6. การขุดรากถอนโคนความยากจนเมื่อแร่ธาตุต่าง ๆ จากแผ่นดินได้ปรากฏออกมาเพื่ออิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความจำเริญจากฟากฟ้าและแผ่นดินได้หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่องแก่ประชาชน ทรัพย์สินส่วนกลางจะถูกจัดแบ่งด้วยความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ จะไม่มีความยากจนหลงเหลืออยู่อีกต่อไปในสังคมของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ประชาชนในยุคสมัยของอิมามจะถูกปลดปล่อยให้รอดพ้นไปจากความยากจน[10]
ภายใต้การปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจจะวางอยู่บนพื้นฐานของความเป็นพี่น้อง ความเป็นห่วงเป็นใย ความเือื้ออาทร ความเมตตา และความเสียสละให้กับพี่น้องร่วมสายธารเดียวกันจะเข้ามาแทนที่การเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ส่วนตัว ในสภาพเช่นนั้นทุกฝ่ายจะมองว่าทุกคนในสังคมเป็นสมาชิกในครอบครัวของตนทั้งหมดเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีคนแปลกหน้าคนอื่นคือตัวตนของตน กลิ่นไอของความแปลกหน้าและการไม่ใช่พรรคพวกเดียวกันจะเลือนหายไปจากสังคมจนหมดสิ้น
อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) กล่าวว่า อิมามมะฮฺดีย์ จะจัดแบ่งรายรับแก่ประชาชนปีละ 2 ครั้ง และจะจัดสรรปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาเดือนละ 2 ครั้ง โดยเท่าเทียมกันไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีึผู้ยากจนในสังคมหรือผู้เรียกหาทานบังคับ (ซะกาต) อีกต่อไป[11]
รายงานดังกล่าวของอิมาม (อ.) เข้าใจได้ว่าการไม่มีผู้ยากจนในสังคมอีกต่อไปหมายถึง ความเพียงพอด้านจิตวิญญาณหรือจิตไม่มีความปรารถนาในทรัพย์สินเหล่านั้น อีกนัยหนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าก่อนที่ประชาชนจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินภายนอกจำนวนมากมาย จิตใจของเขาไม่ปรารถนาและปราศจากความต้องการในทรัพย์สินเหล่านั้นก่อนแล้ว เนื่องจากพวกเขาได้อิ่มเอิบและมีความพึงพอใจกับความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงประทานแก่พวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่มีความปรารถนาในทรัพย์สินอื่นใดอีก
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวอธิบายถึงยุคสมัยของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า พระเจ้าทรงประทานจิตวิญญาณที่อิ่มเอิบแก่หัวใจของปวงบ่าวทุกดวง[12]
ขณะที่ก่อนหน้าการปรากฏกายของอิมาม (อ.) จิตวิญญาณของพวกเขามีความเร้าร้อนและหื่นกระหายในทรัพย์สมบัติ มีการแก่งแย่งชิงดีและประกวดประขันกันในสิ่งผิด พวกเขาได้สั่งสมทรัพย์สินเงินทองไว้เป็นจำนวนมากมายทั้งที่ไม่เคยบริจาคแก่ผู้ยากจนเลย ไม่ว่าจะเป็นทานบังคับหรือทานสมัครใจก็ตาม
ฉะนั้น สรุปได้ว่าในยุคสมัยของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ประชาชนจะปราศจากความต้องการในทรัพย์สินเงินทองทั้งภายนอกและภายใน และทรัพย์สินส่วนกลางจะถูกแบ่งปันให้ประชาชนด้วยความยุติธรรม อีกด้านหนึีงประชาชนจะเกิดความอิ่มเอิบและมีความเพียงพออันสืบเนื่องมาจากความบริสุทธิ์ใจที่พวกเขาแสดงออก
ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) กล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ภายหลังจากอิมามมะฮฺดีย์ ได้จัดแบ่งส่วนต่าง ๆ แก่ประชาชนว่า พระเจ้าทรงประทานให้หัวใจของประชาชาติของมุฮัมมัดทุกดวงปราศจากความต้องการใด ๆ ความยุติธรรมของมะฮฺดีย์จะแผ่ปกคุมไปทั่วทุกพื้นที่ ประหนึ่งว่าเมือมะฮฺดีย์ ออกคำสั้งให้มีผู้ประกาศว่า มีบุคคลใดต้องการทรัพย์สินอีกหรือไม่ จะไม่มีผู้ใดลุกขึ้นหรือตอบรับเลย ยกเว้นคนหนึ่งจะลุกขึ้นมา หลังจากนั้นอิมามจะกล่าวกับเขาว่า เจ้าจงไปหาผู้คุมท้องพระคลังและบอกกับเขาว่า
