... สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เคยรู้จักหรือใช้พลังจิตมาก่อน พลังจิตเป็นสิ่งลี้ลับที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากผู้ที่มีการฝึกจิต (แบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำได้) จนแก่กล้าแล้วเท่านั้น จึงใช้พลังจิตได้แต่ รู้ใหมครับ คนที่ใช้พลังจิตได้แล้วจะคิดว่าพลังจิตนั้น แท้ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ คนธรรมดาทั่วไปทุกคน (รวมทั้งคุณด้วย) เกิดมาพร้อมศักยภาพในการใช้พลังจิตอยู่แล้วครับ เหมือนกับที่คนปกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสามารถขับรถหรือพูดภาษา อังกฤษได้นั่นแหละครับ ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเราไม่เคยพูดภาษาอังกฤษ มันก็พูดไม่ได้ หรือไม่ได้พูดนานๆสักสิบปี มันก็พูดไม่ได้ พลังจิตก็เหมือนกันแหละครับ ถ้าเราไม่เคยใช้ หรือไม่ได้ใช้นานๆ มันก็ใช้ไม่ได้ แค่นั้นเองจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคุณยังไม่เคย ผมกำลังจะให้คุณลองใช้พลังจิตตอนนี้เลย พร้อมใหมครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลย !
1. นั่งหลังตรง ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย
2. หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ นุ่มนวล
3. ค่อยๆ เอานิ้วชี้มือขวา แตะที่กลางฝ่ามือซ้าย ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ มันจะยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษตรงนี้ ไม่ต้องกังวล
4. ค่อยๆ เปลี่ยน เอานิ้วชี้ซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือขวา ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะเช่นกัน
5. เอามือมาใกล้ๆ กันคล้ายกับประคองลูกบอล ให้มือห่างกันประมาณ 1 ฟุต ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือ แล้วค่อยๆ เอามือเข้าใกล้กันช้าๆ สังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือเสมอ คุณอาจรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรจางๆ บางคนอาจรู้สึกถึงความร้อน ความหนา หรือบางคนอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยินดีด้วย คุณได้ใช้พลังจิตสำเร็จไปแล้ว ! ในวงการเราเรียกสิ่งนี้ว่า PSI BALL (ดูรูปประกอบ)
เห็น ไหมครับ พลังจิตไม่ยาก... เอ่อ เอาล่ะ ที่ยากมันก็มีครับ แต่ที่ผมอยากให้คุณรู้ในครั้งแรกนี้ก็คือ ทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ คุณสามารถใช้พลังจิตได้ ก่อนที่จะบอกคุณว่าพลังจิตคืออะไร ผมอยากให้คุณรู้ว่า พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละ เอาล่ะ ผมยังไม่ลืมหรอกครับ บทนี้ชื่อว่า พลังจิตคืออะไร พลังจิต ก็คือ ความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากศักยภาพของจิต ครับ แค่นั้นเอง หมายความว่า ถ้ามีคนอ่านใจคนอื่น เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นพลังออร่า เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นเพื่อนคุณที่อยู่คนละจังหวัดกับคนที่ทำการมอง เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนใช้เวทย์มนต์คาถา เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนกำหนดเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขากำลังใช่พลังจิต โดยเฉพาะอันสุดท้าย การกำหนดให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่เราต้องการ เป็นพลังจิตครับ ที่จริงทุกคนเคยใช้พลังจิตมาแล้วทั้งนั้น เวลาเราสอบ เรากำลังใช้พลังจิตทำให้ตัวเราทำข้อสอบได้ เวลาเราเตะฟุตบอล เรากำลังใช้พลังจิตทำให้เราเตะได้ดี แต่พวกเราไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังจิต เราไม่รู้ว่าเรากำลังใช้พลังจิตได้แล้ว เราเลยไม่เคยพัฒนาพลังจิตแบบต่างๆ นั่นเอง
อย่าง ไรก็ตาม ในสายตาคนทั่วไป พลังจิตอาจแบ่งออกไปได้อีกหลายอย่าง เช่น การอ่านใจ การรักษา การบังคับวัตถุ การมองเห็นในระยะใกล การหยั่งรู้อนาคต หูทิพย์ ตาทิพย์ สัมผัสทิพย์ การสะกดจิต ฯลฯ เหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพลังจิตครับ และผมหวังว่า บล็อกนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ และอาจจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ (พลังจิต) ได้ ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปแบบ step by step ... แล้วเจอกันครับ ...
สรุป
1. พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะใช้พลังจิตได้
2. พลังจิตฝึกได้ พัฒนาได้ และลืมได้
ส่งข้อความผ่าน MSN ถึง Siani_3D
เรื่องราวพลังแห่งจินตนาการ ทั้งที่พิสูจน์ได้และไม่ได้ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
1) พลังจิต คืออะไร ? / Psychic Power ?
... สำหรับคนทั่วไปที่ไม่เคยรู้จักหรือใช้พลังจิตมาก่อน พลังจิตเป็นสิ่งลี้ลับที่คนทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ นอกจากผู้ที่มีการฝึกจิต (แบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำได้) จนแก่กล้าแล้วเท่านั้น จึงใช้พลังจิตได้แต่ รู้ใหมครับ คนที่ใช้พลังจิตได้แล้วจะคิดว่าพลังจิตนั้น แท้ที่จริงเป็นเรื่องธรรมดามากๆ คนธรรมดาทั่วไปทุกคน (รวมทั้งคุณด้วย) เกิดมาพร้อมศักยภาพในการใช้พลังจิตอยู่แล้วครับ เหมือนกับที่คนปกติทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่จะสามารถขับรถหรือพูดภาษา อังกฤษได้นั่นแหละครับ ซึ่งในทางกลับกัน ถ้าเราไม่เคยพูดภาษาอังกฤษ มันก็พูดไม่ได้ หรือไม่ได้พูดนานๆสักสิบปี มันก็พูดไม่ได้ พลังจิตก็เหมือนกันแหละครับ ถ้าเราไม่เคยใช้ หรือไม่ได้ใช้นานๆ มันก็ใช้ไม่ได้ แค่นั้นเองจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วถ้าคุณยังไม่เคย ผมกำลังจะให้คุณลองใช้พลังจิตตอนนี้เลย พร้อมใหมครับ ถ้าพร้อมแล้ว ไปเลย !
1. นั่งหลังตรง ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย
2. หายใจช้าๆ ลึกๆ เบาๆ นุ่มนวล
3. ค่อยๆ เอานิ้วชี้มือขวา แตะที่กลางฝ่ามือซ้าย ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะ มันจะยังไม่พบอะไรเป็นพิเศษตรงนี้ ไม่ต้องกังวล
4. ค่อยๆ เปลี่ยน เอานิ้วชี้ซ้ายแตะที่กลางฝ่ามือขวา ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือที่ถูกแตะเช่นกัน
5. เอามือมาใกล้ๆ กันคล้ายกับประคองลูกบอล ให้มือห่างกันประมาณ 1 ฟุต ลองสังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือ แล้วค่อยๆ เอามือเข้าใกล้กันช้าๆ สังเกตความรู้สึกที่กลางฝ่ามือเสมอ คุณอาจรู้สึกคล้ายสัมผัสอะไรจางๆ บางคนอาจรู้สึกถึงความร้อน ความหนา หรือบางคนอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ยินดีด้วย คุณได้ใช้พลังจิตสำเร็จไปแล้ว ! ในวงการเราเรียกสิ่งนี้ว่า PSI BALL (ดูรูปประกอบ)
เห็น ไหมครับ พลังจิตไม่ยาก... เอ่อ เอาล่ะ ที่ยากมันก็มีครับ แต่ที่ผมอยากให้คุณรู้ในครั้งแรกนี้ก็คือ ทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ คุณสามารถใช้พลังจิตได้ ก่อนที่จะบอกคุณว่าพลังจิตคืออะไร ผมอยากให้คุณรู้ว่า พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละ เอาล่ะ ผมยังไม่ลืมหรอกครับ บทนี้ชื่อว่า พลังจิตคืออะไร พลังจิต ก็คือ ความสามารถตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เกิดขึ้นจากศักยภาพของจิต ครับ แค่นั้นเอง หมายความว่า ถ้ามีคนอ่านใจคนอื่น เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นพลังออร่า เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนมองเห็นเพื่อนคุณที่อยู่คนละจังหวัดกับคนที่ทำการมอง เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนใช้เวทย์มนต์คาถา เขากำลังใช้พลังจิต ถ้ามีคนกำหนดเหตุการณ์ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขากำลังใช่พลังจิต โดยเฉพาะอันสุดท้าย การกำหนดให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่เราต้องการ เป็นพลังจิตครับ ที่จริงทุกคนเคยใช้พลังจิตมาแล้วทั้งนั้น เวลาเราสอบ เรากำลังใช้พลังจิตทำให้ตัวเราทำข้อสอบได้ เวลาเราเตะฟุตบอล เรากำลังใช้พลังจิตทำให้เราเตะได้ดี แต่พวกเราไม่รู้ว่านั่นเป็นพลังจิต เราไม่รู้ว่าเรากำลังใช้พลังจิตได้แล้ว เราเลยไม่เคยพัฒนาพลังจิตแบบต่างๆ นั่นเอง
อย่าง ไรก็ตาม ในสายตาคนทั่วไป พลังจิตอาจแบ่งออกไปได้อีกหลายอย่าง เช่น การอ่านใจ การรักษา การบังคับวัตถุ การมองเห็นในระยะใกล การหยั่งรู้อนาคต หูทิพย์ ตาทิพย์ สัมผัสทิพย์ การสะกดจิต ฯลฯ เหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นพลังจิตครับ และผมหวังว่า บล็อกนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ และอาจจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ (พลังจิต) ได้ ซึ่งผมจะอธิบายต่อไปแบบ step by step ... แล้วเจอกันครับ ...
สรุป
1. พลังจิตไม่ใช่ปาฏิหาริย์ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะใช้พลังจิตได้
2. พลังจิตฝึกได้ พัฒนาได้ และลืมได้
2) จิตใต้สำนึก / Subconscious Mind นคราวที่แล้ว เราเรียนรู้ว่าเราทุกคนสามารถใช้พลังจิตได้ (และหลายคนสามารถพิสูจน์ได้) คราวนี้ เราจะเริ่มเรียนรู้การทำงานของพลังจิต โดยเริ่มจาก รู้จักกับจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) คำว่าจิตใต้สำนึกนี้ เราจะพบในหนังสือ เวบไซต์ และสถาบันที่ศึกษาเรื่องพลังจิตแทบทุกที่ ว่ากันว่า จิตใต้สำนึกของเรานั้นมีพลังไร้ขีดจำกัด และว่ากันว่า ถ้าเราไม่รู้จักจิตใต้สำนึกแล้วเราใช้ความสามารถเพียง 7% แล้วก็ว่ากันว่า (อีกแล้ว) ว่าในการใช้พลังพิเศษ เราต้องใช้พลังจากจิตใต้สำนึก สรุปแล้วจิตใต้สำนึกมันทำไมสำคัญนัก มันคืออะไรกันแน่ ในครั้งนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องนี้กัน
เรื่องของจิต จิตสำนึก และจิตใต้สำนึก
ก่อน อื่น เราต้องทำความเข้าใจว่าจิตคืออะไรกันแน่ เพราะจริงๆ แล้ว คำว่า "จิต" เองมีการใช้กันอย่างสับสน บางทีเราจะพูดว่าจิตแข็ง นั่นแสดงถึงระดับความมานะและความดื้อรั้น จิตตก นั่นหมายถึงหมดกำลังใจ จิตหลอน นั่นหมายถึงการรับรู้ข้อมูลซึ่งผิดปกติ ฯลฯ แต่สำหรับบทความนี้ เราจะพูดถึงจิตที่หมายถึงสิ่งที่เรารับรู้ จริงๆ แล้ว รอบๆ ตัวเรานี้เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง บางอย่างพบเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น หรือรับรู้ได้ง่ายๆ เช่น หน้าจอ
คอมพิวเตอร์นี้ มือของคุณ และคีย์บอร์ด เป็นสิ่งที่จิตเรา รับรู้ได้ง่ายๆ ซึ่งก็คือจิตของเราสามารถสำนึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย แต่ในทางกลับกัน มีบางอย่างที่รับรู้ยาก เช่น การเต้นของหัวใจ การไหลของพลาสม่าบนจอมอนิเตอร์ วิญญาณ และความรู้สึกของคนอื่นที่อยู่รอบๆ เรา ที่ปกติเราจะไม่รู้สึก และนั่นหมายความว่า จิตของเราไม่ได้สำนึกถึงสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น จิตสำนึก ก็คือ การรับรู้ของจิต ถ้า เราสำนึกผิด แสดงว่าเรารับรู้กระบวนการต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่เราพลาด แต่ถ้าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราทำอะไรผิด (เรายังไม่สำนึกผิดเลย) เราจะเรียกสิ่งที่อยู่นอกเหนือจิตสำนึก ซึ่งเราจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่อยู่ใต้จิตสำนึก ว่า จิตใต้สำนึก นั่นเอง เช่นเวลาที่เราไม่รู้สึกถึงการเต้นของชีพจร การเต้นของชีพจรก็อยู่ในข่ายจิตใต้สำนึก เวลาที่เราเกิดโกรธใครโดยไม่รุ้ตัว เราก็โกรธจากจิตใต้สำนึก ระวังอย่าเข้าใจผิด! หลายๆ คนและหนังสือหลายๆ เล่มพยายามจัดประเภทของกิจกรรมและเรื่องราวต่างๆ แต่ละอย่างว่าเป็นเรื่องของจิตสำนึกหรือจิตใต้สำนึก แต่จริงๆ แล้วอย่าลืมว่า ขอบเขตของมันอยู่ที่การรับรู้ ถ้าเรารู้โดยชัดเจน มันคือจิตสำนึก การระลึกชาติปกติเราไม่รู้ ดังนั้นมันคือจิตใต้สำนึก แต่ในขณะที่คุณระลึกชาติอยู่ และทำได้สำเร็จ มันกลายเป็นเรื่องของจิตสำนึก ดังนั้นที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่เป็นจิตสำนึกหรือจิตให้สำนึกเสมอไปหรอก มันขึ้นอยู่กับระดับการรับรู้
พลังพิเศษของจิตใต้สำนึก ...
ถ้า สมมุติเราปิดหน้าจอคอม เราก็จะเล่นคอมไม่ได้ (ถึงแม้จะเปิดเครื่องแล้วก็ตาม) เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่สำนึกหรือรับรู้ถึงสิ่งใด เราก็ย่อมไม่สามารถใช้สิ่งนั้นได้ฉันนั้น ดังนั้น เราจะทำอะไร เราต้องทำให้สิ่งนั้นมาอยู่ในขอบเขตของจิตสำนึกของเรา รวมถึงพลังจิตการเข้าถึงอาณาเขตของบางอย่างที่เคยเป็นจิตใต้สำนึกนี่แหละ ที่มักจะเรียกกันว่า การเปิดจิตใต้สำนึก แต่จริงๆ เราแค่ขยายเขตของจิตสำนึกออกไปจนครอบคลุมเรื่องที่เราจะทำนั่นเอง จิตใต้สำนึกไม่ได้เปิดหรือปิดจริงๆ หรอกครับ แต่มันเหมือนกับว่าเราแหย่เข้าไปในเขตที่เคยเป็นของจิตใต้สำนึกเท่านั้น เอาละ พอเราขยายจิตสำนึกหน้าจอเปิด เราก็เล่นคอมได้ ถ้าเรารู้สึกถึงพลังปราณ เราก็หัดใช้ปราณได้ ถ้าเรารู้สึกถึงอารมณ์อย่างทันเวลา เราก็อาจจัดการอารมณ์ได้ และจริงๆ แล้ว ยังมีสิ่งต่างๆ รอบตัวเราที่รอให้เรารับรู้และใช้งานอีกมากมายมหาศาล นั่นเป็นเหตุผลที่หลายคนจะบอกคุณว่า พลังที่แท้จริงของมนุษย์ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกไงล่ะ!
ตัวอย่างแรก - เวลาไฟใหม้ หลายๆ คนจะสามารถยกของหนักกว่าตัวมากๆ แล้ววิ่งได้สบายๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าไฟไม่ไหม้จะทำไม่ได้ เพราะกลไกการออกแรงนั้นอยู่ในจิตใต้สำนึก พวกเขาจึงบังคับมันไม่ได้
ตัวอย่างที่สอง - บางทีเรารับรู้อนาคตอย่างเลือนรางสุดๆ จนใช้อะไรไม่ได้ นั่นเป็นเพราะความสามารถในการหยั่งรู้และอำนาจจิตอื่นๆ ส่วนใหญ่อยู่ในจิตใต้สำนึก
ตัวอย่างที่สาม - ไอเดียหรือความรู้บางอย่างที่ไม่มีใครคิดได้มาก่อน จริงๆ แล้ว ไอเดียเหล่านั้นมีอยู่มากมายในจิตใต้สำนึก แต่เรามองไม่เห็นมันจึงไม่สามารถคิดเรื่องนั้นได้
นั่นคือ ถ้าเราขยายจิตใต้สำนึกออกไปมากพอ เราจะรับรู้และมีโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ มากกว่าเดิม
สัญชาติญาน ...
ใน บางสถานการณ์ เรามักทำอะไรที่เราไม่เคยทำได้โดยไม่รู้ตัว เช่นวิ่งหนีอะไรบางอย่างด้วยความเร็วและความอดทนราวกับนักกีฬาตัว จริง..เพราะตกใจ! หรือบางครั้ง เวลาที่เราต้องเลือกอะไรสักอย่าง เราอาจรู้สึกเหมือนต้องเลือกสิ่งของชิ้นหนึ่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ และพบภายหลังว่า นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว จริงๆ แล้วตลอดเวลาทีเราใช้ชีวิต จิตของเราได้เก็บข้อมูลและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ตลอดเวลา เพื่อให้เราเอาตัวรอดจากอันตรายได้ทันโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคิด โดยที่การตอบสนองต่ออันตรายนี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ นั่นคือ ต่อให้เราไม่รู้และไม่ได้สั่ง มันก็ยังทำงาน ใช่แล้วไม่รู้และไม่ได้สั่ง มันก็ถือเป็นจิตใต้สำนึก และแท้ที่จริงข้อมูลและทักษะมหาศาลตั้งแต่การกะพริบตาไปจนถึงการรักษาด้วย พลังจิตและพลังอื่นๆ อีกมาก ได้ถูกบันทึกไว้ในส่วนของสัญชาติญาน แต่มันอยู่ในจิตใต้สำนึก เพราะอะไรน่ะหรือ? มันก็เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับมือใหม่นั่นแหละ อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องสนใจเขาก็ทำมาให้เป็นค่าอัตโนมัติก่อน ไว้ถ้าเราชำนาญเมื่อไหร่ค่อยดัดแปลงเอา ไม่งั้นปรับมั่วมันจะพังเอาน่ะสิ
การปรับเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึก ...
บอก ตามตรงว่าจริงๆ แล้ว วิธีการฝึกเพื่อเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึกนั้นมีเป็นพันครับ และแต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละคนในแต่ละช่วงเวลา ไม่มีวิธีไหนเป็นวิธีที่ดีที่สุด คุณต้องลองเอง หลักการก็ง่ายๆ การจะฝึกวิ่ง ก็คือวิ่ง การจะฝึกการรับรู้ ก็คือรับรู้
นี่เป็นตัวอย่างบางวิธีครับ
1. เวลาที่เราเข้าไปในสถานที่ใหม่ๆ หรือพบคนใหม่ๆ พยายามสัมผัสความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเรา ความรู้สึกบางอย่างออกมาจากสถานที่หรือบุคคลที่เราติดต่อด้วย
