หลังจากเปลวไฟของวันเผาเมืองมอดลง หลังน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายเลือด คนทั้งประเทศกำลังช่วยกันซับ ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจทั้งเรื่องราวและผลกระทบ น่าสนใจทั้งเรื่องเล่าลึกลับต่างๆ ก่อนและหลังเกิดกลียุคเผากรุงเทพฯ ครั้งใหญ่ที่คนไทยจะไม่มีวันลืม...!!
ติ๊ก นางรำหน้าสวยรุ่นกลาง ที่อยู่มาตั้งแต่ศาลารำยังไม่สร้าง ยังเดินรำเท้าเปล่าไปทั้ง 4 ด้านของศาลพระพรหม ปลีกตัวจากคิวขึ้นรำที่วันนี้ค่อนข้างบางตา ถ่ายทอดประสบการณ์ด้วยหน้าตาซึมเศร้าผ่านไทยรัฐ ออนไลน์ ว่า หลังจากเหตุการณ์ปิดแยกราชประสงค์ จนกระทั่งวันที่ 19 พ.ค. 53 หรือคืนวิปโยคจากความบ้าคลั่งของกลุ่มผู้ชุมนุมเผาเมือง บรรยากาศการเริ่มต้นเข้ามาทำงานของนางรำอีกครั้งวันนี้ความคึกคักต่างจาก สมัยก่อนลิบลับ ก่อนหน้าที่จะมีม็อบ เคยรำวันละเป็น 100 รอบ มีชาวต่างชาติและชาวไทยมาแก้บนจากทั่วสารทิศ
“เหงามากๆ ตอนแรกนึกว่าจะไม่ได้มารำที่นี่อีกแล้ว เพราะตอนนั้นม็อบมีทีท่าจะวุ่นวายและดุเดือดมาก มากซะจนก่อนวันที่จะหยุดงานรำ นางรำหลายคนต่างก็จุดธูปอธิษฐานภาวนาเพื่อขอพรพระพรหม 4 อย่าง 1.ขอให้ศาลพระพรหมนี้ปลอดภัยไม่ถูกลูกหลงทำลาย 2.ให้เราได้กลับมาทำงานที่ตรงนี้ได้ เพราะว่าเราต้องมีภาระเลี้ยงดูที่บ้าน ตอนนั้นรายได้จากหลักหมื่น หดเหลือหลักพันบาท ซึ่งก็ลำบากน่าดู 3.ขอให้บ้านเมืองสงบโดยเร็วและ 4.อยากจะเจอพ่อ (หมายถึงพระพรหม) สักครั้งในชีวิต”
ติ๊กนางรำหน้าสวยรุ่นกลาง บอกว่า หลังจากลุ้นระทึกอยู่หน้าจอทีวีไม่กี่วัน ที่สุดแล้วคำอธิฐาน 3 ใน 4 ข้อก็เป็นผล
“จริงๆ การที่จะมาเป็นนางรำที่ศาลพระพรหมแห่งนี้ได้ เราเชื่อว่าไม่มากก็น้อยต้องมีบุญที่ได้มารับใช้ท่าน ซึ่งการจะมาเป็นนางรำที่ศาลพระพรหมแห่งนี้ไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่หน้าตาผิวพรรณดีจะได้มาทำ มันบอกไม่ถูก เป็นแรงดึงดูดอะไรสักอย่างที่เรารู้สึกได้ ซึ่งตลอดระยะที่รำแก้บนตรงนี้มา ทั้งชีวิตครอบครัวและสิ่งต่างๆ รอบตัวก็มีแต่สิ่งดีๆ แม้จะไม่ได้เจอพ่อ (หมายถึงพระพรหม) แบบที่ตั้งใจ แต่เราก็รู้สึกได้ว่ามีพ่ออยู่” ติ๊กกล่าว
ด้าน จ๊อยส์ นางรำหน้าสวยรุ่นใหม่ ก็ได้รับผลกระทบไม่แตกต่างไปจากนางรำในศาลพระพรหมคนอื่นๆ
“วันที่เขามาชุมนุมกันแล้วต้องหยุดงาน เราร้องไห้เลย เพราะรู้สึกเหมือนนางรำทุกๆ คนว่าจะไม่ได้มารับใช้พระพรหมที่เรานับถือ และไม่ได้มาทำงานที่เรารักอีกเพราะว่าหลายปีแล้วทุกๆ วันต้องมารำแก้บนให้คนทั่วโลก เห็นแล้วมีความสุขที่มีส่วนในการปลดความทุกข์ของทุกๆ คน แต่ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะได้กลับมาอีก”
จ๊อยส์ บอกว่า หลังจากจุดธูป 12 ดอกอธิษฐานขอไป ไม่กี่วันให้หลัง ก็มีเรื่องลี้ลับให้ได้ตื่นเต้น
“มีคืนนึงฝันดีว่าเห็นคนมาสักการะพระพรหมเต็มศาลไปหมด (เน้นเสียง) เลย ตอนแรกก็คิดว่ามันน่าจะเป็นฝันดี เพราะมีคนมาไหว้พ่อ (หมายถึงพระพรหม) เต็มลานไปหมด แต่พอไปถามคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับความฝัน เขาบอกว่าเป็นฝันไม่ดี เหมือนเป็นลางสังหรณ์บอกเหตุร้าย ซึ่งไม่กี่วันให้หลังไฟ ก็ไหม้เซ็นทรัลเวิลด์พังพินาศ แต่โชคดีที่ศาลพระพรหม ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ไฟไหม้ ไม่เป็นอะไร นี่เล่าให้ใครฟังก็ขนลุกทุกครั้ง”
จ๊อยส์ ยังฝากไปถึงคู่ขัดแย้งว่า อยากให้รักกัน เพราะที่สุดแล้วหลังม่านควันไฟจบลง เราก็ยังอยู่ในประเทศไทย ประเทศที่มีในหลวงเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจเหมือนเดิม
ประสบการณ์แห่งความศักดิ์สิทธ์ิของที่นี่เริ่มเข้มข้นมากขึ้นอีก เมื่อเราได้ไปคุยกับนางรำรุ่นบุกเบิก ปฏิมา ดีไสว หรือป้าๆ แต่หน้าตายังสาวของนางรำรุ่นน้อง
“ปาฏิหาริย์ที่เกิดกับพี่ก็คือ ตอนที่พระพรหมปิดใหม่ๆ ทำให้กระทบเรื่องรายได้อย่างมาก ครอบครัวก็ต้องใช้เงิน พี่เลยตัดสินใจจุดธูป 12 ดอกเพื่ออธิษฐานขอให้พระพรหมช่วย ขอร้องท่านว่าเราไม่ไหวแล้ว ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นทุกวัน เงินที่มีเก็บบ้างก็ร่อยหรอ ปรากฏว่าไม่กี่วัน เหมือนมีอะไรมาดลใจให้เรารู้สึกปลอดโปร่งขึ้น และไม่นานเหตุการณ์ก็กลับเป็นปกติ ถามว่าเชื่อไหมว่าที่ตรงนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อสุดหัวใจ ลองคิดดูว่าพวกเขามาตั้งเวทีแถวนี้ ยิงเอ็ม 79 ทุกวัน แต่ศาลพระพรหมกลับไม่เป็นอะไร เป็นไปได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของที่แห่งนี้”
สุดท้ายถามพวกเธอว่า คิดว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ทั้ง 3 ตอบเหมือนกันว่า
“ใช่ นางรำทุกๆ คน รู้ว่าที่นี่เป็นที่อยู่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แค่เพียงความมหัศจรรย์ ทำให้ผ่านเหตุการณ์ชุมนุมเผาเมืองในวันนั้นมาได้ อย่างไรก็ดีถ้าเป็นไปได้ คำอธิษฐานต่อไปของเราที่อยากให้มันเป็นจริงก็คือ อยากให้เมืองไทยสงบและเป็นสยามเมืองยิ้มดังเดิม” นางรำ 3 รุ่นของศาลพระพรหม บริเวณราชประสงค์กล่าวในที่สุด
เคริต NoOTa