ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ์ จากบันทึกของ 3 ศาสนา
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ์ จากบันทึกของ 3 ศาสนา  (อ่าน 3257 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:46:24 pm »

"ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ์"
จากบันทึกของศาสนาอิสลาม









รัฐบาลโลกของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) มีเป้าหมายและทุกเป้าหมายของท่านล้วนเป็นความจริง และเป็นหลักการทั้งสิ้น ซึ่งรากที่มาของหลักการเหล่านั้นหยั่งลึกอยู่ในความคิดของมนุษย์ทุกคน และทุกคนต่างมีความหวังว่าวันหนึ่งเขาจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นให้จงได้ นโยบายของรัฐบาลวางอยู่บนพื้นฐานของอัล-กุรอาน และแบบฉบับของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) นโยบายทุกประการล้วนได้รับการประกันในการปฏิบัติทั้งสิ้น

ดังนั้น การปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่นี้จะสร้างความตะลึงงันแก่ชาวโลกทั้งหลาย และจะได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก อีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นคำตอบแก่ความต้องการของผู้คนทั้งหลาย ทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรได้ฝากสิ่งนี้ไว้ในตัวของมนุษย์ทุกคน ณ ที่นี้จะขอกล่าวถึงบางรายงานที่บ่งบอกถึงการได้มาซึ่งรัฐของอิมามมะฮดีย์ (อ.) และคุณสมบัติสำคัญของรัฐบาล

1. การเรียกร้องความยุติธรรม

รายงานจำนวนมากกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือรายงานที่กล่าวถึงการยืนหยัด และการปฏิวัติของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ซึ่งท่านจะทำให้โลกเต็มไปด้วยความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม ดังที่อธิบายไปแล้วในบทที่กล่าวถึงเป้าหมายของรัฐบาล ส่วนในบทนี้จะขออธิบายเสริมแก่นแท้ของความจริงจากบทที่แล้วที่ว่า การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) วางอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม การดำเนินความยุติธรรมของอิมามประดุจดังสายน้ำที่ไหลรินไปทั่วทุกพื้นที่

สังคมทุกสังคมจะมีความเสมอภาคเหมือนกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้น สีผิว และเชื้อชาติแต่อย่างใด และจะไม่มีสังคมใดไม่ว่าจะเป็นสังคมใหญ่หรือเล็ก ที่จะตกค้างอยู่นอกจากถูกปกครองด้วยความยุติธรรมได้ และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลก็จะไม่เกิดขึ้น นอกจากวางอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม

อิมามซอดิก (อ.) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ขอสาบานด้วยพระนามของพระเจ้าว่า ความยุติธรรจะถูกนำไปสู่บ้านทุกหลัง ดุจดังเช่นความร้อนและความหนาวเย็นที่ได้ไหลเวียนเข้ามาในบ้าน[1]

เมื่อบ้านซึ่งถือว่าเป็นหน่วยเนื้อของสังคมที่เล็กที่สุดมีการปกครองด้วยความยุติธรรม สมาชิกภายในบ้านทุกคนมีความสัมพันธ์และมีความยุติธรรมต่อกัน นั่นบ่งบอกให้เห็นว่ารัฐบาลโลกของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความยุติธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับมาตรการของกฎระเบียบทางสังคมแต่อย่างใด แต่ทว่าขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอนของอัล-กุรอาน ที่มุ่งเน้นให้มีการรณรงค์เรื่องความยุติธรรมอันเป็นหัวใจสำคัญของสังคม

ดังที่อัล-กุรอาน บทอันนะฮฺลิ โองการที ่90 สำทับว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงกำชับให้รักษาความยุติธรรมและกระทำดี ฉะนั้น รัฐบาลของอมามจึงมีหน้าที่ให้การอบรมสั่งสอนประชาชาติ เพื่อให้พวกเขารู้จักหน้าที่ของตนเอง หน้าที่ต่อบุคคลอื่น และหน้าที่ ๆ มีต่อพระเจ้า และเมื่ออยู่ในสังคมจำเป็นต้องให้ความเคารพสิทธิของคนอื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบกันและกันแม้ว่าด้านเกียรติยศจะมองดูว่าเป็นสิ่งไม่มีเกียรติก็ตาม

สังคมที่รอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความยุติธรรมถือว่าเป็นพื้นฐานหลักด้านวัฒนธรรม โดยมีอัล-กุรอานและรัฐบาลที่ปกครองเป็นตัวสนับสนุน ซึ่งจะมีบางกลุ่มชนที่มีจำนวนจำกัดเป็นฝ่ายคัดค้านไม่เห็นด้วย เนื่องจากพวกเขาเป็นพวกแสวงหาผลประโยชน์ ถูกปิดกั้นจากความโปรดปราน และห่างไกลจากหลักคำสอนสั่งของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (ทายาทแห่งครอบครัวของท่านศาสดา ขอความสันติพึงมีแด่พวกเขา) รัฐบาลที่มีความยุติธรรมจะจัดการกับพวกเขาในขั้นเด็ดขาด และจะไม่อนุญาตให้พวกเขาก่อร่างสร้างตัวในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันไม่ให้พวกมีอิทธิพลขึ้นมาไม่ว่าในด้านใดก็ตาม

แน่นอน ความยุติธรรมจะเป็นตัวเรียกร้องความร่วมมือในการสรรสร้างแนวทาง เพื่อเตรียมพร้อมและรองรับการมาของรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ดังนั้น เป้าหมายที่สูงส่งที่สุดของรัฐบาลอิมาม ซึ่งจะทำหน้าที่เปลียนแปลงโลกคือ การสร้างความยุติธรรมให้เปี่ยมล้นทั่วแผ่นดินในรูปแบบที่มีความสมบูรณ์ที่สุด ด้วยเหตุนี้ การกดขี่ทั้งหลายตลอดจนการทำลายสัจธรรมความจริงทั่วทุกมุมโลก แม้แต่การเอาเปรียบกันภายในครอบครัวจะถูกกำจัดลงอย่างสิ้นเชิง

2. การสร้างความเติบโตด้านความคิด จริยธรรม และความศรัทธา


กล่าวไปแล้วในบทก่อนหน้านี้ว่าผู้คนทั้งหลายจะตะลึงงันกับความยุติธรรมในสังคม ที่เกิดจากหลักคำสอนที่ถูกต้อง การเติบโตของวัฒนธรรมแห่งอัล-กุรอาน และคำสอนของบรรดาอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.) รายงานส่วนใหญ่ของเรากล่าวยืนยันถึงการสร้างความคิด จริยธรรม และความศรัทธาของประชาชนภายใต้การปกครองของรัฐบาลอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ไว้เป็นจำนวนมาก

อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า เมื่ออิมามมะฮฺดีย์ของเรายืนหยัดขึ้นความเมตตาของเขาจะแผ่ปกคุมเหนือประชาชาติทั้งหลาย และเนื่องจากความสิริมงคลนั้นเองจะทำให้สติปัญญาของพวกเขามีความสมบูรณ์[2]

ความดีงามและความสวยงามทั้งหลาย จะเกิดตามมากับสติปัญญาที่มีความสมบูรณ์ของมนุษย์ เนื่องจากสติปัญญาคือผู้บังคับบัญชาภายในของมนุษย์ ซึ่งมีหน้าที่ปกครองดูแลสายตา ชีวิต ความคิด และการกระทำของมนุษย์ คอยชี้นำให้พวกเขาให้ไปสู่ความถูกต้อง การปรับปรุงแก้ไข และยังเชิญชวนพวกเขาไปสู่การเป็นบ่าวที่เคารพภักดีต่อพระเจ้าเพียงองค์เดียว ร่วมทางและนำทางพวกเขาไปสู่ความเจริญผาสุก

มีผู้ถามอิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) ว่าสติปัญญาหมายถึงอะไร
อิมาม (อ.) ตอบว่า สติปัญญาหมายถึง ธาตุแท้หนึ่งอันเป็นสาเหตุให้มนุษย์เคารพภักดีต่อพระเจ้า และด้วยการชี้นำของปัญญามนุษย์จึงไดัรับสรวงสวรรค์[3]

แน่นอน ดังที่เห็นเป็นประจักษ์อยู่ในสังคมปัจจุบันว่าสังคมที่ปราศจากอิมาม และการปกครองของท่านจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกิเลสและความต้องการของอารมณ์ฝ่ายต่ำ ซึ่งอารมณ์จะเป็นฝ่ายมีชีชัยเหนือสติปัญญาเสมอ สังคมส่วนใหญ่จะตกอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มชนที่หลงใหลในอำนาจ อันเป็นสาเหตุทำให้สังคมเกิดความอ่อนแอ สิทธิของผู้ด้อยโอกาสในสังคมถูกฉ้อฉล คุณค่าและสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าถูกลืมเลือนไปจากสังคม

ตรงกันข้ามกับสังคมที่รอคอยการปรากฏกายของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) พวกเขาจะรักษาตนเองให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของคำสั่งของท่านตลอดเวลา ซึ่งเรียกว่าการมีสติสัมปชัญญะถาวร สัมมาสติของเขาจะทำหน้าที่ตัดสินใจในการงานต่าง ๆ แทนอารมณ์ ดังนั้น สติปัญญาที่มีความสมบูรณ์จะไม่ออกคำสั่งให้กระทำการใด ๆ นอกจากสิ่งที่มีความสมบูรณ์และความสวยงามเท่านั้น

3. ความเป็นเอกภาพและความห่วงใย

ตามรายงานส่วนใหญ่ของบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จะมีความเป็นเอกภาพและภาดรภาพมีความรักใคร่กลมเกี่ยวกัน เมื่อรัฐบาลของอิมามถูกจัดตั้งขึ้นหัวใจของผู้ที่เป็นบ่าวที่แท้จริงจะไม่มีความอคติใด ๆ และไม่คิดเป็นศัตรูต่อกันและกัน

อิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า
وَلَو قَد ْقَامَ قَائِمُنَا ... لَذَهَبَتِ الشَّحْنَاءُ مِنْ قُلُوْبِ الْعِبَادِ ..
แน่นอน เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้น ความอคติจะูถูกถอดถอนไปจากหัวใจของปวงบ่าว

ในเวลานั้นจะไม่มีข้ออ้างสำหรับความอคติอีกต่อไป เืนื่องจากเป็นกาลเวลาของความยุติธรรม ความเป็นเอกภาพและภาดรภาพในสังคม จะไม่มีสิทธิของผู้ใดถูกฉ้อฉลหรือถูกทำลายเด็ดขาด เป็นกาลเวลาของการใช้สติปัญญาและความใคร่ครวญ วันนั้นอารมณ์จะไม่ถูกนำมาใช้ในสังคม ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จึงไม่มีช่องว่างสำหรับการสร้างความเป็นศัตรูและความอคติต่อกัน จิตใจของประชาชนที่เหินห่างจากกันก่อนหน้านั้น จะถูกทำให้มีความรักใคร่กันและความสมานฉันท์กัน

ทั้งหมดจะมีความเป็นมิตรและมีความเสมอภาคกัน ดังที่อัล-กุรอาน บทอัลฮุจรอต โองการที่ 10 กล่าวว่า แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน ฉะนั้น เมื่อพวกเขามีความเป็นพี่น้องกันการเห็นอกเห็นใจ ความเมตตา และความห่วงใยจึงบังเกิดในหัวใจของพวกเขา

อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวถึงช่วงการปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า ในช่วงเวลานั้น พระเจ้าจะทรงทำให้หัวใจของมนุษย์ทุกดวงที่หันห่างจากกันมีความสมานฉันท์รวมเป็นหนึ่งเดียว และมีความรักต่อกัน[4]

เมื่อพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางภารกิจการงานของมนุษย์ จึงไม่ใช่เรืองแปลกแต่อย่างใดทีสังคมจะมีความเป็นเอกภาพ มีความใกล้ิชิด และมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อกัน ซึ่งสังคมโลกปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับความล้มเหลวอย่างรุนแรง มีการต่อต้าน แก่งแย่งชิงดี และสร้างความเป็นศัตรูต่อกันไม่สามารถคิดถึงสังคมเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน

อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้นความเป็นมิตร และความห่วงใยที่แท้จริงจะถูกอธิบายแก่สังคม ผู้ที่ขัดสนเขาสามารถหยิบสตางค์จากกระเป๋าของพี่น้องผู้ศรัทธาของเขาเท่าที่เขาต้องการได้ ซึ่งพี่น้องของเขาจะไม่หวงห้ามหรือขัดขวางเขา[5]

4. สุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ

หนึ่งในปัญหาสำคัญของสังคมปัจจุบันทุกวันนี้คือ อาการป่วยไข้ที่ไม่มีวันเยียวยารักษาให้หายขาดได้ ซึ่งมีสาเหตุมากมายหลายประการด้วยกันหนึ่งในสาเหตุเหล่านั้นคือ สภาพแวดล้อมมีความสะอาดไม่เพียงพอ อาจเป็นเพราะว่าร่องรอยของระเบิดเคมี ปรมาณู ระเบิดเชื้อโรค มลภาวะต่าง ๆ และสาเหตุอื่นอีกมากมาย เช่น การการผิดประเวณีและการสมสู่ที่ไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนาและประเพณีนั้น ๆ ตลอดจนการแสดงรักร่วมเพศ ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคร้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายตามปกติได้ เช่น โรคเอดส์ที่โลกกำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน

ตลอดจนการทำลายธรรมชาติ เช่น การทำลายป่าไม้ แม่น้ำลำธาร และมหาสมุทรอันเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคระบาดต่าง ๆ อีกมากมายหลายชนิดอันเป็นปัญหาหนักของโลก แม้แต่กรมอานามัยโลกเองก็หมดหนทางที่จะเยียวยารักษาโรคร้ายเหล่านี้ให้หายไปจากโลกได้ นอกจากอาการป่วยไข้ทางกายแล้วมนุษย์ยังมีอาการป่วยไข้ทางใจหรือทางจิตวิญญาณอีกต่างหาก ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่รุนแรงสำหรับมนุษย์ เพราะโรคร้ายนี้ได้ลิดรอนเสรีภาพของมนุษย์ไปจนหมดสิ้น มันสร้างความขมขื่นและยากที่อดทนต่อไปได้ สาเหตุเกิดจากความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดของผู้ปกครองที่มีต่อโลกและมนุษย์

รัฐบาลโลกของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นรัฐบาลที่เร่งพัฒนาด้านความยุติธรรมให้เกิดขึ้นบนโลกโดยเร่งด่วน เป็นรัฐบาลที่ธำรงความดีงาม ความประเสริฐ ยกระดับฐานะของมนุษย์ให้ไปสู่ความสมบูรณ์และความสวยงาม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับประชาชนเป็นความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ทุกคนมีความเสมอภาคกันความป่วยไข้ทั้งทางกายและทางใจจะหายไปจากสังคม ในทางตรงกันข้ามร่างกายและจิตใจของมนุษย์จะแข็งแรงเป็นพิเศษอย่างหน้าอัศจรรย์ใจ

อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า เมื่ออิมามมะฮฺดีย์ ยืนหยัดขึ้นพระเจ้าจะทรงทำให้อาการป่วยไข้ทั้งหลายพ้นหายไปจากบรรดาผู้ศรัทธา และทรงทำให้พวกเขาสมบูรณ์แข็งแรงมีสุขภาพพลานามัยที่ดี[6]

ภายใต้การปกครองของรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) วิชาการต่าง ๆ จะมีความก้าวหน้าและพัฒนาไปอย่างสมบูรณ์ที่สุด สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ประชาชาติโดยทั่วไปในวันนั้นไม่มีโรคร้ายใดที่รักษาไม่หาย วิชาการทั้งด้านการแพทย์และเทคโนโลยีจะพัฒนาตนไปอย่างไกลโพ้นชนิดที่ไม่เคยมีผู้ใดคาดคิดมาก่อน นอกจากนั้นแล้วด้วยความสิริมงคลของการมีอิมามอยู่ท่ามกลางพวกเขา ผู้ป่วยจำนวนมากมายจะได้รับความอนุเคราะห์ (ชะฟาอ์) โดยตรงจากอิมาม

อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า บุคคลใดได้สัมผัสกับมะฮฺดีย์ของเรา ถ้าเขาป่วยไข้ชนิดรุนแรงเขาจะได้ชะฟาอะฮฺ (ความอนุเคราะห์) โดยตรงจากอิมาม ถ้าเขาทุกลภาพและไร้ความสามารถเขาจะมีสุขภาพที่สมบูรณ์และเป็นผู้มีความสามารถ[7]