มะฮฺดีย์สั่งให้ท่านจ่ายทรัพย์สินแก่ฉัน หลังจากนั้นผู้คุมท้องพระคลังจะกล่าวว่า เจ้าจงไปเอาถุงมาใส่ทรัพย์เหล่านี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตวงทรัพย์จนเต็มถุงแล้วสั่งให้เขาสะพายถุงเงินขึ้นไหล่ เจ้าของถุงเงินสำนึกตนทันทีพร้อมกับกล่าวกับตัวเองว่า ในหมู่ประชาติของมุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) ทำไมฉันจึงลุ่มหลงโลกมากกว่าผู้ใดทั้งหมด หลังจากนั้นเขาตัองการคืนทรัพย์สิน แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธพร้อมกับกล่าวแก่เขาว่า จะให้เราเอาทรัพย์ที่ให้ท่านแล้วกลับคืนได้อย่างไร[13]
7. การปกครองด้วยอิสลามและการพังพินาศของผู้ปฏิเสธอัล-กุรอานให้สัญญาไว้ 3 ประการว่า พระเจ้าจะทรงทำให้อิสลามมีความยิ่งใหญ่เหนือโลกทั้งหลาย อัล-กุรอาน กล่าวว่า
هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ
พระองค์คือผู้ที่ได้ประทานศาสนทูตของพระองค์ลงมาพร้อมด้วยคำแนะนำ และศาสนาแห่งสัจจะ เพื่อให้ศาสนานั้นมีชัยเหนือศาสนาทั้งหลาย[14]
ไม่เป็นที่สงสัยว่าสัญญาทีพระผู้เป็นเจ้าทรงให้แก่ประชาชาติเป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นจริง ไม่สามารถปฏิเสธได้แน่นอนดังที่อัล-กุรอาน กล่าวว่า
إِنَّ اللّهَ لاَ يُخْلِفُ الْمِيعَادَ
แท้จริงอัลลอฮฺ จะไม่ทรงผิดสัญญา[15]
ขณะเดียวกันเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าประมวลการต่อสู้และความอุตสาหะที่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และหมู่มวลมิตรของพระองค์ได้กระทำไว้ก่อนหน้านี้ยังมิได้บรรลุผลตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้[16] ซึงบรรดามุสลิมทั้งหลายต่างมีความหวังว่าวันนี้จะมาถึงอย่างแน่นอน ตามความเป็นจริงแล้ววันที่กล่าวนี้ได้รับการอธิบายไว้แล้วจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) ซึ่งได้แก่วันที่อิมามมะฮฺดีย์ (อ.) จะปรากฏกายออกมา
ด้วยเหตุนี้ การอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกครองพระผู้อภิบาลผู้ทรงเกรียงไกร โดยมีคำปฏิญาณว่า ข้ฯปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ อันเป็นธงชัยนำขบวนแห่งพระเจ้าองค์เดียว และรัศมีของคำปฏิญาณทีว่า ข้าฯปฏิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ อันเป็นคำประกาศของอิสลาม ซึ่งประโยคทั้งสองจะดังกึกก้องไปทั่วปฐพี โดยไม่มีพื้นใดบนโลกนี้จะไม่ได้ยินคำประกาศดังกล่าว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้การปฏิเสธและการตั้งภาคีเทียบเคียงพระเจ้าไม่หลงเหลือบนโลกนี้อีกต่อไป
อิมามมุฮัมมัดบากิร (อ.) อธิบายโองการที่กล่าวว่า
وَقَاتِلُوهُمْ حَتَّى لاَ تَكُونَ فِتْنَةٌ وَيَكُونَ الدِّينُ كُلُّهُ لِلّه
และพวกเจ้าจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าจะไม่มีการปฏิเสธปรากฏขึ้น และ (ศาสนา) การเคารพภักดีทุกชนิดเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺเท่านั้น [17] ว่าการตะอ์วีลโองการดังกล่าวปัจจุบันยังมิได้เกิดขึ้น เมื่อใดที่กออิมของเรายืนหยัดขึ้น และเป็นช่วงการปกครองของเขาเวลานั้นท่านทั้งหลายจะเห็นว่าโองการข้างต้นถูกตะอ์วีลแล้ว และทุกกาลเวลาในยุคนั้นศาสนาของมุฮัมมมัดจะขจรขจายไปทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่ากลางคืนจะคืบคลานไปถึงไหนศาสนาของมุฮัมมัดก็จะคืบคลานไปหยุดอยู่ ณ ตรงนั้น โลกจะถูกปกครองด้วยอิสลาม บนหน้าแผ่นดินของพระองค์จะไม่หลงเหลือการปฏิเสธและการตั้งภาคีเทียบเคียงอีกต่อไป ดังที่พระองค์สัญญาไว้[18]
