รักษาโรคเหลอดเลือดแดงโคโรนารี
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 23, 2024, 11:52:25 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รักษาโรคเหลอดเลือดแดงโคโรนารี  (อ่าน 2351 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 07:48:38 am »



ผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดโคโรนารีตีบตันอาจไม่มีอาการเลยก็ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องรักษา เพราะอาการจะเกิดเมื่อเกิดความไม่สมดุลของหัวใจ เหมือนคนที่ไม่หิว นอนเฉย ๆ แล้วอิ่มทิพย์ ไม่กินอาหาร ไม่ดื่มน้ำ  อยู่ได้สักพักก็จะทรุดลง ในขณะที่ถ้าเราไปออกแรง เล่นกีฬา ทำงานหนัก ย่อมต้องหิวเป็นธรรมดา และอาจจะหิวมากด้วยถ้าอดอาหารมาหลาย ๆ มื้อ ดังนั้นหากผู้ป่วยไม่มีอาการ ลองสังเกตดู มักจะไม่ได้ออกแรงเลย สังคมไทยเราเป็นสังคมตะวันออก มีลูกหลานดูแลผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านทำให้ผู้สูงอายุไม่ได้ออกแรง เลยทำให้ไม่เกิดอาการ นี่เป็นสาเหตุหลักเลย ต่างจากสังคมตะวันตก เป็นสังคมเล็ก ๆ อยู่กัน 2 คนตายาย ต้องช่วยตัวเอง ทำให้สังเกตอาการได้เร็ว รู้ความเจ็บป่วยก่อนที่จะหนักเกินไปมาพบแพทย์โดยเร็ว

    ปกติสามารถรักษา อาการหัวใจขาดเลือดได้ 3 วิธีได้แก่ รับประทานยา การผ่าตัดต่อทางเบี่ยงหลอดเลือดหรือบายพาสหลอดเลือด และรักษา ผ่านสายสวนด้วยบอลลูนร่วมกับการสอดฝังขดลวดค้ำยันผนังหลอดเลือดโคโรนารี ซึ่งวิธีสุดท้ายได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากอยู่โรงพยาบาลสั้นกว่าการผ่าตัด     หลักการรักษาเพื่อเพิ่มเลือดไปหัวใจ จะต้องคำนึงถึง 4 ปัจจัยสำคัญ ๆ คือ

    1.มีอาการเจ็บหน้าอกขณะออกแรง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ควรจะประเมินปริมาณการออกแรงด้วย เพราะหากเจ็บหน้าอกขณะออกแรงหนัก ๆ เช่น แบกหามของหนัก จะรุนแรงน้อยกว่าหากเจ็บหน้าอกทั้ง ๆ ที่ออกแรงน้อย ๆ เช่น ขณะอาบน้ำบิดเสื้อผ้าซึ่งมักจะสัมพันธ์กับหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรง

    2.ตรวจพบหัวใจขาดเลือด เป็นการตรวจพิเศษเพื่อที่จะแสดงว่าหัวใจขาดเลือดจริงตรวจวัดความรุนแรงได้เพราะเป็นการตรวจทางสรีระ เช่น การทดสอบการเดินออกแรงบนสายพาน สัญญาณว่าหัวใจ ขาดเลือด ได้แก่ พบคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ส่วนระนาบเอสทีลดต่ำ ลง (STsegment depression) หรือตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน ร่วมกับการออกกำลังเดินบนสายพาน (Exercise echocardiography) หรือร่วมกับการใช้ยาโดบิวทามีนซึ่งเป็นยาเร่งหัวใจ (Dobutamine echocardiography) สัญญาณที่สำคัญ ได้แก่ หัวใจส่วนที่ขาดเลือด จะบีบตัวผิดปกติจากเดิม ทำให้เราทราบความรุนแรงของโรค โดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการ บางรายตรวจพบว่าความดันเลือดตก ซึ่งจะบ่งชี้ความรุนแรงมากขึ้นไปอีก

    3.ตรวจพบหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยการตรวจเอกซเรย์ความถี่สูง เช่น การตรวจ (64 slice computerizedtomogra phy coronaryangiography) ซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบันว่า มีการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจตรงไหน ตำแหน่งใด หรือตรวจกรองวัด ปริมาณหินปูนที่หลอดเลือด Coronary calcium scoring) ซึ่งจะบอกว่าหลอดเลือดหัวใจแข็ง สัมพันธ์กับการตีบตัน