5. ความดีงามและความสิริมงคลจะเปี่ยมล้นไปทั่ว


ข้อพิสูจน์และเหตุผลอันต่าง ๆ ของรัฐบาลอิมามมะฮฺดีย์คือ ความดีงามและความสิริมงคลจำนวนมหาศาลจะถูกพรั่งพรูออกมาชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ท้องฟ้าจะหลั่งสายฝนลงมาอย่างต่อเนือง พืชก็จะงอกเงยขึ้นจากแผ่นดิน ทำให้ทุกพื้นที่อุดมสมบูรณ์และเขียวชอุ่มไปด้วยพืชและหมู่มวลแมกไม้นานาพันธ์ ให้ความสุขแก่ชีวิตชีวาและสร้างความจำเริญใจอย่างยิ่ง เหล่านี้เป็นความโปรดปรานของพระเจ้าที่ไม่อาจคำนวณนับได้

อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า พระเจ้าทรงหลั่งไหลความจำเริญทั้งจากฟากฟ้าและแผ่นดิน เนื่องจากการมีอยู่ของอิมามมะฮฺดีย์ ท่ามกลางการปกครองของท่านพระองค์จะหลั่งความจำเริญจากฟากฟ้า และให้งอกเงยขึ้นจากแผ่นดิน[8]
ภายใต้ร่มเงาแห่งการปกครองของอิมาม จะไม่มีท้องทะเลทรายใดหลงเหลืออยู่อีก ทุกพื้นที่จะเขียวขจีไปด้วยพื้นพันธ์นานาชนิด ให้ชีวิตชีวาและสร้างความสุขแก่ทุกชีวิต


การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้สร้างความอัศจรรย์ใจแก่สายตาทุกดวงที่พบเห็น เนื่องจากภายใต้การปกครองของท่านทุกสรรพสิ่งและทุกคนดูเหมือนว่ายังใหม่และยังหนุ่มแน่นอยู่ ความสะอาดและการสำรวมตนจะเติบโตและขจรขจายไปทั่วทุกพื้นที่ พลังความศรัทธาจะเปล่งบานเหมือนดอกไม้ที่แรกแย้ม ประชาชนทุกหมู่เหล่าทุกเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์จะอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของพระผู้เป็นเจ้า ความสัมพันธ์ในหมู่พวกเขาจะวางอยู่บนพื้นฐานของคุณค่าแห่งพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาว่าว่าสภาพชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ต่างจะได้อิ่มเอิบกับความจำเริญ ความสิริมงคล และความดีงามต่าง ๆ

อัล-กุรอาน กล่าวว่า
وَلَوْ أَنَّ أَهْلَ الْقُرَى آمَنُواْ وَاتَّقَواْ لَفَتَحْنَا عَلَيْهِم بَرَكَاتٍ مِّنَ السَّمَاءِِ وَالأَرْضِ
ถ้าหากชาวเมืองได้ศรัทธาและมีความสำรวมตนจากบาป แน่นอน เราจะหลั่งบรรดาความจำเริญจากฟากฟ้าและแผ่นดินแก่พวกเขา[9]








บันทึกการเข้า

kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:49:08 pm »

6. การขุดรากถอนโคนความยากจน


เมื่อแร่ธาตุต่าง ๆ จากแผ่นดินได้ปรากฏออกมาเพื่ออิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความจำเริญจากฟากฟ้าและแผ่นดินได้หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่องแก่ประชาชน ทรัพย์สินส่วนกลางจะถูกจัดแบ่งด้วยความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ จะไม่มีความยากจนหลงเหลืออยู่อีกต่อไปในสังคมของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ประชาชนในยุคสมัยของอิมามจะถูกปลดปล่อยให้รอดพ้นไปจากความยากจน[10]

ภายใต้การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจจะวางอยู่บนพื้นฐานของความเป็นพี่น้อง ความเป็นห่วงเป็นใย ความเือื้ออาทร ความเมตตา และความเสียสละให้กับพี่น้องร่วมสายธารเดียวกันจะเข้ามาแทนที่การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตัว ในสภาพเช่นนั้นทุกฝ่ายจะมองว่าทุกคนในสังคมเป็นสมาชิกในครอบครัวของตนทั้งหมดเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีคนแปลกหน้าคนอื่นคือตัวตนของตน กลิ่นไอของความแปลกหน้าและการไม่ใช่พรรคพวกเดียวกันจะเลือนหายไปจากสังคมจนหมดสิ้น

อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า อิมามมะฮฺดีย์ จะจัดแบ่งรายรับแก่ประชาชนปีละ 2 ครั้ง และจะจัดสรรปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาเดือนละ 2 ครั้ง โดยเท่าเทียมกันไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีึผู้ยากจนในสังคมหรือผู้เรียกหาทานบังคับ (ซะกาต) อีกต่อไป[11]

รายงานดังกล่าวของอิมาม (อ.) เข้าใจได้ว่าการไม่มีผู้ยากจนในสังคมอีกต่อไปหมายถึง ความเพียงพอด้านจิตวิญญาณหรือจิตไม่มีความปรารถนาในทรัพย์สินเหล่านั้น อีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าก่อนที่ประชาชนจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินภายนอกจำนวนมากมาย จิตใจของเขาไม่ปรารถนาและปราศจากความต้องการในทรัพย์สินเหล่านั้นก่อนแล้ว เนื่องจากพวกเขาได้อิ่มเอิบและมีความพึงพอใจกับความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงประทานแก่พวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่มีความปรารถนาในทรัพย์สินอื่นใดอีก

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวอธิบายถึงยุคสมัยของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า พระเจ้าทรงประทานจิตวิญญาณที่อิ่มเอิบแก่หัวใจของปวงบ่าวทุกดวง[12]
ขณะที่ก่อนหน้าการปรากฏกายของอิมาม (อ.) จิตวิญญาณของพวกเขามีความเร้าร้อนและหื่นกระหายในทรัพย์สมบัติ มีการแก่งแย่งชิงดีและประกวดประขันกันในสิ่งผิด พวกเขาได้สั่งสมทรัพย์สินเงินทองไว้เป็นจำนวนมากมายทั้งที่ไม่เคยบริจาคแก่ผู้ยากจนเลย ไม่ว่าจะเป็นทานบังคับหรือทานสมัครใจก็ตาม

ฉะนั้น สรุปได้ว่าในยุคสมัยของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ประชาชนจะปราศจากความต้องการในทรัพย์สินเงินทองทั้งภายนอกและภายใน และทรัพย์สินส่วนกลางจะถูกแบ่งปันให้ประชาชนด้วยความยุติธรรม อีกด้านหนึีงประชาชนจะเกิดความอิ่มเอิบและมีความเพียงพออันสืบเนื่องมาจากความบริสุทธิ์ใจที่พวกเขาแสดงออก

ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ภายหลังจากอิมามมะฮฺดีย์ ได้จัดแบ่งส่วนต่าง ๆ แก่ประชาชนว่า พระเจ้าทรงประทานให้หัวใจของประชาชาติของมุฮัมมัดทุกดวงปราศจากความต้องการใด ๆ ความยุติธรรมของมะฮฺดีย์จะแผ่ปกคุมไปทั่วทุกพื้นที่ ประหนึ่งว่าเมือมะฮฺดีย์ ออกคำสั้งให้มีผู้ประกาศว่า มีบุคคลใดต้องการทรัพย์สินอีกหรือไม่ จะไม่มีผู้ใดลุกขึ้นหรือตอบรับเลย ยกเว้นคนหนึ่งจะลุกขึ้นมา หลังจากนั้นอิมามจะกล่าวกับเขาว่า เจ้าจงไปหาผู้คุมท้องพระคลังและบอกกับเขาว่า

มะฮฺดีย์สั่งให้ท่านจ่ายทรัพย์สินแก่ฉัน หลังจากนั้นผู้คุมท้องพระคลังจะกล่าวว่า เจ้าจงไปเอาถุงมาใส่ทรัพย์เหล่านี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตวงทรัพย์จนเต็มถุงแล้วสั่งให้เขาสะพายถุงเงินขึ้นไหล่ เจ้าของถุงเงินสำนึกตนทันทีพร้อมกับกล่าวกับตัวเองว่า ในหมู่ประชาติของมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ทำไมฉันจึงลุ่มหลงโลกมากกว่าผู้ใดทั้งหมด หลังจากนั้นเขาตัองการคืนทรัพย์สิน แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธพร้อมกับกล่าวแก่เขาว่า จะให้เราเอาทรัพย์ที่ให้ท่านแล้วกลับคืนได้อย่างไร[13]