แน่นอน โลกใบนี้ต้องถูกควบคุมด้วยอิสลาม เนื่องจากสัจธรรมความจริงของอิสลาม ซึ่งความจริงนั้นจะปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นในช่วงการปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในวันนั้นทุกคนจะมุ่งมั่นเข้าสู่อิสลาม ยกเว้นบางกลุ่มชนที่เป็นพวกกดขี่และแสดงความอหังกาบนหน้าแผ่นดิน พวกเขาจะจับดาบเข้าห่ำหั่นท่านอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) หมายกำจัดอิมามให้จงได้
ประเด็นสุดท้ายที่ขอกล่าว ณ บทนี้คือ ความเป็นเอกภาพในความเชื่อที่แฝงเร้นอยู่ในรัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นปัจจัยสำคัญที่โน้มนำไปสู่ความเป็นเอกภาพในสังคมโลก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโลกเองก็ตามหาความเป็นเอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวทางความเชื่อ ความติด และกฎหมาย ทุกคนพร้อมที่จะยอมรับ หลังจากนั้นทุกคนจะอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ความสัมพันธ์ส่วนตัวและทางสังคมของพวกเขาจะวางอยู่บนพื้นฐานของการมีความเชื่ออันเดียวกัน จากคำอธิบายดังกล่าวจะเห็นว่าความเป็นเอกภาพทางเชื่อ การรวมพลภายใต้ธงชัยและศาสนาเดียวกัน เป็นสิ่งจำเป็นและมีความต้องการอย่างยิ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เท่านั้น
8. ความปลอดภัยส่วนรวมยุคสมัยการปกครองของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เป็นยุคสมัยที่เรียกร้องความดีงามเพื่อเป็นครรลองสำหรับการดำเนินชีวิตต่อไป ความปลอดภัยเป็นหนึ่งในความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเป็นความปรารถนาสูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคนที่จะได้รับ
เมื่อมนุษย์ทุกคนปฏิบัติตามความเชื่อที่เป็นหนึ่งเดียวกัน และความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเขาวางอยู่บนหลักการของจริยธรรมอันสูงส่ง ความยุติธรรมได้แผ่ปกคุมทั่วทุกสังคม ดังนั้น จึงไม่มีข้ออ้างสำหรับการสิ้นหวังหรือความหวาดกลัวต่อภัยอันตรายต่าง ๆ อีกต่อไป ทุกคนจะได้รับสิทธิของตนและของพระเจ้าโดยเท่าเทียมกัน การลิดรอนสิทธิของบุคคลอื่นแม้เพียงเล็กน้อยก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อรักษาความปลอดภัยและระเบียบของสังคม และกฎหมายให้คงความศักดิ์สิทธิตลอดไป
อิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า โดยน้ำมือของเรา ภายใต้การปกครองของเราพวกท่านได้ผ่านพ้นวันที่อยากลำบากไปแล้ว ... เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้นความอคติทั้งหลายจะอันตรธานหายไปจากหัวใจทุกดวง สัตว์ทุกตัวจะเป็นมิตรกัน ในวันนั้นสภาพสังคมจะมีความปลอดภัยที่สุด สตรีสามารถเดินทางตามลำพังจากเหนือจรดใต้โดยไม่อันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น[19]
แน่นอน สังคมปัจจุบันปราศจากความยุติธรรม ไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีการแก่งแย่งชิงดีกันตลอดเวลา มีอคติต่อกัน และไม่มีความเป็นมิตร ดังนั้น ถ้าจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจสังคมของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ในวันนั้น แต่ถ้าปล่อยวางปัจจัยที่ไม่ดีทั้งหลายให้หมด หรือช่วยกันขจัดสิ่งไม่ดีไม่งามให้หมดไปจากสังคม และนั่งใคร่ครวญให้รอบคอบจะเห็นว่าในยุคของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ความไม่ดีไม่งามทั้งหลายเหล่านี้จะถูกขุดรากถอนโคนจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากคำมั่นสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้ย่อมเป็นจริงเสมอ พระเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรทรงตรัสไว้ในอัล-กุรอานว่า
อัลลอฮฺ ทรงสัญญากับบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่สูเจ้า และบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลายว่า แน่นอนพระองค์จะทรงให้พวกเขาเป็นตัวแทนสืบทอดในแผ่นดิน ดั่งที่พระองค์ทรงให้บรรดาชนก่อนพวกเขา เป็นตัวแทนสืบทอดมาแล้ว และพระองค์จะทรงทำให้ศาสนาของพวกเขาซึ่งพระองค์ทรงโปรดปราน เป็นที่มั่นคง และเป็นเกียรติแก่พวกเขา และแน่นอนพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงให้พวกเขาได้รับความปลอดภัย หลังจากความกลัวของพวกเขา โดยที่พวกเขาจะต้องเคารพภักดีฉัน และไม่ตั้งภาคีอื่นใดต่อฉัน และผู้ใดปฏิเสธหลังจากนั้น พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝ่าฝืน[20]
อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวอธิบายความหมายของโองการข้างต้นว่า โองการนี้ถูกประทานลงมาให้แก่อิมามมะฮฺดีย์ และพลพรรคของเขา[21]
9. การขยายตัวด้านความรู้ในยุคสมัยการปกครองของท่านอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) วิชาการของอิสลามและวิชาการใหม่ ๆ จะถูกเปิดเผยออกมา บรรดานักวิชาการและนักวิจัยค้นคว้าจะมีความก้าวหน้าด้านวิชาการชนิดที่ไม่มีผู้คาดคิดไว้ก่อน
อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวว่า วิชาการความรู้มีอยู่แค่ 27 คำ และทั้งหมดที่ท่านศาสดาเผยแพร่ไปแล้วนั้นมีเพียงแค่ 2 คำ แต่จนบัดนี้ประชาชนก็ยังไม่เข้าใจ 2 คำนั้นว่าหมายถึงอะไร เมื่อกออิมของเรายืนหยัดขึ้น เขาจะสอนอีก 25 คำที่เหลือ และจะแผ่ขยายไปในหมู่ประชาชน และเขาจะอธิบายสองคำที่ยังไม่เข้าใจ ในที่สุดเขาจะเป็นผู้อธิบายวิชาการทั้ง 27 คำ[22]
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การพัฒนาวิชาการความรู้ของมนุษย์เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป และมีความสามารถเป็นไปได้ ซึ่งรายงานจำนวนมากมายจากบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) กล่าวว่า การเติบโตและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในวันนั้นกับยุคสมัยนี้มีความแตกต่างกันอย่างมากมาย
ดังที่ประจักษ์ว่า การอุตสาหกรรมในปัจจุบันกับ การอุตสาหกรรมในอดีตนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ซึ่ง ณ ที่นี้จะขอนำเสนอรายงานบางรายงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เช่น
อิมามญะอฺฟัร อัซซอดิก (อ.) กล่าวถึงความสัมพันธ์ติดต่อกันในยุคของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) ว่า ในยุคสมัยของกออิมผู้ศรัทธาที่อยู่ทางทิศตะวันตกจะมองเห็นผู้ศรัทธาที่อยู่ทางทิศตะวันออก[23]
อีกรายงานหนึ่งท่านกล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่กออิมของเรายืนหยัดขึ้น พระเจ้าจะทรงเพิ่มพลังในการรับฟังและการมองเห็นแก่บรรดาชีอะฮฺ และแม้ว่าอิมามจะอยู่ไกลโพ้นออกไป แต่ท่านจะพูดคุยกับบรรดาชีอะฮฺ และพวกเขาก็จะพูดคุยกับท่าน และเห็นท่าน ขณะที่ท่านพำนักอยู่ ณ ที่พักของท่าน[24]
ความรอบรู้ของอิมามมะฮฺดีย์ (อ.) เกี่ยวกับสภาวะของประชาชน และการดำเนินชีวิตของพวกเขาในฐานะที่ท่านเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้าการปกครอง เป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ และเป็นผู้บัญชาการ รายงานกล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า
ถ้าหากบุคคลใดกล่าวคำพูดใดในบ้านของเขา เขาเกรงว่าผนังบ้านของเขาจะเป็นผู้รายงานคำพูดนั้น[25]
ถ้าพิจารณาถึงความก้าวหน้าและเทคโนโลยีที่ทันสมัยของเครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ ในปัจจุบัน จะเห็นว่ารายงานข้างต้นสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าในวันนั้นจะใช้เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยมากกว่านี้ หรือใช้เครื่องมือสื่อสารประเภทอื่นที่ทันสมัยมากกว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารแทน
ที่มา
http://islamshia-w.com/Portal/Cultcure/Thai/CaseID/45799/71243.aspx