่านลองจินตนาการนึกถึงอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งให้เห็นเป็นวงกลม ซ้อนอยู่ด้วยกันถึง 4 วง ซึ่งหมายถึงเนื้อเยื่อเซลล์ที่ซ้อนเรียงลำดับจากชั้นในออกมา มี 4 ชั้น

1. นิวเคลียส เป็นธาตุว่าง

2. มโนธาตุ เป็นธาตุสีขาว

3. ปราณ เป็นสีออกเหลือง

4. เซลล์ชั้นนอก เป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ

วงกลมที่ 1 เป็นวงกลมที่อยู่ลึกที่สุด มีขนาดเล็กมาก จนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นจุดศูนย์กลางของเซลล์ ประกอบด้วยธาตุว่าง เรียกว่า นิวเคลียส

วงกลมที่ 2 เป็นวงกลมที่อยู่ถัดออกมา มีลักษณะออกสีขาวเป็นส่วนประกอบของมโนธาตุ คือ ธาตุรู้ของใจ

วงกลมที่ 3 เป็น วงกลมของเซลล์ชั้นกลาง มีลักษณะออกสีเหลือง เป็นส่วนประกอบของ ปราณ หรือ กระแสลมปราณ พลังแห่งชีวิต พลังของภูมิต้านทานร่างกาย และ ยังเป็นพลังงานสำคัญทำให้เลือดไม่ข้น

วงกลมที่ 4 เป็นวงกลมของเซลล์ขอบนอก มีธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญ





จากการจำแนกให้เห็นเซลล์ทั้ง 4 ชั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ จะพบว่ามีสิ่งที่เป็น รูปธรรม จับต้องได้เพียง 1 ส่วน
เพราะมองเห็นโครงสร้าง หรือ รูปเป็นชาย-หญิง โครงสร้าง เหล่านั้นประกอบขึ้นจากการรวมตัวของสสาร เช่น ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
(ธาตุดิน คือ อาหาร หลากหลายที่นำเข้าสู่ร่างกายโดยการบริโภค เป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อ กระดูก เอ็น
ธาตุน้ำ ได้แก่น้ำที่ดื่ม เลือด น้ำเหลือง
ธาตุลม หมายถึงออกซิเจน ไนโตรเจน รวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์
ธาตุไฟ คือความร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญ อาหาร ตลอดจนความร้อนที่ได้รับจาก ดวงอาทิตย์)
ที่ เหลืออีก 3 ชั้นเซลล์เป็นพลังงาน ถ่ายทอดรูปแบบที่เหมือนกันจากวงกลมที่ใหญ่กว่า คือโลก หากเราผ่าโลกออกมาดู จะเห็นได้ตามลำดับดังนี้

1. ชั้นใน เป็นมโนธาตุสีขาว


2. เป็นปราณ สีเหลือง

3. เป็นพลังงานแม่เหล็กโลก สีเทาออกดำ

4. ชั้นนอกเป็นแผ่นดิน พื้นน้ำ อากาศ ป่าไม้สิ่งมีชีวิต ฯลฯ





1, 2 และ 3 เป็นพลังงาน 4 เป็นสสาร




แกนพลังงานโลกซ้อนอยู่ในแกนสสารโลกฉันใด กายพลังงาน (กายละเอียด) จึงซ้อน อยู่กับกายสสาร (กายหยาบ)
เฉกเช่นเดียวกัน หากพื้นผิวโลกที่มนุษย์อาศัยอยู่กำลังจะวิบัติ เพราะพลังงานให้โทษ มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้
คงต้องควานหาพลังงานที่ดีจากอาหารละเอียด อาหารพลังงานที่สามารถช่วยรักษา ฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพ
ได้ทั้งกายสสาร และกายพลังงาน อย่างเป็นรูปธรรม

กายสสาร (กายหยาบ) เป็นกายที่ประกอบขึ้นด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ จึงต้องเลี้ยงดูด้วยอาหารบริโภคที่มี
โครงสร้างด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เหมือนกัน มีการเสื่อมถอย ร่วงโรย ผุพัง ไปตามกาลเวลา อยู่ได้นานไม่เกิน 100 ปี

กายพลังงาน (กายละเอียด) เป็นกายที่ซ้อนอยู่ในกายหยาบ ประกอบขึ้นด้วยพลังกระแส ลมปราณ
พลังมโนธาตุจากแกนพลังงานโลก ซึ่งมนุษย์ทุกคนได้รับมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ของแม่ เป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกับกายหยาบเป็น
“สายใยแห่งชีวิต” บุคคลที่เสียชีวิตแล้ว หากยังดับกิเลส ได้ไม่หมด สายใยแห่งชีวิตนี้จะทำงานร่วมกับกิเลสที่ยังเหลืออยู่
นำไปสู่ภพภูมิใหม่ในสังสารวัฏ
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 05:04:15 pm »

หนังสือ “ทางรอด” วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด นั้น พระอาจารย์ รัตน์ รตนญาโณ
ได้นำเสนอสุขภาพทางเลือก โดยใช้อุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิด ดึงพลังกระแส ลมปราณ พลังมโนธาตุ
ผ่านทางอากาศคือการหายใจ และน้ำดื่ม เช่นสร้อยพลังพีระมิด กระป๋อง ยกอากาศ เตียงพีระมิด พัดลมพีระมิด
น้ำดื่มพลังปราณ-พลังมโนธาตุ ฯลฯ แต่เนื่องจากสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ มิได้มีเพียงแค่อากาศและ
น้ำเท่านั้น ยังต้องมีอาหาร บริโภค และภาวการณ์ขาดพลังกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุมิได้เกิดขึ้นเฉพาะมนุษย์
หากแต่ พืชและสัตว์ทุกชนิด ต่างประสบปัญหาการขาดพลังงานละเอียดทั้งสองอย่างนี้อย่างเท่าเทียมกัน ทำให้พืช ผัก
เนื้อสัตว์ ฯลฯ ที่เคยให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบครัน กลับด้อยคุณค่าลง

“แสงสว่างที่ปลายทางรอด” วิถีแห่งสุขภาพองค์รวมของคลื่นพลังงานบำบัด ยังมี ทางออกของสุขภาพ
เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้ยืนยาวต่อไปได้ตามสมควร ตามสิทธิอันชอบธรรมที่ได้มีโอกาส
เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ในครั้งนี้ องค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ เป็นการใช้พลังพีระมิดดึง
พลังกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ จากชั้นบรรยากาศแทรกลงไปในโมเลกุลของอาหาร เปลี่ยนสภาพจาก
โครงสร้างอาหาร หยาบเป็นอาหารเสริมพลังงานที่อุดมไปด้วย พลังกระแสลมปราณ พลังมโนธาตุ
ที่นอกจากช่วยบำรุงรักษากายละเอียดแล้ว ปริมาณอาหารเสริมพลังงานเพียงจำนวนน้อย แต่
ให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่า ซึ่งเพียงพอกับความต้องการของ กายหยาบ ในแต่ละวัน

                อุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิด


ผู้เขียนตั้งใจจะถ่ายทอด องค์ความรู้ฯเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง และ ผลกระทบ ของ พลังงานแม่เหล็กโลก
อย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยละเอียด แต่เนื่องจากพลังงานแม่เหล็กโลก มีการ ผันแปรที่รวดเร็วจนเกินไป
ทำให้องค์ความรู้ฯ กลายเป็นอดีตได้ภายใน 3 - 5 วัน ผู้เขียนจึง ขอกล่าวถึงแต่เพียงย่อๆ
สำหรับภาวะปัจจุบันของแต่ละปัจจุบันของพลังงานแม่เหล็กโลก (และพลังพีระมิด) ผู้ฝึกปฏิบัติฯ
โปรดติดตามจากคำสอนของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ด้วยตนเอง ต้องไม่ลืมว่าพลังงานแม่เหล็กโลก
คือพลังงานที่หยิบยื่นความเป็นความตายให้ กับมนุษย์ และพลังพีระมิดคืออุปกรณ์ช่วยเหลือชีวิตนอกเหนือไปจาก
พลังจิตและพลังบุญ

การผันแปรของพลังงานแม่เหล็กโลก ในช่วง 6 เดือน

- 7 เมษายน พ.ศ. 2552 พลังงานอัดหนาแน่นมากจนทำให้เกิดสภาพนิ่ง และจุดที่นิ่งเป็นจุดแรก ตามเส้นรุ้ง เส้นแวง
คือประเทศเม็กซิโก เมื่อสภาพนิ่งเกิดขึ้น เชื้อโรคเก่าๆที่เคยหมดพิษสง หรือ มีความรุนแรงน้อยในอดีตจะย้อนกลับคืนมาและ
รักษาได้ยากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุ มาจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย

- ภาวะแน่นหายใจได้ยาก ยังคงทวีขึ้นทุกวัน นอกเสียจากมีแผ่นดินไหว เกิดขึ้นบ้าง ณ จุดหนึ่ง จุดใดของโลก
จึงจะรู้สึกว่าภาวะแน่นค่อยคลายลง หายใจได้โล่งลึก ไปอีกสัก 1-3 วัน

อนึ่ง การจะรู้สึกสัมผัสได้ว่า ลมหายใจของตนเองเป็นอย่างไร ผู้ฝึกปฏิบัติต้องใส่สร้อยพลัง พีระมิดจึงจะสามารถรับรู้ได้

- ตามปกติพลังงานแม่เหล็กโลกจะเคลื่อนที่เร็วกว่าแสงของดวงอาทิตย์ แต่ ตั้งแต่กลางเดือน เมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา
ปรากฏว่าพลังงานแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ที่เท่ากัน กับแสงของดวงอาทิตย์ เกิดการเสียดสีกันระหว่าง
พลังงานทั้งสอง เกิดความร้อนเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งมีแสงปรากฏ “วาบ” ออกมา เป็นสาเหตุทำให้เกิดการ “ช๊อต” หรือ
“สปาร์ค” (Shot, Spark) ขึ้น ทั้งในชั้นบรรยากาศและเซลล์ของมนุษย์

หากการช๊อตเกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศ จะทำให้เชื้อโรคหลายชนิดถูกพลังงานความร้อน ช๊อตจนกลายเป็นธาตุดับ
ทำให้การรักษาทำได้ยากยิ่งขึ้น และถ้าการช๊อตเกิดขึ้นในเซลล์ร่างกาย จะเพิ่มอัตราความผิดปกติของเซลล์อย่างรวดเร็ว
ผลคือมีผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้น

- ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 เชื้อไวรัส 2009 ได้แพร่ระบาดมาถึงประเทศไทย และเชื้อไวรัส 2009 นี้
จะอยู่คู่กับโลกไปอีกนานประมาณ 3 ปีเศษ และพัฒนาความรุนแรง คล้อยตามพลังงานแม่เหล็กโลกเสมอ

- 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ความหนาแน่นเพิ่มมากขึ้นจนทำให้รูจมูกข้างขวาตัน (ไม่มีลมหายใจเข้า ที่รูจมูกข้างขวา
จะสัมผัสได้เมื่อมีพลังพีระมิดติดตัว)

- 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552 รูจมูกข้างซ้ายตัน ผู้ฝึกปฏิบัติฯลองตรวจเช็คได้ด้วยตนเองว่า ไม่มีลมหายใจเข้าทางรูจมูก
ทั้งสองข้างแล้วจริงๆ (จะสัมผัสได้เมื่อมีพลังพีระมิดติดตัว)

- 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552 พลังงานแม่เหล็กโลกถมโลกจนเต็มในแนวดิ่ง (เป็นเส้นตั้งขึ้นเหมือน เส้นรุ้ง) ความหนาแน่น
ทำให้เส้นที่ตั้งอยู่เอนล้มลงอยู่ในแนวระนาบขนานไปกับพื้นดิน เหมือน เส้นแวง ก่อให้เกิดผลร้ายตามมาอย่างยิ่งใหญ่
กับมนุษย์ที่มีแนวกระดูกสันหลังตั้งตรง เพราะพลังงานแม่เหล็กโลกในแนวระนาบ จะมีลักษณะเหมือนกับ
แนวกระดูกสันหลัง ของสัตว์ เลื้อยคลาน หรือสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด (ผู้ไปทางขวาง) การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
เป็นการเสริมพิษให้กับสัตว์เดรัจฉาน และเชื้อโรค มนุษย์จึงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม เพราะสัตว์ใกล้ตัว เช่น มด
ยุง แมลง แมง ฯลฯ จะมีพิษให้โทษมากกว่าเดิม พลังงาน แม่เหล็กโลก ในแนวระนาบนี้จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ช้ากว่า
แสงของดวงอาทิตย์ และการท่วม ในแนวระนาบขณะนี้ ( 18 สิงหาคม พ.ศ.2552 ) ท่วมสูงถึงระดับหน้าผากของผู้เขียน
จะเกิดสิ่งแปลกใหม่อย่างไรต่อไปในอนาคต โปรดอดใจรอ และ ติดตามฟังองค์ความรู้ของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
พร้อมๆกัน

อุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิด ที่ลูกศิษย์ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ มีทั้ง สิ่งที่เหมือนเดิม และ แตกต่างไปจากหนังสือ“ทางรอด”

สิ่งที่เหมือนเดิม ได้แก่ หลักการ และ เหตุผล ของการนำพลังพีระมิดมาประยุกต์ใช้ อุปกรณ์ยังคงมีหลอดแกนพีระมิด
กระป๋องยกอากาศ แถบพลังพีระมิด ฯลฯ

สิ่งที่แตกต่าง คือ ก้อนพีระมิด จะเป็นชนิด เจาะ 2 รูทะลุถึงกัน เพื่อเร่งการปลดปล่อย พลังงานแม่เหล็กโลก
และมลภาวะ ให้พ้นออกไปจากร่างกายอย่างรวดเร็ว หลอดแกนพีระมิด พัฒนามาเป็นสร้อยพลังพีระมิด
ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดวางก้อนพีระมิดอยู่บ่อยๆ เพื่อประโยชน์ที่สำคัญคือ ช่วยให้หายใจได้สะดวก
ปัจจุบันมีลักษณะแบบใด โปรดดูของ จริงได้จากงานฝึกอบรมฯ วิธีจัดวางแถบแกนพีระมิดในปัจจุบันนี้
จะวางอยู่ในแนว ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ หรือแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก สอดคล้อง
กับการเปลี่ยนแปลงของพลังงานแม่เหล็กโลกเสมอ

สิ่งเตือนใจ โปรดอย่าหงุดหงิดรำคาญใจ เมื่อต้องปรับเปลี่ยนสร้อยพลังพีระมิด หรือ อุปกรณ์ประกอบพลังพีระมิดอื่นๆ
เพราะคุณยังโชคดีที่ยังมีโอกาส ได้เปลี่ยนมาใช้ ของใหม่

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 05:05:40 pm »

                อาหารเสริมพลังงาน

อาหารเสริมพลังงานเป็นอาหารมังสวิรัติ มีด้วยกันหลายชนิด จะเลือกผลิตเฉพาะอาหาร ผักและสมุนไพร
ที่อุดมด้วยสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ฯลฯ ที่จำเป็นต่อความต้องการของ ร่างกายในแต่ละวัน
เป็นกลุ่มพืชอาหารหลักที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต

วัตถุดิบที่ได้รับการคัดสรรแล้ว จะถูกนำมาผ่านกระบวนการผลิตด้วยพลังพีระมิด นานประมาณ 3-4 ชม.
โมเลกุลของพืชอาหารเหล่านั้นจึงอัดแน่นเต็มไปด้วย พลังมโนธาตุ และพลังกระแสลมปราณ
เปลี่ยนสภาพจากอาหารรูปหยาบ กลายเป็นอาหารละเอียด อุดมไปด้วยพลังงานที่ดี จึงเป็นทางเลือกของสุขภาพ
ที่สะดวก ด้วยวิธีกลืนแคปซูลอาหาร กับน้ำดื่มภายใน 1-2 นาที อาหารเสริมพลังงานจะละลาย
แตกตัวปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ แทรกซึมเข้าสู่นิวเคลียสศูนย์กลางของเซลล์ทันที ทำหน้าที่ซ่อมแซม
ฟื้นฟู บำบัด รักษา อย่างรวดเร็วจากส่วนที่อยู่ลึกภายในที่สุดออกมายังขอบนอกของเซลล์ เป็นอาหารที่เหมาะกับ
ทุกคน ทุกวัย แม้กระทั่งเด็กเล็ก หวังผล ได้ทั้งการป้องกัน ฟื้นฟูและบำบัดรักษา

พืชอาหารที่ถูกเลือกมาใช้ผลิตเป็นอาหารเสริมพลังงานในขณะนี้ มีด้วยกัน 3 ชนิด คือ สาหร่าย พลูคาว และ มะรุม

ทำไมจึงต้องเป็น สาหร่าย พลูคาว และ มะรุม

ถ้าแยกร่างกายออกเป็นส่วนย่อย 3 ส่วน คือ ส่วนที่เกิดมาจากธาตุดิน ได้แก่ เนื้อ หนัง กระดูก เอ็น ส่วนที่มาจากธาตุน้ำ
ได้แก่ เลือด และน้ำเหลืองส่วนที่เป็นเซลล์ประสาท ทำหน้าที่ เชื่อมการทำงานของแต่ละวงจรอวัยวะ องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้
หากมีส่วนใดส่วนหนึ่ง ทำงาน บกพร่อง จะแยกแต่ละชิ้นส่วนออกมาซ่อมแซมเหมือนอะไหล่รถยนต์ เครื่องจักร ฯลฯ
ย่อมทำ ไม่ได้ เพราะทั้งเลือด น้ำเหลือง เซลล์ประสาท ต่างฝังตัวติดแน่นเป็นเนื้อเดียวกันกับส่วนประกอบ
ของธาตุดิน (เนื้อ หนัง กระดูก เอ็น) ทั่วร่างกาย

ตามกระบวนการผลิตโดยพลังพีระมิด สาหร่าย พลูคาว และ มะรุม เปลี่ยนเป็น อาหารเสริมพลังงานด้วย
สูตรเสริมพลังมโนธาตุ M1900 สามารถแทรกซึมเข้าสู่ นิวเคลียสอย่างลุ่มลึก นุ่มนวล ขับสารพิษที่ตกค้างอยู่ลึก
ในเซลล์ออกมา พร้อมทั้งกระชับ เนื้อเซลล์ให้ นุ่ม เนียน ตึง คืนความสุขสมบูรณ์แก่ร่างกายและจิตใจ
กล่าวได้ว่าเป็น อีก วิธีหนึ่งที่ง่ายและสะดวกในการดูแลกายหยาบและกายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน


            สาหร่าย “เจ้าแห่งธาตุดิน จอมพลังฝ่ายบูรณาการ”

สาหร่ายที่นำมาผ่านกระบวนการผลิต โดยใช้พลังพีระมิดเพื่อเปลี่ยนโมเลกุลจากอาหาร ธรรมดาเป็น
อาหารเสริมพลังมโนธาตุ ใช้สาหร่าย สไปรูลินา (Spirulina) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่าง แพร่หลาย ทั่วทุกภาคของ
ประเทศไทยและในทั่วทุกส่วนของโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน ฟิลิปปินส์ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี

สาเหตุจากความเสื่อมสลายของสภาพสิ่งแวดล้อม ความหนาแน่นของพลังงาน แม่เหล็กโลก การสั่งสมของสารอนุมูลอิสระ ฯลฯ
ทำให้เซลล์ในร่างกายมนุษย์ถูกทำลายลง อย่างรวดเร็ว พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ใช้ “จิต” คิดค้นเพื่อหาวิธีที่จะนำมาต่อสู้
แก้ไข เซลล์ที่ถูกทำลาย เซลล์ อวัยวะทุกส่วนของร่างกายจัดเป็นธาตุดิน เมื่อธาตุดินเสื่อม จำเป็นต้อง
หาวิธีบำรุงธาตุดินอย่างถูกต้อง จึงจะสามารถช่วยชีวิตมนุษย์ไว้ได้ สาหร่าย เป็นอาหารธาตุดินที่มี่ต้นทุน
คุณค่าทางโภชนาการที่ดีเด่นมาก เพียงแต่นำมาอัดพลังมโนธาตุ เสริมให้คุณสมบัติของสาหร่ายเพิ่มมากขึ้นเป็นพันเท่า
เพื่อหวังผลในการซ่อมแซม ฟื้นฟู บำบัดรักษาเข้าลึกถึงนิวเคลียส ศูนย์กลางของเซลล์ที่เสื่อมถอยหรือ
ผิดปกติ (มะเร็ง) ให้คืนกลับเป็นเซลล์ที่ปกติ สมบูรณ์แข็งแรงได้อย่างรวดเร็วทันที เปรียบได้ดั่งเป็นเซลล์ตั้งต้น
ที่มาจากพืช (Stem cell) สมดังฉายาที่ผู้เขียนตั้งให้ว่าเป็น “เจ้าแห่งธาตุดิน จอมพลังฝ่ายบูรณาการ”

