คำสอนของพระแท้ยืนยันว่าฌาณเป็นสิ่งจำเป็นในการสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คำสอนของพระแท้ยืนยันว่าฌาณเป็นสิ่งจำเป็นในการสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล  (อ่าน 1475 ครั้ง)
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 12:37:12 pm »

คำสอนของ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร วัดธรรมมงคล กทม.
(ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
(ถอดจากเทป “สมาธิแก้ความเครียด” ของ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร)

บางคนนั้นกล่าวว่า เจริญวิปัสสนาล้วน ไม่มีสมาธิ อันนี้เป็นไปไม่ได้ จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องมีสมาธิพอเป็นเบื้องบาท ถ้าไม่มีสมาธิเลยจะบำเพ็ญวิปัสสนาล้วนก็ไม่ถูกต้อง

บางคนนั้นคิดว่าเราบำเพ็ญวิปัสสนา คือ เรียนพระอภิธรรม จนกระทั่งรู้จักจิตเท่านั้นดวงเท่านี้ดวง แล้วก็เรียนถึงทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ถึงเรียนไปเท่าไรว่าเป็นวิปัสสนานั้น มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะวิปัสสนาที่จะให้เกิดเป็นวิปัสสนาจริงๆ นั้นต้องเป็นวิปัสสนาที่เกิดขึ้นจากพลังของจิต

สมดังที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงตรัสไว้ว่า สัมมาสมาธิ คือ ฌาน ๔
ในมรรค ๘ นั้น มีข้อสำคัญอยู่ข้อหนึ่งในข้อสุดท้าย คือ สัมมาสมาธิ ฌาน ๔ ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน
ฌานทั้ง ๔ นั้นเป็นสัมมาสมาธิ เป็นองค์มรรคในจำนวนมรรคทั้ง ๘

ก็เป็นอันได้ความว่า ถ้าจะพิจารณาถึงอริยสัจหรือพิจารณาถึงวิปัสสนาแล้ว จะต้องมีสมาธิ ถ้าไม่มีสมาธิมรรคก็จะขาดไปองค์หนึ่ง มรรคนั้นมีองค์ ๘ ถ้าขาดสมาธิก็เหลือองค์ ๗ อันนี้เป็นไปไม่ได้


คำสอนของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
(ลูกศิษย์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา)

(ส่วนที่ 1 : คัดลอกมาจาก หนังสือ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน เรื่อง อัชฌาสัย สุกขวิปัสสโก ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

………………………..
…………………………
พอมีสมาธิเล็กน้อยก็เจริญวิปัสสนาญาณควบกันไปเลย คุมสมาธิบ้าง เจริญวิปัสสนาบ้าง พอสมาธิที่รวบรวมได้ทีละเล็กละน้อย เมื่อสมาธิเข้าถึงปฐมฌาน วิปัสสนาก็มีกำลังตัดกิเลสได้ จะได้มรรคผลก็ตอนที่สมาธิเข้าถึงปฐมฌาน หากสมาธิยังไม่ถึงปฐมฌานเพียงใดจะได้มรรคผลไม่ได้ "นี้เป็นกฎตายตัว"

เพราะมรรคผลต้องมีฌานเป็นเครื่องรู้ ฌานนี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ คือเกือบถึงปฐมฌาน ห่างกันระหว่างปฐมฌานกับอุปจารฌาน เพียงเส้นผมเดียวเท่านั้น จิตเมื่อตั้งมั่นในอุปจารสมาธิแล้วก็จะเกิดจิตจะเกิดความเป็นทิพย์ขึ้น เพราะตามธรรมดานั้นจิตเป็นทิพย์อยู่แล้ว ที่ต้องมาชำระกันใหม่ด้วยการฝึกสมาธิ ก็เพราะจิตถูกนิวรณ์คืออกุศลห่อหุ้มไว้
………………………..
…………………………
จิตเมื่อถูกอกุศลห้าอย่างนี้หุ้มห่อ ก็มีอารมณ์มืดมนท์รู้สิ่งที่เป็นทิพย์ไม่ได้ เพราะอำนาจอกุศลคือนิวรณ์ห้านี้จะพ้นจากจิตไปได้ก็ต่อเมื่อจิตทรงอารมณ์ของฌานไว้ได้เท่านั้น ถ้าจิตทรงอารมณ์ปฐมฌานไม่ได้ จิตก็ต้องตกเป็นทาสของนิวรณ์
………………………..
…………………………
ทั้งห้าอย่างนี้เป็นอารมณ์ของปฐมฌาน เมื่อเข้าถึงตอนนี้จิตก็เป็นทิพย์มากสามารถกำหนดรู้สิ่งที่เป็นทิพย์ได้

ก็ผลของวิปัสสนา คือมรรคผลนั้น การที่จะบรรลุถึงได้ต้องอาศัย ทิพยจักษุญาณเป็นเครื่องชี้ ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อภิกษุบรรลุแล้ว ก็มีญาณบอกว่ารู้แล้ว ที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ ก็ทรงหมายเอาญาณที่เป็นทิพยจักษุญาณนี้ถ้าบรรลุมรรคอรหัตตผลแล้ว ท่านเรียกว่ วิมุตติญาณทัสสนวิสุทธิ วิมุดติแปลว่า หลุดพ้น ญาณ แปลว่า รู้ ทัสสนะ แปลว่า เห็น วิสุทธิ แปลว่าหมดจดอย่างวิเศษ คือ หมดไม่เหลือ หรือสะอาดที่สุด ไม่มีอะไรสกปรก

ฉะนั้น ท่านสุกขวิปัสสโก ถึงแม้ท่านจะรีบปฏิบัติแบบรวบรัดอย่างไรก็ตาม ท่านก็ต้องอาศัยฌานในสมถะจนได้ แต่เพียงฌานเด็กๆ คือปฐมฌาน เป็นฌานกระจุ๋มกระจิ๋มเอาดีเอาเด่นในเรื่องฌานไม่แน่นอนนัก


เครดิต:VANCO




บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: