สาวน้อยพลังจิต
วัตถุสิ่งของต่างๆที่อยู่รอบตัวของเด็กสาววัย 14 ปี ถูกพลังงานลึกลับจับโยนปลิวว่อนไปทั่วทั้งห้องต่อหน้าสักขีพยานหลายคนทั้ง นักวิทยาศาสตร์และผู้สื่อข่าว
แต่ไม่มีใครสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขาได้
ปลายปี 1983 จอห์นและโจแอน เรส์ช (John and Joan Resch) กลายเป็นที่สนใจของคนท้องถิ่นในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ เมื่อพวกเขาอุทิศตนช่วยเหลือสังคมด้วยการรับเลี้ยงดูเด็กกำพร้าและเด็กจรจัด มากกว่า 250 คนตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งๆที่พวกเขามีเครก (Craig) ลูกชายแท้ๆ 1 คน และทิน่า (Tina) ลูกบุญธรรม 1 คนแล้วก็ตาม
5 เดือนหลังจากนั้น ครอบครัวเรส์ชก็ตกเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งเมื่อปรากฏว่ามีเหตุการณ์ประหลาดเกิด ขึ้นรอบๆตัวทิน่า ลูกบุญธรรมวัย 14 ปี ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่อยู่รอบๆตัวทิน่าปลิวว่อนไปทั่วบ้านทั้งๆที่ไม่มี ใครอยู่ใกล้กับสิ่งของเหล่านั้นแม้แต่น้อย
ไฟฟ้าเปิด-ปิดด้วยตัวเอง
วันที่ 3 มีนาคม 1984 ครอบครัวเรส์ชเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แปลกประหลาด เมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างในบ้านเปิดขึ้นเองโดยที่ไม่มีใครอยู่ใกล้กับ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านั้น จอห์นเข้าใจว่าสาเหตุมาจากเครื่องป้องกันกระแสไฟกระชากทำงานขัดข้อง เขาจึงโทรศัพท์แจ้งกับบริษัทผู้ผลิตให้มาตรวจเช็ก แต่บริษัทผู้ผลิตแนะนำว่าอาการนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากระบบกระแสไฟฟ้าขัดข้อง มากกว่า
จอห์นติดต่อไปยังบริษัทการไฟฟ้าให้มาตรวจเช็ก บรูซ เคลกเก็ต (Bruce Claggett) ตรวจระบบไฟฟ้าทั้งบ้านแล้วอนุมานว่าสวิตช์ไฟขัดข้องทำให้ไฟฟ้าวิ่งข้ามมา เข้าสายไฟได้แม้ว่าจะปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วก็ตาม เขาจึงเปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้เพื่อให้ไฟติดตลอดเวลา แต่คราวนี้สวิตช์กลับกระเด้งลงปิดตัวเอง
บรูซงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเดินกลับมาที่สวิตช์เพื่อกดเปิด แต่ยังไม่ทันเดินถึงสวิตช์ มันก็กระเด้งขึ้นเปิดเองต่อหน้าต่อตา บรูซตรวจระบบไฟฟ้าทั้งบ้านอีกครั้ง แต่เหตุการณ์ก็ยังคงเหมือนเดิม พอเขาปิดไฟ ไฟก็กลับเปิดตัวเอง พอเขาจะเดินมาดูมันก็กระเด้งปิดเอง จนในที่สุดบรูซก็ยอมแพ้แล้วแจ้งว่า เขาอธิบายไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่มันไม่ใช่ระบบกระแสไฟฟ้าขัดข้องแน่ๆ
วัตถุบินได้
ค่ำวันนั้น ครอบครัวเรส์ชเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆปลิวว่อนไปทั่วบ้านด้วยตัวมันเอง ลิ้นชักเก็บช้อนส้อมเปิดออกมาเองแล้วช้อนส้อมก็ลอยออกจากลิ้นชักหล่นมาอยู่ บนพื้น แก้วไวน์วางอยู่เฉยๆไม่มีใครแตะต้องกลับแตกละเอียดต่อหน้าต่อตา ไข่ไก่วางอยู่ในกล่องลอยขึ้นไปชนเพดานและกำแพงเหมือนโดนคนจับขว้าง ภาพวาดแขวนผนังร่วงลงมาอยู่ที่พื้น เมื่อจับขึ้นไปแขวนมันก็ร่วงลงมาอีกถึง 3 ครั้ง และก๊อกน้ำเปิดได้เอง
จอห์นพยายามค้นหาสาเหตุของเหตุการณ์ประหลาด ในคืนนั้นเขาแจ้งความไปยังสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจค้นบ้านว่ามีใครแอบเข้ามาแกล้งครอบครัวเรส์ชหรือ ไม่ แต่พวกเขาก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ทิน่าแต่งตัวออกจากบ้านเพื่อไปเข้าโบสถ์ เหตุการณ์ประหลาดต่างๆสงบลงชั่วคราว แต่เมื่อทิน่ากลับมาบ้านในตอนบ่ายเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง จอห์นเริ่มสังเกตเห็นว่าเหตุการณ์ประหลาดนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่ทิน่าอยู่ ในบริเวณนั้นๆเท่านั้น ทำให้จอห์นคิดว่าทิน่าอาจจะถูกผีสิง เขาจึงนิมนต์บาทหลวงมาขับไล่
เย็นวันนั้นบาทหลวง 3 องค์เดินทางมาทำพิธีสวดมนต์ให้พรกับทิน่า แต่มันไม่ได้ช่วยอะไร เหตุการณ์ประหลาดยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีบาทหลวงและเพื่อนบ้านเป็นสักขีพยาน ทำให้เรื่องราวเหตุการณ์ประหลาดในบ้านครอบครัวเรส์ชแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์
วันที่ 5 มีนาคม หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Columbus Dispatch ส่งผู้สื่อข่าว ไมค์ ฮาร์เดน (Mike Harden) และช่างภาพ เฟรด ชานนอน (Fred Shannon) ไปที่บ้านของครอบครัวเรส์ช เพื่อสืบสวนเรื่องราวและสัมภาษณ์ทิน่า
ขณะที่เฟรดและไมค์นั่งลงบนโซฟา โดยที่การสัมภาษณ์ยังไม่เริ่มต้นขึ้น พรมเปอร์เซียที่อยู่บนพื้นก็ลอยขึ้นมาคลุมหัวทิน่าต่อหน้าต่อตาผู้สื่อข่าว และช่างภาพหนังสือพิมพ์ Columbus Dispatch
ไมค์เริ่มสัมภาษณ์ทิน่า ขณะที่ลี อาร์โนลด์ (Lee Arnold) เจ้าหน้าที่หน่วยงานดูแลเด็กกำพร้าของรัฐบาลมาทำหน้าที่สังเกตการณ์ ส่วนเฟรดเตรียมกล้องให้พร้อมต่อเหตุการณ์ประหลาดที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ ตลอดเวลาของการสัมภาษณ์ เขาไม่ละสายตาจากช่องมองภาพของกล้อง เขาเตรียมพร้อมบันทึกภาพเหตุการณ์ทุกวินาที แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป 25 นาทีโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฟรดก็ลดมือลงเพราะความเมื่อยล้าขณะที่เฟรดยังคงดำเนินการสัมภาษณ์อย่างต่อ เนื่อง โดยลีก็ยังคงนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างๆทิน่า
ทันทีที่เฟรดลดมือ วางกล้องถ่ายรูปลงบนตัก โทรศัพท์เครื่องหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะข้างตัวทิน่าก็ปลิวลอยเฉียดใบหน้าของ ทิน่าไปโดยที่ไม่มีใครนั่งใกล้กับโทรศัพท์เครื่องนั้น ซึ่งตลอดเวลาเฟรดและลีก็ยังคงจับตามองทิน่าอยู่ โดยไม่มีใครเห็นว่าทิน่าเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์แต่อย่างใด
เฟรดเดาว่าอะไรก็ตามที่เป็นสาเหตุให้โทรศัพท์ลอยขึ้นมาด้วยตนเองนั้น ไม่ต้องการถูกบันทึกภาพ มันจึงรอให้เฟรดลดกล้องถ่ายรูปลงก่อนจึงค่อยแสดงอิทธิฤทธิ์ เฟรดจึงแกล้งทำเป็นยกกล้องถ่ายรูปขึ้นในระดับสายตาอีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป 5 นาทีเขาก็แกล้งทำเป็นเมื่อยแขนและลดมือลงเหมือนจะวางกล้องลงบนหน้าตัก แต่กล้องยังคงเล็งไปที่ทิน่าและนิ้วของเขายังคงวางอยู่บนชัตเตอร์
เหตุการณ์เป็นไปตามที่เฟรดคาดเอาไว้ ทันใดนั้นเองโทรศัพท์อีกเครื่องก็ปลิวตัดผ่านหน้าทิน่า เฟรดรีบกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็วทำให้เขาสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ประหลาดเอา ไว้ได้ ซึ่งต่อมาภาพถ่ายภาพนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในหลักฐานที่ดีที่สุดที่ ใช้พิสูจน์เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
ปลดปล่อยพลังงาน
อะไรคือสาเหตุให้จู่ๆเด็กสาววัย 14 ปีมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีวี่แววหรือลางบอกเหตุใดๆว่าวัตถุรอบๆตัวทิน่าจะ มีปฏิกิริยาใดๆกับตัวเด็กสาว
วิลเลี่ยม โรลล์ (William Roll) นักจิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย เดินทางมาสืบสวนเรื่องราว เขาเสนอทฤษฎีการปลดปล่อยพลังงานซึ่งมีอยู่อย่างเหลือเฟือในเด็กวัยรุ่น ทิน่าเก็บความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเอาไว้ในใจ เธอว้าวุ่นกับความต้องการรู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเธอคือใคร อีกทั้ง 2 วันก่อนเกิดเหตุการณ์ ทิน่าทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนสนิทที่คบหากันมานานหลายปี
สิ่งที่ถูกเก็บกดเอาไว้ภายในร่างกายของทิน่า สะสมกันจนกระทั่งเธอไม่สามารถจะเก็บเอาไว้ได้ ปล่อยให้ระเบิดออกมาในรูปของพลังงานโดยที่ทิน่าเองก็ไม่รู้ตัว
หลังจากที่หนังสือพิมพ์ Columbus Dispatch ลงข่าวเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัว ทิน่า เรส์ช สื่อมวลชนสาขาต่างๆทั่วประเทศก็ให้ความสนใจ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นนิตยสารชื่อดังเช่น Fate, Readers Digest, Philadelphia Daily News, New Yok Time ขณะเดียวกันวิลเลี่ยมนำตัวทิน่าไปทดสอบที่มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา และสรุปผลการทดสอบว่า ทิน่ามีคุณสมบัติเป็นร่างทรง แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเธอปลดปล่อยพลังงานออกมาได้อย่างไร
พลังจิตหรือมายากล
สถาบันวิจัยเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ Committee for Skeptical Inquiry - CSI ได้ส่งตัวนักวิทยาศาสตร์ 3 คนมาสืบสวนเรื่องราว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เจมส์ แรนดี้ (James Randi) นักจับผิดกลโกงที่จับผิดนักต้มตุ๋นทั่วอเมริกามามากกว่าพันครั้ง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม จอห์นไม่อนุญาตให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ของ CSI เข้ามาสังเกตการณ์ภายในบ้าน
เดือนกันยายน 1984 นิตยสาร Skeptical Inquiry ลงบทความที่มีเนื้อหาสรุปว่า กรณีทิน่า เรส์ช เป็นเพียงเรื่องหลอกลวงอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง ในขณะที่เจมส์ แรนดี้ ให้ความเห็นว่า ทิน่าใช้วิธีเคลื่อนไหวมืออย่างรวดเร็วในการเคลื่อนย้ายวัตถุ ซึ่งเป็นวิธีการที่นักมายากลส่วนใหญ่ใช้ในการแสดง
วิลเลี่ยมออกมาแก้ต่างแทนทิน่า โดยเขากล่าวว่า เขาเองก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาไม่เคยเชื่อสิ่งที่ไม่สามาถพิสูจน์ได้ แต่สิ่งที่เขาเห็นต่อหน้าต่อตานั้นมันไม่สามารถนำทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ และเขาเชื่อว่าทิน่ามีความสามารถเหนือธรรมชาติจริง
วิลเลี่ยมยังคงติดตามสืบสวนเรื่องราวของทิน่าอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน เป็นเวลา 20 ปี เขายังคงยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับทิน่าเป็นของจริง ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง และถ้าหากเขาสามารถค้นหาสาเหตุได้จะทำให้วงการวิทยาศาสตร์สามารถนำพลังจิตมา ใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต
เครดิต:pollyfirst
เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ โปรดใช้วิจารณญาญในการชม[/size