สาหร่ายให้คุณค่าทางโภชนาการมากเกินกว่าจะนำมาเขียนไว้ทั้งหมด ( กรุณาค้นคว้า จากแหล่งความรู้อื่นๆเพิ่มเติม )
จึงขอนำมาเป็นข้อมูลเฉพาะสิ่งที่เด่น และจำเป็นต่อสุขภาพ โดยเฉพาะโรคที่เกิดมาจากความเสื่อมถอยของเซลล์
ก่อนวัยควร ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจ เบาหวาน มะเร็ง ไขข้ออักเสบ ฯลฯ

1. เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ (อาจจะมากกว่าถั่วเหลือง แต่ราคาแพงกว่า) ให้โปรตีน บริสุทธิ์จากพืชในปริมาณที่สูงกว่า
เนื้อ ไข่ ร่างกายต้องใช้โปรตีนเพื่อซ่อมแซม ฟื้นฟูเซลล์ และ อวัยวะที่กำลังเสื่อมถอยหรือถูกทำลาย

2. ให้วิตามินหลายอย่าง ทั้ง บี 1, บี 2, บี 3, บี 6, บี 12, วิตามินอี โดยเฉพาะวิตามิน บี 6 และ แมกนีเซียม
จากคลอโรฟิลล์ของสาหร่าย จะทำหน้าที่ช่วยสร้างความสมดุลให้แก่ ตับอ่อน จนสามารถผลิตอินซูลินได้
ทำให้น้ำตาลในเลือดและปัสสาวะลดลง เป็นการแก้ไข อาการเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นคลอโรฟิลล์ของสาหร่าย ยังช่วยให้การทำงาน ของอวัยวะต่างๆดีขึ้น โดยเฉพาะการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
ช่วยลดการอักเสบของกระเพาะ อาหาร-ลำไส้ ช่วยให้บาดแผลแห้งเร็ว และ ฟื้นฟูกระดูกและเซลล์ได้เร็วขึ้น
จึงเป็นการรักษา แผลเป็น ริ้วรอย

3. ให้เบต้า แคโรทีน (Beta carotene) มากที่สุดในกลุ่มพืชอาหารด้วยกัน มากกว่า ในแครอทเกือบ 25 เท่า
และร่างกายจะเปลี่ยนเบต้า แคโรทีน เป็นวิตามินเอ เพื่อลดความ เป็นพิษหรือสลายอนุมูลอิสระ
ให้ผลดีต่อกระบวนการแอนตี้ออกซิเดชั่น (Anti-oxidation) ได้มากกว่า เบต้า แคโรทีนที่ได้มาจากการสังเคราะห์
จึงสามารถต้านมะเร็งได้

4. สาหร่าย อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นธาตุสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง และ ภูมิต้านทานร่างกาย
จึงช่วยแก้ไขโรคโลหิตจาง มะเร็งเม็ดเลือดอย่างได้ผล

5. ไฟโคไซยานิน ( Phycocyanin ) เป็นโปรตีนสีน้ำเงินที่มีอยู่มากในสาหร่าย เป็นสารช่วยกระตุ้น
ภูมิต้านทานร่างกายให้สูงขึ้น จึงช่วยแก้ไขอาการเสื่อมถอยของเซลล์ได้อย่าง ยิ่งยวด

6. ให้กรดอะมิโนที่สมดุลต่อการกระตุ้นการทำงานของระบบสมอง ระบบประสาท เพื่อให้เกิดทั้งการตื่นตัวและผ่อนคลาย

7. ให้กรดไขมันแกมมาไลโนเลนิค (Gamma Linolenic Acid) ช่วยลดคอเลสเตอ รอล ส่งผลดีต่อหัวใจ และ
ภาวะเส้นเลือดตีบได้อย่างวิเศษ มากกว่ากรดไขมันไลโนเลนิค ที่มีอยู่ ในน้ำมันพืชเป็นหลายเท่า

8. สาหร่ายอุดมไปด้วย เส้นใยอาหาร และ กลัยโคเจน ( Glycogen ) ซึ่งช่วยเพิ่ม พลังงาน ให้กับกล้ามเนื้อ
จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

จะเห็นได้ว่าสาหร่ายเป็นพืชอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน เพื่อหวังผล ในการ บำรุง ป้องกัน ฟื้นฟู และ
บำบัดรักษาร่างกาย ตามแนวทางสุขภาพทางเลือกของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ที่ส่งเสริมการรับประทานอาหารเป็นยา


                พลูคาวหรือผักคาวตอง

“ราชินีแห่งธาตุน้ำ ควบคุมการทำงานของเลือดและน้ำเหลือง” เป็นผักพื้นบ้านของ ประเทศแถบอินโดจีน ทวีปเอเชีย
เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย เนปาล และไทย ฯลฯ จัดเป็นพืชล้มลุก มีอายุอยู่ได้หลายปี ให้ประโยชน์ได้ทั้งใบ ลำต้น ราก
มีกลิ่นคล้ายคาวปลา ใบมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ

ผักพลูคาว หรือคาวตอง เป็นผักพื้นบ้านของภาคเหนือ ไม่ค่อยแพร่หลายเป็นที่รู้จักใน ภาคกลางมากเท่าไรนัก
สามารถปลูกได้ดีในทุกสภาพพื้นที่ พันธุ์ที่นำมาใช้ผลิตเป็นอาหาร เสริมพลังมโนธาตุจะเป็นพันธุ์ “ก้านแดง”
จึงจะสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย และ ต้านไวรัสได้ จากการใช้ “จิต” คิดค้นวิธีของการบำบัดรักษาแบบองค์รวมฯ
ตามแนวทางของ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จำเป็นต้องเสริมทั้งธาตุดินและธาตุน้ำควบคู่กันไป เพราะการเสื่อมถอยของธาตุดิน
หรืออวัยวะทั่วทุกส่วนของร่างกาย ย่อมหมายความว่า ความผิดปกติ เหล่านั้นได้เกิดขึ้นกับธาตุน้ำ ซึ่งอาศัยอยู่ในธาตุดินด้วยเช่นกัน
การฟื้นฟูบำบัดรักษาจะส่งผลได้ อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ร่างกายต้องมีพลังงานที่สมดุลสอดคล้องกัน
ดังนั้นองค์ความรู้ฯ จึงได้พลูคาวมาเป็น “ราชินีแห่งธาตุน้ำ ควบคุมการทำงานของเลือดและน้ำเหลือง”
เคียงคู่ไปกับการเสริมธาตุดินด้วยสาหร่าย


ประโยชน์ที่สำคัญ

1. ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายให้สูงขึ้น ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ช่วยต้านเนื้องอก
รวมทั้งช่วยขับพิษที่จะเป็นสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย ซึ่ง หมายถึงสามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้ดีมาก

2. ช่วยต้านและทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น มะเร็งปอด รังไข่ สมอง ลำไส้ใหญ่ ปากมดลูก เต้านม ทางเดินอาหาร
และทางเดินหายใจ

3. ให้สารธรรมชาติที่ช่วยต้านเชื้อไวรัส เช่น เริม งูสวัด เอดส์ ไข้หวัดทุกชนิด

4. ช่วยขับประจำเดือนเพื่อการไหลเวียนของเลือด รักษากามโรคและช่วยทำให้น้ำเหลืองแห้ง

5. ลดอาการอักเสบของฝี ปอด หลอดลม ไอ บิด ริดสีดวงทวาร ต้านเชื้อรา และ แบคทีเรียได้หลายชนิด

6. มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยขับปัสสาวะ

7. ลดไข้ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ความดันโลหิตสูง

8. ช่วยในการถนอมรักษาผิวพรรณ แก้ไขฝ้า กระ ช่วยให้ใบหน้าผ่องใส คืนความ เปล่งปลั่งสมบูรณ์ให้แก่ เนื้อเยื่อ เซลล์
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 05:07:08 pm »

                มะรุม “เจ้าชายสิบทิศ”


มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง โตเร็ว มีถิ่นกำเนิดในอินเดียใต้ หรือศรีลังกา ปลูกได้ดีทั่วๆ ไปในเขตอากาศร้อน
เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ แม้แต่บนคาบสมุทรอาหรับ ทวีปแอฟริกา สามารถทนต่อความแห้งแล้ง
และดินเลวได้ดีมาก ในประเทศไทยนิยมปลูกทั่ว ทุกภาค สำหรับภาคอีสานปลูกกันแทบทุกครัวเรือน
เป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ทั้ง ดอก ฝัก ใบ ราก เมล็ด น้ำมันจากเมล็ด (เมล็ดแห้งนำมาคั่วสุก กินเหมือนถั่วลิสงคั่ว
น้ำมันจาก เมล็ดนำมาใช้กินเป็นอาหาร สกัดเป็นน้ำมันหอม และใช้ในเครื่องสำอาง) นับว่าเป็นต้นไม้ สารพัดประโยชน์
คือเป็นผักที่ดีทั้งรสชาด และให้คุณค่าทางอาหาร และสมุนไพรอย่าง ครบถ้วน ให้สารอาหารที่สามารถช่วย
กำจัดอนุมูลอิสระได้อย่างยิ่งยวด ส่วนของมะรุม ที่ชาวไทยคุ้น เคยนำมาปรุงเป็นอาหารมากที่สุดคือ
ผล ที่เรียกว่า “ฝัก”อ่อน ซึ่งนิยมนำมาทำ แกงส้ม ยอดอ่อนและช่อดอกนำมาลวกหรือดองจิ้มน้ำพริก

สำหรับองค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ บอกไว้ว่า มะรุมช่วยควบคุมการ ทำงานของเซลล์ประสาททั่วร่างกาย
โดยเฉพาะสมอง และนัยน์ตา จึงสัมพันธ์กับ ความมีอยู่ และการทำงานของธาตุดิน และธาตุน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย
ใบมะรุม ก้านอ่อน และดอก คือส่วนที่นำมาทำเป็นอาหารเสริมพลังมโนธาตุ

ประโยชน์ที่สำคัญ

1. มะรุมให้สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ที่สำคัญคือ รูทิน และ เควอเซทิน (Rutin และ Quercetin) สารลูทีน
และกรดแคฟฟิโอลิลควินิก (Lutein และ Caffeoylquinic acids) ซึ่งมีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ ดูแลจอประสาทตา
ตับ หัวใจ และหลอดเลือด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพ ของเซลล์หรือมีฤทธิ์ช่วยชะลอความแก่ก่อนวัย
นอกจากนั้น มะรุมยังให้สารอีกหลาย ชนิด มี ฤทธิ์ ต้านจุลชีพ ต้านแบคทีเรีย ต้านการเกิดมะเร็ง

2. ใบ นับว่าเป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูงที่สุดอย่างหนึ่งทีเดียว ให้โปรตีนสูงถึง 26% ให้ปริมาณของแคโรทีนสูง
ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในภายหลัง ให้วิตามินซี อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และแคลเซียม

3. ช่วยลดความดันโลหิต แก้ปวดตามไขข้อ อาการชาตามประสาทมือ-เท้า

4. เส้นใย (Fiber) ช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ลำไส้ ช่วยในการระบายขับถ่าย

5. มีฤทธิ์ ช่วยลดไขมัน และคอเลสเตอรอล

มะรุม ทำหน้าที่เปรียบเสมือนทหารกล้า ป้องกันระแวดระวังทั่วอาณาเขตของร่างกาย ไม่ให้เกิดโรคภัยมาเบียดเบียน
มีฤทธิ์รอบตัวเหมาะกับฉายา “เจ้าชายสิบทิศ” เสียเหลือเกิน

ทั้งสาหร่าย พลูคาว มะรุม ต่างให้ประโยชน์สำคัญเหมือนกัน คือเป็นสารต้าน อนุมูลอิสระที่ทรงพลัง
ช่วยชะลอการเสื่อมถอยและการทำลายเซลล์

สาหร่าย พลูคาว มะรุม เป็นอาหารเสริมพลังมโนธาตุ ให้ประโยชน์ดังได้กล่าวมาแล้วข้าง ต้น เป็นวิธีบำบัดรักษาลึกลงไป
ถึงนิวเคลียสศูนย์กลางของเซลล์ ซึ่งมีมโนธาตุเป็นส่วนประกอบที่ สำคัญ จึงทำให้หวังผลในการฟื้นฟูเซลล์ได้จริงและ
จะเห็นผลได้อย่างชัดเจนภายใน 10 วัน

ท่านรับประทานสาหร่าย พลูคาว มะรุมแคปซูล วันละ 2-3 ครั้ง อย่างละ 1 แคปซูลเท่านั้น รับประทานได้ไม่จำกัดเวลา
เพียงแต่ทิ้งระยะห่างของแต่ละครั้งให้ได้ 3 ช.ม. หากรับประทาน ก่อนนอน พลังมโนธาตุในอาหารแคปซูลจะช่วย
ทำให้นอนหลับสบาย และถ้ารับประทานก่อนมื้อ อาหาร 1 ชม. จะช่วยให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ในทางกลับกัน
ถ้ารับประทานหลังมื้อ อาหาร จะทำให้รู้สึกอิ่มนาน

หากท่านเป็นผู้ป่วยหนักเช่น มะเร็ง ควรต้องใช้ทั้งสาหร่าย พลูคาว และ มะรุม (รวมทั้งการฝึกจิตวิธี “ถู” และ “หมุน”)

หากท่านไม่ต้องการเป็นมะเร็งเนื่องจากเซลล์ เลือด น้ำเหลือง มีอาการผิดปกติ เพราะร่างกายขาดสารต้าน
อนุมูลอิสระ ท่านยิ่งจำเป็นต้องรับประทานให้ครบทั้ง สาหร่าย พลูคาว และมะรุม เพราะการป้องกัน
ย่อมทำได้ง่ายกว่าการบำบัดรักษา

สิ่งที่ต้องรู้ อาหารเสริมพลังมโนธาตุ สาหร่าย พลูคาว และมะรุม ให้ประโยชน์ในการ ป้องกัน ฟื้นฟู และ
บำบัดรักษาร่างกายได้แทบทุกโรค โดยเฉพาะกลุ่มอาการของโรค ที่มีสาเหตุ มาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ทั้งเพศชาย-หญิง (วัยทอง)


ขั้นตอนการทำงานของพลังมโนธาตุ

1. ดัน ระบายของเสีย (Detoxification) ที่เกิดจากการสะสมของสารพิษตกค้าง จากส่วน ลึกที่สุดของเซลล์ออกมา
ดังนั้นขณะพลังมโนธาตุกำลัง ดัน ระบาย จะรู้สึกเจ็บปวด หรือมี อาการของโรคเพิ่มมากขึ้น เช่น ถ้าเป็นโรคภูมิแพ้
หืด หอบ ผู้ป่วยจะมี ไอ จาม คัดจมูก มีเสมหะ เพิ่มมากขึ้น ผู้ป่วยมะเร็งจะรู้สึกเจ็บเพิ่มมากขึ้นบริเวณที่เป็น มะเร็ง
เลือด น้ำเหลืองเสีย จะถูกขับออกมากกว่าเดิม ฯลฯ

2. หลังกระบวนการดัน ระบายของเสีย จะทำให้เกิดช่องว่างในเซลล์ พลังมโนธาตุ และ คุณสมบัติพิเศษของ
พืชอาหารแต่ละชนิด จะทำหน้าที่ช่วยบำรุง ฟื้นฟู บำบัดรักษา และคุณสมบัติ ล้ำค่าของพลังมโนธาตุ
คือช่วยกระชับเซลล์ให้นุ่ม เนียน แน่น ตึง และใสกระจ่าง จากภายใน ออกมาภายนอก ต้องไม่ลืมว่าการป้องกัน
ทำได้ง่ายกว่าการบำบัดรักษา

3. ช่วยเพิ่มความรู้สึกนึกคิด จิตใจ ให้อยากประพฤติปฏิบัติเฉพาะสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ทั้ง ส่วนตน และผู้อื่นเสมอ

นอกจากนั้น ในกลุ่มของพืชอาหารได้นำข้าวกล้องมาผ่านกระบวนการผลิต อัดพลัง กระแสลมปราณ P1900
แทรกลงในโมเลกุลของข้าว เพื่อให้พลังงานทำงานในระดับ ขอบ นอกของเซลล์ทันทีที่ร่างกายต้องการ
อย่างเร่งด่วน ในภาวะที่รู้สึกหายใจยาก กล้ามเนื้อ อ่อนแรง เป็นลมหมดสติ เส้นเลือดอุดตันเฉียบพลัน
หรือเพิ่งมีอาการหัวใจวาย หากกลืน กับน้ำดื่มไม่ได้ ให้เทออกจากแคปซูล อมไว้ในปาก หรือขบแคปซูลให้แตกและอมไว้
พลังกระแส ลมปราณจะเพิ่มพลังงานให้กับหัวใจ ปอด ทันที จึงมีโอกาสรอดชีวิตสูง

ถ้ารับประทาน 1-2 แคปซูล ก่อนการออกกำลังกาย พลังกระแสลมปราณ และคาร์โบไฮ เดรต จะช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกิน
ได้มากกว่าเดิม ถ้ารับประทานก่อนนอน 1 แคปซูล จะช่วย ให้นอนหลับสบาย และลดภาวะเสี่ยงต่อ
ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวระหว่างหลับ

เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารหลักได้จากข้าวทุกชนิด เป็นอาหารประจำวันที่คนไทย ทุกคนได้รับเข้าสู่ร่างกาย
ในปริมาณเกินพอเพียงอย่างน้อยวันละ 2 มื้อแล้ว ฉะนั้นข้าวกล้องงอก แคปซูลจึงแนะนำให้ใช้เป็นครั้งคราว ยามเมื่อมีความจำเป็น

ในกลุ่มของพืชสมุนไพร ได้มีการนำฟ้าทะลายโจรมาผ่านกระบวนการผลิต อัดพลัง กระแสลมปราณ P1900
แทรกลงไปในโมเลกุลของฟ้าทะลายโจร มีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะ เป็นธาตุความดับ จึงควรใช้เป็นครั้งคราว
ยามจำเป็นในปริมาณน้อย เพื่อช่วยแก้ไขอาการ ไข้หวัด ไวรัส 2009

วิธีรับประทานฟ้าทะลายโจร P1900 อย่างปลอดภัย


1. เมื่อรู้สึกหรือสงสัยว่าเป็นหวัด โดยอาจจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย นอกเหนือไปจาก การมีไข้สูง เช่น มีน้ำมูก
หรือเจ็บคอ ไอ จาม ฯลฯ ให้กลืนฟ้าทะลายโจรแคปซูลกับน้ำดื่ม ทันที 2 แคปซูล โดยไม่ต้องรอดูอาการว่าใช่
ไวรัส 2009 หรือไม่

2. รับประทานหลังมื้ออาหาร และก่อนนอนครั้งละ 1แคปซูล

3. หากรู้สึกว่าหายหรือร่างกายดีขึ้นเป็นปกติ ให้หยุดรับประทานทันที

4. หากต้องรับประทานต่อเนื่อง ให้รับประทานได้ไม่เกิน 13 แคปซูล/คน/1ครั้ง ที่มีอาการ


หลักการสำคัญของทางเลือกของสุขภาพโดยใช้พลังงานบำบัด ให้ความสำคัญกับ วิธีของการป้องกันสุขภาพ
มากกว่าการบำบัดรักษา เพราะการป้องกันสามารถทำได้ง่ายกว่า หลายเท่านัก หากมีภูมิต้านทานร่างกายสูงหรือเป็นปกติ
ในยามที่มีอาการเจ็บป่วยบ้างในบางครั้ง อาการจะไม่รุนแรง ใช้เวลาในการฟื้นฟู บำบัดรักษาให้หายเป็นปกติได้ในเร็ววัน

ผู้ที่สนใจ เลือกปฏิบัติตนเองตามองค์ความรู้ฯ ทางเลือกของสุขภาพ ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จึงควร
ให้ความสำคัญ กับการดื่มน้ำพลังพีระมิด อาหารเสริมพลังงานสูตรเติมพลัง มโนธาตุ M1900 ของสาหร่าย พลูคาว
และมะรุม เพื่อช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคในระยะยาว อย่างค่อยเป็นค่อยไป

ในอนาคตองค์ความรู้คงจะมีการพัฒนานำพืชอาหาร หรือสมุนไพรชนิดอื่น ที่ให้ประโยชน์ ต่อร่างกายเป็นพิเศษ
เหมาะสมกับช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงของพลังงานแม่เหล็กโลก มาผ่าน กระบวนการผลิต เพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์
ต่อการดำรงชีวิต ให้อยู่ได้โดยมีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง มีโอกาสฝึกปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ตลอดไป.....

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: