ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 7 สิงหาคม
นายวาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้เสียชีวิตอย่างสงบแล้วด้วยโรคชรา
ภายในบ้านพักของตัวเอง ที่ ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ในวัย 96 ปี
โดยนายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีได้เดินทางไปยังบริเวณงานศพแล้ว
หลังจากนี้จะมีการประกอบพิธีทางศาสนาอิสลามต่อไป ภายใน 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม คาดว่า จะมีการฝังศพที่กุโบร์ บริเวณละแวกบ้านของนายวาเด็ง ต่อไป
สำหรับ
นายวาเด็ง ปูเต๊ะ หรือ "พระสหายแห่งสายบุรี" เป็นชาวบ้านหมู่ 5 บ้านทุ่งเค็จ ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
ซึ่งความเป็นมาที่ได้เป็นพระสหายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2535
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินยังโครงการพัฒนาพรุแฆแฆ อ.สายบุรี
ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมขนาดใหญ่ใช้ประโยชน์ไม่ได้
จึงทรงมีพระราชดำรัสให้ศึกษาหาวิธีระบายน้ำในที่ลุ่มยามน้ำหลาก
และเก็บกักไว้ใช้ยามหน้าแล้ง ชาวบ้านจะได้มีน้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก
ด้วยพระราชหฤทัยที่มุ่งมั่นในอันที่จะบำบัดความเดือดร้อนของชาวบ้าน
ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะมืดลำบากอย่างไร พระองค์ยังเสด็จพระราชดำเนินต่อไป
เมื่อสิ้นสุดเส้นทางรถยนต์จึงเสด็จฯ ตามทางเท้าเล็กๆ สองข้างรกชัฏไปอีกไกลด้วยพระบาท
เมื่อถึงชายคลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จนั้นตะวันลับขอบฟ้าพอดี
ทรงพิจารณาแผนที่ด้วยแสงจากไฟฉายเป็นเวลานาน
ท่ามกลางความมืดมิดและความตึงเครียดของเจ้าหน้าที่ถวายอารักขา
ขณะที่ "เป๊าะเด็ง" กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการดูแลต้นทุเรียนและลองกองในสวน
ช่วงเวลาใกล้ค่ำได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา หนึ่งในจำนวนนั้นได้กวักมือเรียกให้เข้าไปหา
แต่เขากล้า ๆ กลัว ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ จากนั้น ทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาและกล่าวว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินมาทอดพระเนตร
ความเป็นไปได้ในการสร้างอาคาร กั้นน้ำที่คลองน้ำจืดบ้านทุ่งเค็จ ต.แป้น อ.สายบุรี
"วันนั้น เป๊าะ กำลังทำสวนอยู่กับภรรยา (นางสาลาเมาะ ปูเต๊ะ) บริเวณประตูน้ำบ้านบาเลาะ ต.ปะเสยะวอเป็นป่าทึบ
ก็มีคุณหญิงคนหนึ่งมาบอกว่า ในหลวง ต้องการพบตัวแต่ภรรยาไม่กล้าไปพบ
จนกระทั่งเป๊าะเลี้ยงโคกลับมา ก็มีตำรวจมาตามเป็นครั้งที่สอง เป๊าะ ตกใจมากว่าตำรวจมาตามเรื่องอะไร
เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด จนกระทั่งสื่อสารกันเข้าใจว่า ในหลวง
ต้องการมาสร้างฝายกั้นน้ำคลองน้ำจืด บ้านทุ่งเค็จ ต.แป้นอ.สายบุรี
เพื่อช่วยเหลือเรื่องแหล่งน้ำแก่ชาวบ้านในการทำการเกษตร
เป๊าะ ถึงกล้าไปพบ แต่ตอนนั้น เป๊าะ ยังไม่ค่อยเชื่อว่าพระองค์จะเข้ามาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้
จึงคิดว่าคนที่มาบอกโกหก ขนาดมาพบพระองค์แล้ว
เป๊าะ ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็น ในหลวง จริงหรือเปล่า
จึงแอบหยิบเงินใบละ 100 บาท กับใบละ 20 บาทขึ้นมาดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระองค์เสด็จฯ มาจริง ๆ
ตอนนั้นเป๊าะทราบแล้วว่าเป็นในหลวง แต่จะเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่กล้า
เพราะว่านุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็บอกว่า
จะมาขุดคลองชลประทานให้ พอได้ยินอย่างนั้น เป๊าะก็ดีใจมาก
คุยกันเยอะ ท่านถามว่าถ้าขุดคลองสายทุ่งเค็จนี้จะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน
เป๊าะบอกท่านว่า คลองเส้นนี้มีที่ดินติดเขต ต.แป้น ทางเหนือขึ้นไปสุดที่ อ.ศรีสาคร
ในหลวงถามต่อว่า ถ้าไปออกทะเลจะมีกี่เกาะ เป๊าะก็ตอบท่านไปว่ามี 4 เกาะ
ท่านก็ชมว่า เก่งสามารถจำทุกที่ที่ผ่านไปได้ แล้วท่านก็เปิดดูแผนที่ที่นำมาด้วย
แล้วบอกว่า
เป๊าะรู้จริง ไม่โกหก ทุกสิ่งที่เป๊าะบอกมีอยู่ในแผนที่ของพระองค์แล้ว ครั้งหนึ่ง เป๊าะเด็งเคยเล่าถึงความประทับใจเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
"ในหลวงคุยกับเป๊าะเป็นภาษามลายู พอเจอกันบ่อยๆ คุยกัน มีความเห็นตรงกัน
ท่านก็เลยรับเป๊าะเป็นพระสหาย เป๊าะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกท่านไปทั้งหมดเป็นความจริง
พูดโกหกไม่ได้จะเป็นบาป" หลังจากได้กราบบังคมทูลเส้นทางขุดคลองในโครงการพระราชดำริแล้ว
ในครั้งนั้นเป๊าะวาเด็งได้ถวายที่ดินเพื่อดำเนินโครงการพระราชดำริอีกด้วย
สำหรับที่มาของคำ "พระสหายแห่งสายบุรี" ย้อนไปเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชดำรัสแสดงความเป็นห่วงเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยามนั้น
และมีรับสั่งว่า "มีสหายอยู่ที่นั่นคนหนึ่งชื่อ วาเด็ง ปูเต๊ะ"
อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเคยตรัสเรื่องนี้ว่า
"วาเด็งเป็นคนซื่อตรง...จึงขอแต่งตั้งให้วาเด็งเป็นเพื่อนของในหลวง"
พร้อมทรงชวนให้ เป๊าะ และภรรยาเดินทางไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ
และเมื่อพระองค์เสด็จฯ มาสามจังหวัดก็เรียกให้เข้าเฝ้าที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ทุกครั้ง
และพระราชทานเงินให้ครั้งละหลายหมื่นบาท แต่หากไม่ได้เสด็จฯ มา
ก็จะทรงฝากเงินมากับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แทบทุกครั้ง
ล่าสุด ยังตรัสให้ตนหยุดทำงาน เพราะแก่แล้ว ทรงเป็นห่วงสุขภาพ
ซึ่งตนก็มักจะนั่งทบทวนคำตรัสของพระองค์ด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจอยู่ตลอดเวลา
วาเด็ง ปูเต๊ะ เคยบอกว่า ตอนที่ไม่มีทีวีให้ดู เวลาอยากเห็นหน้า ในหลวง
ก็จะหยิบเงินมาดูก็พอหายคิดถึงได้บ้าง พอมีทีวีแล้วก็จะรอดูแต่ข่าวในพระราชสำนักทุกวัน
แต่พอพระองค์ทรงพระประชวรก็ต้องมาตามดูข่าวในพระราชสำนักตอนกลางวัน และตอนค่ำด้วย
ซึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวร ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช
นายวาเด็งก็ได้เดินทางจากจังหวัดปัตตานีมาเข้าเฝ้าถวายพระพร
พระองคืเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2552 โดยคราวนั้น พระสหายแห่งสายบุรี
เลือกสวมชุดซาฟารีสีกรมท่า และติดเข็มตราสัญลักษณ์ครองราชย์ 60 ปี ที่อกเสื้อด้านขวา
และใช้วิธีลงนามถวายพระพรด้วยการพิมพ์นิ้วโป้งมือข้างขวาลงบนสมุดลงนามถวายพระพร
แล้วให้หลานชายเขียนชื่อ วาเด็งกำกับอีกครั้ง เนื่องจากไม่สามารถเขียนภาษาไทยได้
เป๊าะวาเด็งใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับนางสาลาเมาะ ปูเต๊ะ ภรรยา
ส่วนลูกๆ ทั้ง 5 คน แยกครอบครัวไปหมดแล้ว
ยามว่างเป๊าะเลี้ยงนกเขา ทำกรงนก
และดูแลสวนตามกำลังที่ยังมี
แต่ก็มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคชรา
เนื่องจากอายุมากแล้ว
และเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
พระราชทานแจกันดอกไม้ เยี่ยมอาการป่วยของนายวาเด็ง ปูเต๊ะ
ที่เข้ารับการรักษาอาการป่วยด้วยโรคหัวใจและโรคไต
ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2554
ก่อนที่จะกลับไปเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพัก
ในวันที่ 7 สิงหาคม 2555 นี้วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี
https://www.youtube.com/v/BxVCvb9YsUI?version=3&hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flashCredit
https://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1344328607&grpid=03&catid=19&subcatid=1900ละหมาดญะนาซะฮฺ FULL HD
https://www.youtube.com/v/KC0aURcE8AI?version=3&hl=th_TH" type="application/x-shockwave-flash