2. ถ้าว่าง จัดท่าทางให้สบาย ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย ไม่จำเป้นต้องหลับตา หายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ ยาวๆ นับจังหวะหายใจเข้าและออกให้เท่ากัน ความยาวไม่สำคัญเท่าจังหวะ ต้องให้สม่ำเสมอเท่ากันทั้งเข้าออก ถ้าจะเปลี่ยนความยาวก็ต้องเปลี่ยนให้เท่ากันด้วย ทำแบบนี้ไปสักพัก จะรู้สึกสบาย จิตจะละเอียดขึ้น กำหนดจุดสนใจไปที่ลมหายใจ ตัดความสนใจเรื่องอื่นๆ ออกไป จากนั้นขยายออกไปทั่วตัว สัมผัสการเคลื่อนไหวภายใน ลมหายใจ ปอด แรงสะเทือน ฯลฯ ขยายออกไปอีก สัมผัสอากาศรอบๆ ตัว รอบๆห้อง และขยายออกไปอีกถ้าทำได้ แน่นอน เราต้องรู้สึกถึงสิ่งที่อยู่ในขอบเขตนั้นด้วย ไม่ว่าอะไรที่มีอยู่ในนั้นแม้เล็กน้อย เราต้องรู้สึกมันทุกรายละเอียด เพียงแค่รับรู้เฉยๆ อย่าไปวุ่นวายตัดสินหรือคิดอะไรต่อเนื่อง ระหว่างที่ทำแบบนี้ จะมีความคิดหลุดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แรกๆ เราจะควบคุมมันไม่ได้ อย่าซีเรียสครับ มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ที่จะต้องทำให้ได้คือ ดูมัน ว่ามันเป็นความคิดหรือความรู้สึกอะไร และที่สำคัญ อย่าไปตัดสินว่ามันดีหรือไม่ดี สำรวจมันอย่างธรรมชาติ การสำรวจความจิตและความคิดในขณะที่มันทำงานโดยอิสระเป็นจุดสำคัญของแบบฝึก นี้ ขอให้ฝึกจนชำนาญ แบบฝึกนี้จะเป็นพื้นฐานให้กับแบบฝึกหลังๆ ครับ
สรุป
1. จิตสำนึก คือขอบเขตที่เรารับรู้ได้ ซึ่งไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับระดับของจิต
2. ในจิตใต้สำนึก มีสิ่งต่างๆ ซ่อนอยู่มากมายรอให้เราค้นพบและเล่นกับมัน
3. โดยธรรมชาติ เราจะไม่ได้สัมผัสและควบคุมจิตใต้สำนึกตั้งแต่ต้น เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
4. การฝึกเปลี่ยนระดับจิตใต้สำนึก มีหลักการง่ายๆ แค่ตั้งใจรับรู้และสังเกตรายละเอียดของสิ่งที่เป็นเป้าหมายในการฝึก โดยเริ่มฝึกจากการฝึกสังเกตความรู้สึกนึกคิดของเราเอง
3) ความฝัน / Dreams จากคราวที่แล้ว เราเรียนรู้ความหมายของจิตใต้สำนึก เราเริ่มสังเกตว่ามันอาจมีสิ่งต่างๆ ทำงานอยู่ในระบบของมันโดยที่เราไม่เคยรู้เลยว่ามันทำอะไร เพื่ออะไร ในจิตใต้สำนึกนั้น และเราเริ่มหัดที่จะเข้าสู่จิตใต้สำนึกแบบง่ายๆ แล้ว (หวังว่าทำได้แล้วใช่ใหม?... เยี่ยมมากครับ) งั้น คราวนี้ เราจะไปกันต่อในส่วนของจิตใต้สำนึกที่สำคัญ และยากขึ้นอีกหน่อย.. "ความฝัน" ...
น่า สงสัยมาก ว่า ทำไมมนุษย์ถึงเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเพลิดเพลินกับความฝันที่ไม่มี อยู่จริง จริงหรือ! ที่ฟังก์ชันนี้เป็นไปเพื่อสร้างความสำราญเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสาระอะไรเลย? ข่าวดี! มันไม่ไร้สาระ เรื่องนี้เป็นอย่างที่คุณหวังไว้.. ความฝันเป็นกระบวนการทำงานที่สำคัญมากของวิญญานมนุษย์
ก่อน อื่นที่จะเข้าใจความฝัน เราต้องเข้าใจลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของมนุษย์ คือ ความสามารถในการปรุงแต่งความต้องการใหม่ๆ ได้ ซึ่งสัตว์ทุกชนิดทำได้เพียงต้องการและแสวงหาตามสัญชาติญาน ไม่มีการเป็นอย่างอื่นอีก วัวเกิดมาก็กินนม แล้วก็หญ้า ไม่มีวัวตัวไหนสนใจอยากกินซึชิ หรือไก่งวงอบ แค่หญ้า.. แต่มนุษย์เท่านั้นนับวันจะคิดค้นของกินเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ และต้องการในสิ่งต่างๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด
แต่แย่จัง! ความต้องการของมนุษย์สุดจะประมาณได้ แต่ความสามารถในการทำความต้องการให้เกิดขึ้นจริงกลับไม่ได้ใกล้เคียงเลย สิ่งที่หวังไว้เอาแต่ละคนเข้าจริงทำได้แค่จิ๊ดเดียวนอกนั้น เวลาผ่านไป ความต้องการมันก็หายไปเอง มันหายไปยังไง..? หายด้วยฝันนั่นแหละ!
เวลา ที่ความต้องการเกิดขึ้น ความต้องการก็คือพลังงานในมิติทิพย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเวลาที่พลังงานเกิดขึ้นแล้ว มันไม่มีทางหายไปเฉยๆ ครับ แต่มันจะต้องถูกใช้แปรสภาพไปเป็นพลังงานอย่างอื่น เป็นการกระทำ เป็นความคิด เป็นการพูด พอใช้หมด พลังงานความต้องการก็จะหมดไป (แต่จะกลายเป็นพลังงานอย่างอื่นต่อ..ไม่หายไปนะ) แต่โอ้อนิจจา บางทีคนเราเลือกที่จะไม่ทำตามความต้องการของตนเพราะเหตุผลมากมาย บาป กลัวล้มเหลว ขี้เกียจ ฯลฯ ทีนี้แหละครับ พลังงานความต้องการที่เราไม่ยอมเอาไปใช้เปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างอื่น ก็ไม่สามารถไปไหนได้ แต่จะเก็บกดอยู่ข้างใน (ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว) พอเราล้มตัวลงนอน จิตใต้สำนึกเป็นอิสระจากส่งรบกวนในชีวิตประจำวัน มันจะทำการเผาผลาญพลังงานความต้องการที่มากเกินไป โดยการเอาพลังงานนั้นมาสร้างทำเป็นหนังครับ แล้วเรื่องที่ออกมา ก็เกี่ยวกับความต้องการที่ค้างอยู่นั่นแหละ ยิ่งหนังความฝันซับซ้อน ยาว และเหมือนจริงเท่าไหร่ ก็ต้องใช้พลังงานสูง และหมายถึงกำจัดพลังงานส่วนเกินได้มากด้วย แต่ถ้าพลังงานความต้องการมากเกิน (หรือเราไปเพิ่มเข้าเรื่อยๆ ในเรื่องเดิมๆ) อาจต้องฉายหลายรอบครับ ถึงจะหมด
นั่นแหละครับ การทำงานของความฝัน เพื่อเปลี่ยนแปลงถ่ายเทพลังงานตกค้าง
แต่ เดี๋ยวก่อน! นอกจากพลังงานความต้องการแล้ว บางทีโปรแกรมฝันยังเปลี่ยนสัญญานจากเบื้องบน หรือสัญญานจากจิตใต้สำนึกที่จะแนะนำเราในการใช้ชีวิต ให้กลายสัญญานรูปรสกลิ่นเสียง.. คือเป็นฝัน และไม่ว่ากรณีไหน หากเรารู้สึกและจดจำความฝันได้ ยิ่งมีประสิทธิภาพครับ ถ้าสมมุติฝันเผาผลาญพลังงาน มันจะเผาได้สนิทขึ้น ถ้าฝันบอกใบ้ยิ่งจำเป็น (ไม่งั้นบอกอะไรมา ลืมหมดก็จบกัน)
ดังนั้น จริงๆ แล้ววิชา Dream Recall มีประโยชน์กว่าวิชา Dream Control อีกครับ เอ้า หาสมุดวางไว้หัวนอนได้! ...
สรุป
1. ฝันเป็นโปรแกรมที่มหัศจรรย์มากๆ
2. การทำงานของฝัน คือการเปลี่ยนแปลงและถ่ายเทพลังงาน
3. บางครั้งฝันคือการถ่ายทอดสัญญานแนะนำการใช้ชีวิต
4. เราสามารถช่วยให้ฝันทำงานดีขึ้นได้ ด้วยการฝึกจำความฝัน (Dream Recall)