    4.การรักษาด้วยยา ผู้ป่วยควรได้รับการรักษามาก่อนด้วยยาอย่างน้อย 3 ขนาน แล้วพบว่าไม่ได้ผล จึงจะสมควรได้รับการรักษาโดยเพิ่มเลือดที่หัวใจ ไม่ใช่ทุกรายที่ป่วยด้วยหลอดเลือดตีบที่ต้องรักษาแบบเพิ่มเลือด ยาหลัก ๆ ได้แก่ ยาแอสไพริน (aspirin) ยาต้านเบต้า (beta blocker) ยาลดไขมันชนิดสแตติน (statin) และยาลดความดันโลหิต เช่น ยาต้านเอส (ACE-inhibitor)

    หากพบว่ามีปัจจัยข้อใดข้อหนึ่งดังกล่าวแล้ว ควรต้องได้รับการรักษาแบบเพิ่มเลือดไปหัวใจ ซึ่งสามารถรักษาได้ 2 วิธีคือ การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและ/หรือขดลวดและการผ่าตัดต่อทางเบี่ยงเส้นเลือดหัวใจ

รักษาด้วยบอลลูนขดลวด

    ขดลวดที่ใช้ทำจากสเตนเลสไม่มีปฏิกิริยากับร่างกาย อยู่ติดแนบกับผนังหลอดเลือดไปตลอด เป็นวิธีที่ทำง่ายกว่า เจ็บตัวน้อย ไม่มีแผลเป็น อยู่โรงพยาบาลน้อย แต่มีข้อจำกัด คือ การตีบซ้ำ พบได้ไม่เกินร้อยละ 8-10 ยกเว้นหลังรักษารอยโรคที่รุนแรง เช่น อุดตันมานาน รอยโรคที่ตีบยาว ๆ หรือรอยโรคที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเล็ก ๆ หรือในรายเบาหวาน จะตีบตันซ้ำบ่อยกว่า ราวร้อยละ 13-20 ทีเดียว ถึงแม้จะใช้ขดลวดแบบเคลือบยาเพื่อ  ต้านการตีบซ้ำก็ตาม นอกจากนี้ยังต้องรับประทานยาต้านเกล็ด เลือด 2 ขนานนานอย่างน้อย 1 ปีด้วย

    การผ่าตัดต่อทางเบี่ยงเส้นเลือดหัวใจ

    ได้ผลดีกว่าการทำบอลลูนหากเป็นเบาหวานหรือตีบที่ขั้วซ้าย หรือตีบตัน 3 เส้นและหัวใจคราก แต่จะอยู่โรงพยาบาลนานกว่า แผลผ่าตัดดูน่ากลัว ระยะพักฟื้นนานกว่า แต่     ผลการรักษาดีและคงทนถาวรกว่าการทำบอลลูนใส่ขดลวดเสียอีก  ข้อจำกัด     คือ ต้องดมยาสลบ ผ่าตัดใหญ่ ใส่ท่อหายใจ จึงมีข้อจำกัดหากเป็นโรคปอดเรื้อรัง หรือสูงอายุมาก ๆ

        รอยโรคที่สมควรได้รับการรักษาเพิ่มเลือดมากที่สุด ได้แก่ รอยโรคที่ตีบที่หลอดเลือดซ้ายหลักหรือซ้ายแขนงส่วนต้น ได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะลดอัตราตายได้ นอกจากนั้นแล้วได้แก่ หลอดเลือดตีบ 2-3 เส้น หัวใจบีบตัวลดลง ดังนั้นหากท่านไปตรวจสุขภาพซึ่งปัจจุบันมักเสริมการตรวจ 64 slice CTA ไปด้วยและพบการตีบนอกเหนือจากที่กล่าว หมอชวนทำบอลลูนเลยไม่ควรทำในทันที ต้องกลับมาทบทวนว่าจริง ๆ แล้วมีอาการหรือไม่ หัวใจขาดเลือดโดยไม่มีอาการหรือไม่ การทำบอลลูนจะป้องกันหัวใจตายได้จริงหรือ (ใช่ถ้าตีบที่ขั้วซ้าย หรือแขนงซ้ายส่วนต้นที่เรียก LAD ส่วนต้น).

    ข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ดำรัส ตรีสุโกศล อายุรแพทย์โรคหัวใจ ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช และที่ปรึกษาศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 2

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!