7. การปกครองด้วยอิสลามและการพังพินาศของผู้ปฏิเสธ


อัล-กุรอานให้สัญญาไว้ 3 ประการว่า พระเจ้าจะทรงทำให้อิสลามมีความยิ่งใหญ่เหนือโลกทั้งหลาย อัล-กุรอาน กล่าวว่า
هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ

พระองค์คือผู้ที่ได้ประทานศาสนทูตของพระองค์ลงมาพร้อมด้วยคำแนะนำ และศาสนาแห่งสัจจะ เพื่อให้ศาสนานั้นมีชัยเหนือศาสนาทั้งหลาย[14]
ไม่เป็นที่สงสัยว่าสัญญาทีพระผู้เป็นเจ้าทรงให้แก่ประชาชาติเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นจริง ไม่สามารถปฏิเสธได้แน่นอนดังที่อัล-กุรอาน กล่าวว่า
إِنَّ اللّهَ لاَ يُخْلِفُ الْمِيعَادَ

แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงผิดสัญญา[15]

ขณะเดียวกันเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าประมวลการต่อสู้และความอุตสาหะที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และหมู่มวลมิตรของพระองค์ได้กระทำไว้ก่อนหน้านี้ยังมิได้บรรลุผลตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้[16] ซึงบรรดามุสลิมทั้งหลายต่างมีความหวังว่าวันนี้จะมาถึงอย่างแน่นอน ตามความเป็นจริงแล้ววันที่กล่าวนี้ได้รับการอธิบายไว้แล้วจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งได้แก่วันที่อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จะปรากฏกายออกมา

ด้วยเหตุนี้ การอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกครองพระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกร โดยมีคำปฏิญาณว่า ข้ฯปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ อันเป็นธงชัยนำขบวนแห่งพระเจ้าองค์เดียว และรัศมีของคำปฏิญาณทีว่า ข้าฯปฏิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ อันเป็นคำประกาศของอิสลาม ซึ่งประโยคทั้งสองจะดังกึกก้องไปทั่วปฐพี โดยไม่มีพื้นใดบนโลกนี้จะไม่ได้ยินคำประกาศดังกล่าว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้การปฏิเสธและการตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้าไม่หลงเหลือบนโลกนี้อีกต่อไป

อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) อธิบายโองการที่กล่าวว่า
وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّى لاَ تَكُونَ فِتْنَةٌ وَيَكُونَ الدِّينُ كُلُّهُ لِلّه

และพวกเจ้าจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าจะไม่มีการปฏิเสธปรากฏขึ้น และ (ศาสนา) การเคารพภักดีทุกชนิดเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺเท่านั้น [17] ว่าการตะอ์วีลโองการดังกล่าวปัจจุบันยังมิได้เกิดขึ้น เมื่อใดที่กออิมของเรายืนหยัดขึ้น และเป็นช่วงการปกครองของเขาเวลานั้นท่านทั้งหลายจะเห็นว่าโองการข้างต้นถูกตะอ์วีลแล้ว และทุกกาลเวลาในยุคนั้นศาสนาของมุฮัมมมัดจะขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่ากลางคืนจะคืบคลานไปถึงไหนศาสนาของมุฮัมมัดก็จะคืบคลานไปหยุดอยู่ ณ ตรงนั้น โลกจะถูกปกครองด้วยอิสลาม บนหน้าแผ่นดินของพระองค์จะไม่หลงเหลือการปฏิเสธและการตั้งภาคีเทียบเคียงอีกต่อไป ดังที่พระองค์สัญญาไว้[18]

แน่นอน โลกใบนี้ต้องถูกควบคุมด้วยอิสลาม เนื่องจากสัจธรรมความจริงของอิสลาม ซึ่งความจริงนั้นจะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงการปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในวันนั้นทุกคนจะมุ่งมั่นเข้าสู่อิสลาม ยกเว้นบางกลุ่มชนที่เป็นพวกกดขี่และแสดงความอหังกาบนหน้าแผ่นดิน พวกเขาจะจับดาบเข้าห่ำหั่นท่านอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) หมายกำจัดอิมามให้จงได้

ประเด็นสุดท้ายที่ขอกล่าว ณ บทนี้คือ ความเป็นเอกภาพในความเชื่อที่แฝงเร้นอยู่ในรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นปัจจัยสำคัญที่โน้มนำไปสู่ความเป็นเอกภาพในสังคมโลก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโลกเองก็ตามหาความเป็นเอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวทางความเชื่อ ความติด และกฎหมาย ทุกคนพร้อมที่จะยอมรับ หลังจากนั้นทุกคนจะอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ความสัมพันธ์ส่วนตัวและทางสังคมของพวกเขาจะวางอยู่บนพื้นฐานของการมีความเชื่ออันเดียวกัน จากคำอธิบายดังกล่าวจะเห็นว่าความเป็นเอกภาพทางเชื่อ การรวมพลภายใต้ธงชัยและศาสนาเดียวกัน เป็นสิ่งจำเป็นและมีความต้องการอย่างยิ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เท่านั้น

8. ความปลอดภัยส่วนรวม


ยุคสมัยการปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นยุคสมัยที่เรียกร้องความดีงามเพื่อเป็นครรลองสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป ความปลอดภัยเป็นหนึ่งในความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นความปรารถนาสูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคนที่จะได้รับ

เมื่อมนุษย์ทุกคนปฏิบัติตามความเชื่อที่เป็นหนึ่งเดียวกัน และความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเขาวางอยู่บนหลักการของจริยธรรมอันสูงส่ง ความยุติธรรมได้แผ่ปกคุมทั่วทุกสังคม ดังนั้น จึงไม่มีข้ออ้างสำหรับการสิ้นหวังหรือความหวาดกลัวต่อภัยอันตรายต่าง ๆ อีกต่อไป ทุกคนจะได้รับสิทธิของตนและของพระเจ้าโดยเท่าเทียมกัน การลิดรอนสิทธิของบุคคลอื่นแม้เพียงเล็กน้อยก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาความปลอดภัยและระเบียบของสังคม และกฎหมายให้คงความศักดิ์สิทธิตลอดไป

อิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า โดยน้ำมือของเรา ภายใต้การปกครองของเราพวกท่านได้ผ่านพ้นวันที่อยากลำบากไปแล้ว ... เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้นความอคติทั้งหลายจะอันตรธานหายไปจากหัวใจทุกดวง สัตว์ทุกตัวจะเป็นมิตรกัน ในวันนั้นสภาพสังคมจะมีความปลอดภัยที่สุด สตรีสามารถเดินทางตามลำพังจากเหนือจรดใต้โดยไม่อันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น[19]

แน่นอน สังคมปัจจุบันปราศจากความยุติธรรม ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีการแก่งแย่งชิงดีกันตลอดเวลา มีอคติต่อกัน และไม่มีความเป็นมิตร ดังนั้น ถ้าจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจสังคมของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในวันนั้น แต่ถ้าปล่อยวางปัจจัยที่ไม่ดีทั้งหลายให้หมด หรือช่วยกันขจัดสิ่งไม่ดีไม่งามให้หมดไปจากสังคม และนั่งใคร่ครวญให้รอบคอบจะเห็นว่าในยุคของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความไม่ดีไม่งามทั้งหลายเหล่านี้จะถูกขุดรากถอนโคนจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากคำมั่นสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้ย่อมเป็นจริงเสมอ พระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรทรงตรัสไว้ในอัล-กุรอานว่า

อัลลอฮฺ ทรงสัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่สูเจ้า และบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลายว่า แน่นอนพระองค์จะทรงให้พวกเขาเป็นตัวแทนสืบทอดในแผ่นดิน ดั่งที่พระองค์ทรงให้บรรดาชนก่อนพวกเขา เป็นตัวแทนสืบทอดมาแล้ว และพระองค์จะทรงทำให้ศาสนาของพวกเขาซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน เป็นที่มั่นคง และเป็นเกียรติแก่พวกเขา และแน่นอนพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงให้พวกเขาได้รับความปลอดภัย หลังจากความกลัวของพวกเขา โดยที่พวกเขาจะต้องเคารพภักดีฉัน และไม่ตั้งภาคีอื่นใดต่อฉัน และผู้ใดปฏิเสธหลังจากนั้น พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝ่าฝืน[20]

อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวอธิบายความหมายของโองการข้างต้นว่า โองการนี้ถูกประทานลงมาให้แก่อิมามมะฮฺดีย์ และพลพรรคของเขา[21]

9. การขยายตัวด้านความรู้


ในยุคสมัยการปกครองของท่านอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) วิชาการของอิสลามและวิชาการใหม่ ๆ จะถูกเปิดเผยออกมา บรรดานักวิชาการและนักวิจัยค้นคว้าจะมีความก้าวหน้าด้านวิชาการชนิดที่ไม่มีผู้คาดคิดไว้ก่อน

อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า วิชาการความรู้มีอยู่แค่ 27 คำ และทั้งหมดที่ท่านศาสดาเผยแพร่ไปแล้วนั้นมีเพียงแค่ 2 คำ แต่จนบัดนี้ประชาชนก็ยังไม่เข้าใจ 2 คำนั้นว่าหมายถึงอะไร เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้น เขาจะสอนอีก 25 คำที่เหลือ และจะแผ่ขยายไปในหมู่ประชาชน และเขาจะอธิบายสองคำที่ยังไม่เข้าใจ ในที่สุดเขาจะเป็นผู้อธิบายวิชาการทั้ง 27 คำ[22]

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การพัฒนาวิชาการความรู้ของมนุษย์เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป และมีความสามารถเป็นไปได้ ซึ่งรายงานจำนวนมากมายจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) กล่าวว่า การเติบโตและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในวันนั้นกับยุคสมัยนี้มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย

ดังที่ประจักษ์ว่า การอุตสาหกรรมในปัจจุบันกับ การอุตสาหกรรมในอดีตนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ซึ่ง ณ ที่นี้จะขอนำเสนอรายงานบางรายงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่น

อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวถึงความสัมพันธ์ติดต่อกันในยุคของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า ในยุคสมัยของกออิมผู้ศรัทธาที่อยู่ทางทิศตะวันตกจะมองเห็นผู้ศรัทธาที่อยู่ทางทิศตะวันออก[23]

อีกรายงานหนึ่งท่านกล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่กออิมของเรายืนหยัดขึ้น พระเจ้าจะทรงเพิ่มพลังในการรับฟังและการมองเห็นแก่บรรดาชีอะฮฺ และแม้ว่าอิมามจะอยู่ไกลโพ้นออกไป แต่ท่านจะพูดคุยกับบรรดาชีอะฮฺ และพวกเขาก็จะพูดคุยกับท่าน และเห็นท่าน ขณะที่ท่านพำนักอยู่ ณ ที่พักของท่าน[24]

ความรอบรู้ของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เกี่ยวกับสภาวะของประชาชน และการดำเนินชีวิตของพวกเขาในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าการปกครอง เป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ และเป็นผู้บัญชาการ รายงานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า

ถ้าหากบุคคลใดกล่าวคำพูดใดในบ้านของเขา เขาเกรงว่าผนังบ้านของเขาจะเป็นผู้รายงานคำพูดนั้น[25]

ถ้าพิจารณาถึงความก้าวหน้าและเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ในปัจจุบัน จะเห็นว่ารายงานข้างต้นสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าในวันนั้นจะใช้เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยมากกว่านี้ หรือใช้เครื่องมือสื่อสารประเภทอื่นที่ทันสมัยมากกว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารแทน


ที่มา http://islamshia-w.com/Portal/Cultcure/Thai/CaseID/45799/71243.aspx
 
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:53:50 pm »

"ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ์"
จากบันทึกของศาสนาคริสต์




คำถาม: การเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์คืออะไร?

คำตอบ: การเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ คือความหวังของผู้เชื่อว่าพระเจ้าจะเสด็จมาควบคุมทุกสิ่ง พระองค์ทรงสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาและคำพยากรณ์ของพระองค์ ในการเสด็จมาครั้งแรก พระเยซูคริสต์เสด็จมาในสภาพของทารกในรางหญ้าที่เมืองเบธเลเฮม ตามที่ได้มีการพยากรณ์ไว้ พระเยซูทรงทำให้คำพยากรณ์มากมายเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์สำเร็จลงในระหว่างการทรงบังเกิด, การดำเนินชีวิต, พันธกิจ, การวายพระชนม์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ แต่ยังมีคำพยากรณ์บางอย่างเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ที่พระเยซูยังไม่ได้ทำให้สำเร็จลง การเสด็จกลับมาในครั้งที่สองของพระคริสต์ จะเป็นการเสด็จกลับมาเพื่อที่จะทำให้คำพยากรณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นสำเร็จลง ในการเสด็จมาครั้งแรก พระเยซูเสด็จมาในสภาพที่ต่ำต้อยที่สุด แต่ในการเสด็จมาในครั้งที่สอง พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกองทัพแห่งทูตสวรรค์เคียงข้างพระองค์

ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมไม่ได้ชี้ให้เห็นเป็นพิเศษสำหรับความแตกต่างระหว่างการเสด็จมาทั้งสองครั้ง เรื่องนี้เราสามารถดูได้จากข้อพระคัมภีร์เช่น อิสยาห์ 7:14; 9:6-7; และ เศคาริยาห์ 14:4 ผลของคำเผยพระวจนะที่ดูเหมือนว่าจะพูดถึงบุคคลสองคน, ผู้ทรงคุณวุฒิชาวยิวเชื่อว่าจะมีพระเมษสิยาห์ผู้ได้รับความทุกข์ทรมาน และ พระเมสสิยาห์ผู้มีชัยชนะ สิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจคือพระเมษสิยาห์องค์เดียวกันนี้เองคือผู้ที่ทำให้บทบาททั้งสองสำเร็จลง พระเยซูทรงทำให้บทบาทของผู้ปรนนิบัติผู้ได้รับความทุกข์ทรมาน (อิสยาห์บทที่ 53) สำเร็จลงในการเสด็จมาในครั้งแรก และพระเยซูจะทรงทำให้บทบาทของผู้ปลดปล่อยและกษัตริย์ของชาวยิวสำเร็จลงในการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง ในการบรรยายถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง หนังสือเศคาริยาห์ 12:10 และวิวรณ์ 1:7 ย้อนกลับไปถึงสมัยที่พระเยซูทรงถูกทิ่มแทง คนอิสราเอลและคนทั้งโลกจะร่ำไห้ที่ไม่ได้ต้อนรับพระเมสสิยาห์ในครั้งแรกที่พระองค์เสด็จมา

หลังจากที่พระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์, เหล่าทูตสวรรค์ได้บอกกับบรรดาอัครทูตว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์ พระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงรับไปจากท่านขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” (กิจการ 1:11) เศคาริยาห์ 14:4 บอกว่าสถานที่ที่พระองค์จะเสด็จกลับมาในครั่งที่สองคือที่ภูเขามะกอกเทศ ข้อพระคัมภีร์มัทธิว 24:30 กล่าวว่า

“เมื่อนั้นนิมิตแห่งบุตรมนุษย์ จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะตีอกร้องไห้ แล้วจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก” ทิตัส 2:13 บรรยายการเสด็จกลับมาครั้งที่สองว่าเป็น “การปรากฏอันทรงสง่าราศี”

หนังสือวิวรณ์ 19:11-16 พูดไว้อย่างละเอียดเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาครั้งที่สอง: “แล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็นสวรรค์เปิดออก และดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า "สัตย์ซื่อและสัตย์จริง" พระองค์พิพากษาและทรงกระทำสงครามด้วยความเป็นธรรม พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวไฟ และบนพระเศียรของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน และพระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักเลย นอกจากพระองค์เอง พระองค์ทรงฉลองพระองค์ที่จุ่มเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ "พระวาทะของพระเจ้า"

เหล่าพลโยธาในสวรรค์สวมอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อละเอียด ขาวบริสุทธิ์ ได้นั่งบนหลังม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป มีพระแสงคมออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงฟันฟาดบรรดานานาประชาชาติ ด้วยพระแสงนั้น และพระองค์จะทรงครอบครองเขาด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะทรงเหยียบบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธอันเฉียบขาดของพระเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระองค์ทรงมีพระนามจารึกที่ฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุของพระองค์ว่า " จอมกษัตริย์และจอมเจ้านาย ”







นิมิตการเสด็จกลับมาของพระเมสสิยาห์

สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นเป็นความชั่วที่น่าเกลียดชังและเต็มไปด้วยอันตราย ซึ่งไม่มีความปลอดภัย เหนือกว่าคำบรรยายของมนุษย์ที่จะหาคำบรรยายออกมาได้ มีเพียงความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นและประชากรโลกได้ลดลง ในช่วงเวลาเหล่านั้นของคนที่หลงอยู่บนโลก หลายๆ คนได้นอนตายอยู่บนโลกที่ถูกทำลาย รกร้าง หดหู่จิตใจ การสังหารผลาญชีวิตของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง พวกเราคิดว่าพวกเราได้ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ในโลกได้พังพินาศ ถูกทำลายเพิ่มมากขึ้น โดยไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่จะมาเปรียบเทียบได้ นี้คือสิ่งที่ดีหลงเหลือแก่พวกเราจากสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้สะเทือนขวัญ น่าหวาดเสียวเพื่อที่จะไม่หลงมึนเมาไปกับสิ่งของในโลก

แต่ยังคงในการมีชีวิตอยู่ด้วยการห่อหุ้มไปด้วยความรัก ที่มหัศจรรย์ของพระองค์และสติปัญญาที่มาจากพระองค์ การรับรู้ในความรู้สึกของความรักในทุกๆทางได้นำการสงสัย แปลกใจเกี่ยวกับการทรงพระชนม์นั้นออกไปด้วยกันกับพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของพวกเรา ผู้ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในเรา ในสิ่งที่พระองค์ตอบสนอง

การวางเป้าหมายดลบันดาลใจเริ่มต้นขึ้น จดจ่ออยู่ในหัวใจเหมือนพวกเราได้พบกับความจริง ว่าพวกเราจำต้องตอบสนองโดยการกลับมายังโลกอีกครั้ง เพื่อที่จะช่วยอิสราเอลและเจนไทล์ ซึ่งเป็นแขกรับเชิญของงานมงคลสมรสพระเมษโปดก ซึ่งได้รอคอยการเสด็จกลับมาของกษัตริย์ที่แท้จริงของอิสราเอล ทั้งหมดของอิสราเอลทีได้รอคอย มองหาพระเมสสิยาห์ที่จะกลับมาและปลดปล่อยพวกเขา พวกเราได้เห็นประชากรชนชาติยิวที่ร่ำรวยมั่งคั่งสิ้นหวังกับการแสวงหาพระองค์ ซึ่งเป็นเพียงผู้เดียวที่จะช่วยพวกเขาให้รอดได้

พระเมสสิยาห์ทรงรู้ว่าเมื่อไรนั้นการปลดปล่อยจะใกล้เข้ามา พระองค์กำลังเสด็จมากระทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จ พวกเราสามารถที่จะเห็นการรอคอยอย่างคาดหวังที่เพิ่มมากขึ้นในฉากสุดท้ายค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้น เมื่อในที่สุดนั้นพระองค์จะรับสิทธิอำนาจเป็นตำแหน่งกษัตริย์ของคนทั้งโลก เหมือนที่พระองค์ได้รอคอยมา และสันติสุขความชื่นชมยินดีได้เพิ่มขึ้นทุกขณะ จากนั้นในการกระทำของพวกเราเองเต็มไปด้วยความรักเช่นกัน เพราะว่าบัดนี้พวกเรามีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่รักของพวกเรา แต่ทุกอย่างทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมตั้งไว้อย่างปราณีตในเวลาที่เหมาะสม

ในช่วงเวลานี้พระองค์ได้มีความสุขกับการชื่มชมยินดี ในการเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าสาวของพระองค์ แต่ยังคงขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์และทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์นั้นยังคงป้องกัน ดูแลอย่างระมัดระวังเพื่อคนเหล่านั้นที่ยังอยู่บนโลกเพื่อการปรากฏเสด็จกลับมาของพระองค์

ดูเหมือนในช่วงเวลาต่อไปจากนี้ เป็นเวลาและเป็นเวลาที่จะเคลื่อนกองทัพลงมายังโลก เพื่อนำบัลลังก์ของพระองค์ลงมาเหนือพวกเราทั้งหลาย พระเมสสิยาห์เริ่มนำพวกเราค่อยทยอยเคลื่อนลง แต่ยังคงหลบซ่อนอยู่บนเมฆซึ่งไม่สามารถปรากฏต่อสายตาของมนุษย์ทั้งหลาย หนึ่งร้อยพันชนชาติของอิสราเอล(ธรรมิกชน 144000 คนชาวยิว) ได้รอคอย ปรารถนาการเสด็จกลับมาของพระองค์ รับรู้ว่าพระองค์ได้เสด็จมา เพื่อประชากรของพระองค์ผู้ซึ่งพร้อมในการดำเนินชีวิตที่จะถวายเกียรติสรรเสริญพระองค์เป็นกษัตริย์ พระเมสสิยาห์ด้วยกันกับ คณะผู้ติดตามของบุคคลสำคัญปรากฏอย่างน่าเกรงขามในความยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ ยังคงเคลื่อนทัพลงมาเรื่อยๆ จนถึงกลางฟากฟ้าเหนือMount Paran ภูเขาเปราน ที่ซึ่งเวลาขณะนั้นพวกเราได้เริ่มต้นเคลื่อนไปเป็นกองทัพไปในแนวขนานของระดับของความสูงของภูเขา

สายตาของกษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์ และกองทัพทหารที่ยิ่งใหญ่ของธรรมิกชนได้ปรากฏสง่าราศี เต็มไปด้วยขบวนเฉลิมฉลองเหมือนไม่มีกษัตริย์ ของโลกองค์ไหนที่ท่านเคยเห็นมาก่อน กษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีตกแต่งประดับประดาด้วย ความสง่างามที่สุด และด้วยความมีอำนาจสูงสุดได้เสด็จกลับมายังโลก ด้วยกันกับเจ้าสาวของพระองค์สวมเสื้อคลุมแห่งสง่าราศีที่พระองค์เจ้าได้ออกแบบมาเพื่อเจ้าสาวโดยเฉพาะเป็นพิเศษ โบสถ์แห่งสง่าราศีของพระองค์ ประดับประดาด้วยอัญมณีล้ำค่าที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย โอ ความงดงามนั้นไม่สามารถ ที่จะหาคำมาบรรยายได้ และไม่สามารถบอกกล่าวถึงความงดงามอย่างโอ่โถงด้วยการเพิ่มลำดับความสง่างามของสง่าราศีของอายุคนเหล่านั้น

ด้วยกันกับพระองค์เจ้า พวกเราได้ท่องเที่ยวผ่านอยู่เหนือจากทางหลวงพิเศษของกษัตริย์ในท้องฟ้า ผ่านภูเขาจอร์แดน ผมจำไม่ได้อย่างแน่นอนว่าได้ผ่านการเคลื่อนไหวที่พิเศษอย่างมากนี้โดยลอยอยู่เหมือนมีราชรถม้า (ยานพาหนะแห่งองค์พระราชาเทียบด้วยม้า) อยู่บนฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพทหารที่บริสุทธิ์อย่างนับไม่ถ้วน แต่ในการเคลื่อนไหวนั้นได้ถูกกระทำให้พวกเราได้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพทหารที่มีกำลังเข้มแข็งในสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา ระหว่างทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม ที่ อัมโมน กองทัพทหารที่บริสุทธิ์นี้ได้ทรงนำด้วยการแบ่งผู้บัญชาการในการควบคุมกองทัพทหารนี้ ได้ขี่ม้าขาวที่สามารถเห็นได้ด้วยสายตาทั่วไปทั้งหมด

ด้วยการมีชัยชนะในความจริงด้วยกันกับกองทัพธรรมิกชนที่อยู่ข้างหลังพระองค์เจ้า พวกเราได้ก้มศีรษะและมุ่งตรงไปที่กรุงเยรูซาเล็มที่ซึ่งพวกเราได้เข้าไปทางประตูตะวันออก กษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่นิรันดร์ ด้วยฤทธานุภาพการทรงไถ่จากพระองค์ และโบสถ์ที่ได้รับสง่าราศีของพระองค์นั้นได้เคลื่อนย้ายเพื่อช่วยอิสราเอลทั้งหมดให้รอด บุตรซึ่งพระองค์ทรงรักและพวกเขาเหล่านั้นได้รอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์ แอนตี้ไครสต์ได้พยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะฉกฉวยสิทธิ์ที่ถูกต้องนั้นเป็นของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ท้ายที่สุด ได้ถูกโค่นอำนาจลงด้วยกษัตริย์ผู้ทรงดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์โดยพระองค์เอง ทุกสายตาจะเห็นพระองค์และพวกเขาเหล่านั้นที่ได้แสวงหา เพียรรอคอยการปรากฏของพระองค์นั้นรักพระองค์

นี้เป็นนิมิตที่ส่งความเป็นสง่าราศี ของการเสด็จกลับมาของพระเมสสิยาห์กับโบสถ์ของพระองค์

ที่มา: นิมิตการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ และการเรบเจอร์รอบแรก

 

บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:55:41 pm »

"ยุคของพระเจ้าจักรพรรดิ์"
จากบันทึกของชาวพุทธ





เป็นกรรมของสัตว์โลกน่ะ ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่าระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ ปลายปี 47 (ทีแรกคิดว่าไม่มีอะไรเกิดแล้ว จิตเกือบจะเผลอปรามาสครูบาอาจารย์เข้าแล้วเชียว) แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อยๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทาง ดิน น้ำ ลม ไฟ โรคระบาดและ อุบัติภัยสงคราม และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระเจ้าจักรพรรดิ์ลงมา ภัยพิบัติจึงจะสงบ

ต่อไปที่จะวิบัติหนักๆ ก็คือ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อเมริกา ฯลฯ เราเคยถามครูบาอาจารย์ว่าไม่มีใครเปลี่ยนได้เลยหรือ ท่านบอกว่า "ไม่ได้" ท่านว่า "ปู่ยี เว้า ก็ปานพระเจ้า เว้า นั่นแหละ ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้" เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้น

สำหรับเมืองไทย ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะฝ่ายรักษาภายในของ กทม. เขาเริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ จะเป็นเกาะเป็นแก่งทั้งหมด ครูบาอาจารย์ท่านว่า ท่านจะเอาแค่เพชรบุรีขึ้นมา

เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้ เป็นสัญญาณของยุคจักรพรรดิ์ที่กำลังจะเริ่มต้น ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องของเฉพาะบุคคล เช่นเรื่อง ธาตุแก้วเจ็ดประการ ที่เริ่มมาปรากฎเข้ามาสู่ระบบแล้ว และมีสิ่งของอื่นๆอีกหลายอย่าง ที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้น

ผู้ที่ไม่มีหน้าที่และเข้าไม่ถึงระบบธาตุเหล่านี้ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าใครมีจิตที่เอ็กเรย์ธาตุได้ ก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร อย่างแก้วมังกร และแก้ววิเศษของเทวดา ก็อาจจะเป็นของไร้ค่าในโลกมนุษย์ เพราะความไม่รู้

ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า แค่นาคโก่งหลังขึ้นมา มนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจากท้าวกกนาก แถวลพบุรี ที่ในไม่ช้า(ช่วงท้ายๆของภัยพิบัติ)จะลุกขึ้นมา(ภายใน)เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ์ ขณะที่ทหารลิง 18 กองพลที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ เขาก็ถอนกำลังไปอยู่ที่อื่นแล้วเมื่อตอนออกพรรษาที่ผ่านมา ครูบาอาจารย์ท่านว่ายักษ์กกนากตนนี้มีพิษมาก แค่พลิกตัวได้ พิษของยักษ์จะทำให้เกิดโรคระบาด้ายแรง มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก แต่คนที่มีศีลธรรมก็ไม่เป็นไร

เราค่อนข้างมั่นใจว่า ภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจ และไทยกับลาวจะรวมกันเป็นหนึ่ง(ประเทศเดียวกัน) ท่านไหนที่ขยันหมั่นเพียร รักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอ ก็คงจะต้องไปตามวิถีกรรมของตนเอง

ขออย่ามากังวลกับสิ่งที่เราเล่า หากท่านเดินตามทางบุญ ทางกุศล ที่ครูบาอาจารย์ของตนเองสอนได้แล้ว ก็คงจะเอาตัวรอดได้ ครับ และไม่มีใครเตือนใครได้ดีเท่ากับ การเตือนตนด้วยตนเอง ครับ

ศาสนาอื่นนั้นไม่เหลือหรอกครับ เมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายกันมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมดครับ เท่าที่ทราบต่อไปมหาอำนาจ อย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ จะต้องมาพึ่งพาไทย ศูนย์กลางโลกศูนย์กลางศาสนาอยู่ในเขตประเทศไทยนี่แหละ ซึ่งต่อไปที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย จะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนาในยุคจักรพรรดิ์ ทั้งโลกจะถูกปกครองโดยสามร่มโพธิ์ศรี อัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม พระจักรพรรดิ์จะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลก อย่างที่พวกยิวเขาคิดจะครองโลกกันนั้น ไปไม่ถึงดวงดาวหรอกครับเพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้ว

เหตุที่เกิดในภาคใต้ซึ่งเป็นเขตพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้ ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆนั้น จะรุนแรงกว่านี้มากครับและความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วย

ถ้าหากศึกษาถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิดก็จะเข้าใจว่าอย่างอิสลามและคริสต์นั้น เชื้อจิตวิญญาณเดิมหรือต้นธาตุของจิตวิญญาณ ของพวกนี้เป็นพวกยักษ์ ตระกูลต่างๆ ดังนั้นที่ครูบาอาจารย์ท่านว่าพวกยักษ์นอกศาสนาเขาตีกันนั้น ก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา และพวกยักษ์เหล่านี้เขาก็มาเกิดกันมากในยุคนี้ ส่วนใหญ่ในเขตไทยและใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ คนในเขตประเทศไทย ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีมาในภพภูมิไหนมามาก ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้นและเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ

และบางครั้งการทำงานจากภายใน ก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก และพยายามอธิบายกันด้วยเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการรู้นอกแต่ไม่รู้ใน คล้ายๆกับวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายเหตุผลภายนอก แต่ไม่เข้าใจถึงเรื่องกฏแห่งกรรมซึ่งเป็นเหตุภายใน เป็นต้น นี่คือรู้ไม่แจ้งในเรื่องนั้นๆ ก็เลยเกิดความ "ประมาท" กันต่อไป ครับ

ต่อไปจะมีพระจักรพรรดิ์เป็นผู้ปกครองโลก พระยาธรรมมิกราชจะเป็นคล้ายพระสังฆราช และจะมีพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง จะทำหน้าที่คล้ายนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามร่มโพธิ์ศรีก็คือ สามโพธิสัตว์ที่ลงมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา นั่นเอง

เอาเป็นว่า มีผู้ที่เขาลงมาทำหน้าที่นี้กันครับ และก็มีเหล่าอัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรม ที่ตามลงมาทำหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง บางคนก็รู้ตัวเองแล้ว บางคนก็อาจจะยังไม่รู้ตัวเองครับ ถึงเวลาแล้วก็คงจะได้เห็นว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งบางท่านบางคน บางท่าน จะมีชื่อเสียงในหมู่ของเทพ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ ฤษี มุนี ดาบส ฯลฯ และพวกเขาเหล่านั้นก็รอยุคพระยาธรรมมิกราชนี่แหละ แต่พวกมนุษย์ไม่รู้จักเพราะท่านเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบๆและลี้ลับ เป็นต้น ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรยๆให้ฟังว่า สำหรับผู้ทำบารมีเข้มข้นแล้วนั้น "ดังบ่ดี ดีบ่ดัง" ครับ


จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟัง สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกล้นี้ ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมเป็นตัวกำหนดและยุคพระยาธรรมฯ ก็เป็นพุทธประเพณี เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ในยุคของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ อย่างในยุคพระเวสสันดร(ซึ่งเป็นช่วงประมาณกึ่งกลางศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง) หลังจากพระเวสสันดรได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดยุคพระยาธรรมฯหรือยุคพระจักรพรรดิ์ขึ้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าลูกชายพระเวสสันดรจะเป็นพระจักรพรรดิ์ในสมัยนั้น

และในยุคร่วมสมัยในปัจจุบันนี้ มีบุคคลผู้หนึ่ง ทำทานบารมีจนได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้วเช่นกัน ดังนั้นผมก็พอจะอนุมานได้ว่า ยุคพระยาธรรมฯ นั้นเข้ามาใกล้ถึงปลายจมูกแล้วครับ ใครที่คิดจะทำบุญกุศลอะไร ก็ให้รีบเร่งทำกันได้เลยครับ หากเมื่อใดผู้ที่ได้พรพระอินทร์เขาทำอธิษฐานบารมีเพื่อดูแลพระศาสนา(ซึ่งเป็นประเพณีส่วนหนึ่งของการปรารถนาพุทธภูมิ) ระบบที่ทำหน้าที่ภายในเขาก็จะทำงาน ตามลำดับ เมื่อถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของศีลธรรม ของศีลห้า ศีลแปด ของบุญบารมีที่แต่ละท่าน บำเพ็ญเพียร สั่งสมมา ครับ

ให้ลองนึกถึงเหตุการณ์คลื่นยักษ์ในภาคใต้ดูว่า คลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะทำให้ด้ามขวานไทยเหลือเป็นเกาะเป็นแก่ง และคลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะสามารถทำให้เกาะขนาดประเทศไต้หวัน หายวับไปได้ในพริบตา เมื่อไหร่ก็ตามที่นาคใหญ่เขาทำงาน จะสั่นสะเทือนไปทั้งโลก หากจะเทียบเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ผ่านมา เป็นได้แค่ระดับนาคใหญ่เขาโก่งหลัง หรือสะดุ้งเพียงเล็กน้อย ลองจินตนาการดูว่าหากพวกนาคบางพวกเขามีหน้าที่ทำฤทธิ์เพื่อล้างผู้ที่มีศีลธรรมไม่เพียงพอสำหรับการอยู่ในยุคพระยาธรรม บนโลกนี้ก็จะเหลือคนไม่มาก อย่างที่พระสูตรบอกไว้ครับ

 
ที่มา http://www.konmeungbua.com/webboard/
 





บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2010, 07:57:54 pm »

เรื่องของพระจักรพรรดิ์นั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของสามร่มโพธิ์ศรี(สามพระโพธิสัตว์ ร่วมกันสร้างบารมี) เกี่ยวข้องกับเรื่องของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ แต่เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับพระจักรพรรดิ์นั้นจะหาผู้รู้ที่สามารถพูดออกมาตรงๆได้น้อย ครูบาอาจารย์หลายท่านรู้แต่ไม่สามารถบอกเล่าได้ ท่านบอกว่าพระจักรพรรดิ์เป็นเรื่องของผู้มากด้วยบุญบารมี ส่วนครูบาอาจารย์อีกหลายๆท่าน ท่านบอกว่าปัจจุบันท่านยังเข้าไม่ถึงระบบของพระจักรพรรดิ์อาจจะเป็นเพราะไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง

อย่างไรก็ตามครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความเชื่อและติดตามเรื่องของสามร่มโพธิ์ศรีและเรื่องของพระจักรพรรดิ์ก็มีไม่น้อย บางครั้งเราอาจจะคาดไม่ถึงว่าครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านปฏิบัติมาอีกแนวทางนึง คือเน้นศาสนคำสอนเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อถึงจุดนึงท่านวกกลับมาเกี่ยวข้องกับระบบของพระจักรพรรดิ์เข้าจนได้ ครูบาอาจารย์เหล่านั้นท่านก็จะสนับสนุนผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบจักรพรรดิ์อย่างลับๆเป็นการภายในเฉพาะองค์ท่าน

อย่างครูบาอาจารย์หลายรูปในสายธรรมของหลวงปู่มั่น ท่านก็เข้าถึงพระจักรพรรดิ์เช่นกัน แต่ท่านจะแสดงออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมเฉพาะกับบุคคลผู้ใกล้ชิดเท่านั้น เอาเป็นว่าผู้ที่มีต้นครูมาจากสายภูเขาควายจะสามารถเข้าถึงพระจักรพรรดิ์ได้เมื่อถึงกาลเวลาและต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ตามบุญบารมีของตนเอง

เมื่อเข้าถึงระบบพระจักรพรรดิ์แล้วก็มักจะเข้าถึงระบบแก้ว 7 ประการของพระจักรพรรดิ์ ว่าท่านวางเครือข่ายไว้ที่ไหนอย่างไรจะต้องเชื่อมโยงจากสถานที่ได ทำอย่างไร เป็นต้นเมื่อศึกษาไปแล้วก็รู้ว่าท่านวางระบบไว้อย่างแยบยลและรู้ได้ ทำได้ตามหน้าที่ของแต่ละบุคคล

ผมคาดเดาว่าใจว่าประมาณ 2 ปี จากนี้ไปจะเริ่มปรากฏผู้ที่มีบุญญฤทธิ์ตัวจริงที่เขามาทำหน้าที่ในระบบของพระจักรพรรดิ์ ยุคนี้ผู้ที่เคยปรากฏชื่ออยู่ในตำนาน หรือแม้กระทั่งผู้ที่เคยปรากฏชื่อในพระไตรปิฎก ก็มาเกิดเพื่อสร้างบารมีกันเยอะ และบุคคลเหล่านี้เท่าที่พบเจอเขาจะมีญาณศีลธรรมภายในและญาณรู้ของเขาเองได้ เป็นส่วนใหญ่

ผมได้สัมผัสกับพระจักรพรรดิ์ มาอย่างต่อเนื่องหลายปี และก็ทำศาสน์ศิลป์เกี่ยวกับพระจักรพรรดิ์ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ใครจะเชื่อหรือไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สิ่งที่ท่านปรากฏให้หมู่คณะของผมเห็นนั้น เป็นขวัญกำลังใจ เพียงพอที่จะทำให้คณะของผมทำงานศาสนากันอย่างไม่ต้องสนใจต่ออุปสรรคใดๆที่เกิดขึ้น

อย่างข้อเขียนที่คุณเกษมนำมาโพสต์ไว้นั้น เป็นเรื่องราวที่ผมเขียนโพสต์ไว้ที่เวปคนเมืองบัวเมื่อหลายปีก่อน มีบางท่านนำข้อความเหล่านี้ไปลงไว้ในหนังสือพุทธทำนาย แจกจ่ายอ่านกัน แต่ก็มีน้อยคนมากที่จะเข้าถึงและเข้าใจเรื่องของพระจักรพรรดิ์จริงๆ แต่ก็ยังดีที่มีคนจำนวนนึงยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่

สรุปว่า ขณะนี้กาลเวลากำลังเคลื่อนเขาสู่วิถีของยุคจักรพรรดิ์แล้วครับ ยุคนี้จะเป็นยุคของพระมหาโพธิสัตว์จะลงมาเป็นพระจักรพรรดิ์ ครับ เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ผมไปทำพิธีอัญเชิญญาณพระจักรพรรดิ์และมหาเทวี จากฝั่งประเทศลาว แล้วมาจัดพิธีบวงสรวงรับที่พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ปรากฏภาพเป็นกระแสญาณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือพระจักรพรรดิ์ มหาเทวี พระอินทร์ ฯลฯ จำนวนประมาณ 50 ภาพ ผมได้โพสต์รูปบางส่วนไว้ในหลายกระทู้ แต่ยังหาผู้รู้บนเวปที่มีญาณหยั่งถึงว่าแต่ละภาพเป็นภาพกระแสญาณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใด แทบไม่ได้เลย ที่จริงภาพกระแสญาณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละภาพนั้นมีความหมายทั้งหมดครับ

จะสังเกตได้ว่า เรื่องของ พระพุทธเจ้าห้าพระองค์ เรื่องของพระจักรพรรดิ์ เรื่องของสามร่มโพธิ์ศรี และเรื่องของม้าแก้ว(แก้วมณีกาบ) ฯลฯนอกจากคณะของผมแล้วแทบจะไม่มีคนอื่นเขียนโพสต์เรื่องราวเหล่านี้และสร้างสัญญลักษณ์เพื่อเป็นสื่อญาณไว้ ที่มีกล่าวถึงอยู่บ้างแต่ก็มักจะนำมาจากตำราเก่าๆ ที่จริงมีสัญญลักษณ์เกี่ยวกับพระจักรพรรดิ์หลายอย่าง แต่คนก็อ่านมักจะสัญญลักษณ์ไม่เข้าใจ






 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: