กระทบใจ
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กระทบใจ  (อ่าน 1567 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2010, 06:04:45 pm »

กระทบใจ โดย แม่ชีทศพร

มีหลายท่านเพียรพยายามปฏิบัติธรรมหาอาจารย์ หาคนที่จะบอกแนวทางในการนั่งปฏิบัติ
ไปทุกที่ ที่ไหนเขาเล่าว่าดีก็ไป ไปแล้วก็ยังหาไม่พบ เพราะไม่ถูกใจ มีคำถามในใจตลอด
ทำไมที่นี่ ที่นั่นไม่สงบหนอ

แม่ชีมีเรื่องเล่านะคะว่า ครูบาอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม ที่สุดคือตัวเรา ไม่ใช่สถานที่หรืออาจารย์
ที่ไหน แม่ชีถูกฝึกให้อยู่กับอารมณ์ที่มากระทบว่าโกรธไหม โลภไหม รักไหม หลวงพ่อปรีชา
ท่านสอนแม่ชีให้อยู่กับความเป็นจริงของใจ อยู่ๆ ท่านก็ด่าว่า แม่ชีต่อหน้าโยมเต็มศาลา เมื่อ
บวชใหม่ๆ บอกได้เลยว่าจิตตก เสียงที่ท่านด่า ทำให้แม่ชีหาคำตอบให้ตัวเองว่า ท่านกำลังสอน
อะไรเรา แต่ก็เกิดปัญญาที่ทำให้เข้าใจว่า อ๋อ ท่านด่าให้เรารู้จักคิด รู้จักฟัง คำด่าของท่านเมื่อ
ใครได้ยิน ต่อให้ปฏิบัติขั้นเทพก็จิตตก อย่างเช่น “อีตอแหล”

แม่ชีเริ่มเรียนรู้ในสิ่งที่ท่านสอน จะด่าจะว่าก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ท่านจะด่า ถ้าเราคิดดีท่านคง
ไม่ด่า เราก็บปรับอารมณ์ ปรับสภาพของใจคิดสวนทางเพื่อไม่ให้จิตตก ท่านผู้อ่านคะ แม่ชี
เริ่มเข้าใจว่าสมาธิไม่ได้อยู่ที่เรานั่งหลับตา สมาธิอยู่ที่เราลืมตานี่แหละ ตาเห็นใจคิดปากพูด
อันนี้ขาดสติ ต้องสอบสวนตัวเราก่อนว่า เราเห็นอะไร เราคิดอะไร เราพูดอะไร สิ่งที่มา
กระทบตา กระทบใจ คืออภิธรรมข้อใหญ่ สำหรับผู้ฝึกสมาธิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ย่อมต้องการสิ่งที่เพลิดเพลินพอใจ แต่ว่าถ้าพอใจ ติดใจ นั่นคือกิเลส

แล้วทำอย่างไรถ้าพอใจ ก็ต้องตัดใจ เพราะความพอใจมีส่วนของความโลภ ความหลง
หรือความโกรธส่งมาเป็นกระบวนการของใจปรุงแต่ง เหมือนหนุ่มรักสาว ถ้าสาวรักตอบก็
พอใจ แต่พอสาวโกรธ ก็ไม่โกรธตอบ เพราะรักสาว สภาพของใจหรือจิต ส่งผลว่าทนต่อ
อารมณ์สาวได้ หรืออาจทนไมได้เมื่อสาวโกรธบ่อย หนุ่มก็โกรธตอบ เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ ขึ้น
ความขัดแย้งทางความคิดก็ปรุงต่อไป สาวเริ่มกระทบใจเมื่อหนุ่มโกรธตอบ อารมณ์ที่ถูก
กระทบรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นทำร้ายร่างกายตัวเอง หรือทำร้ายหนุ่ม หรืออาจเป็นหนุ่มทำร้าย
ตัวเอง เพราะยับยั้งความโกรธไม่ได้ และสาวก็อาจเป็นคนที่ถูกทำร้ายเช่นกัน

สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ และสัตว์โลกทุกชีวิต ถ้าไม่ได้ถูกฝึกฝนตนเองอย่าง
สม่ำเสมอ ย่อมตกเป็นทาสของตัณหาอุปาทานตลอดไป อาจารย์ใหญ่คือ ร่างกายหนาคืบ
กว้างศอกของเรานี่แหละ ทำอย่างไรจะเอาชนะใจตนเองได้ เอาชนะกายได้ บางท่านนั่งสมาธิ
จนไม่คิดทำมาหากินเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ใจสั่ง แต่เมื่อถอนสมาธิอยู่กับโลกปัจจุบัน
กลับไม่สงบเลย โกรธง่าย ปลั๊กโมโหอยู่รอบตัว ไม่รู้โกรธอะไร แล้วทำไมเป็นเช่นนี้
เพราะอะไร

เพราะเข้าใจว่านั่งแล้วจะบรรลุธรรมวิเศษ เหาะเหินเดินอากาศได้ หรือมีฤทธิ์หยั่งรู้อดีต
อนาคต สุดแล้วแต่ใจปรุงแต่ง มีเหตุปรุงแต่งก็ตัดเหา ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์
ท่านไม่สนับสนุนให้สงฆ์รูปใดใช้ฤทธิ์ หรือพูดในสิ่งที่หยั่งรู้อดีต หรืออนาคตถ้าสงฆ์รูปนั้น
มิได้บรรลุธรรมวิเศษจริง มีวินัยปรับขั้นหลุดจากการเป็นสงฆ์

แล้วมีจริงไหมธรรมวิเศษ ที่ทำให้ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ วาจาทิพย์ กายทิพย์ ใจทิพย์
(จิตเป็นทิพย์) มีจริงค่ะ แต่ต้องไม่ใช่ด้วยตัณหา ผู้มีบุญวาสนาและจิตบริสุทธิ์ กายวาจา
บริสุทธิ์ ก็อยู่แค่เอื้อม อันนี้ไม่สำคัญเท่าปฏิบัติแล้วรู้เท่าทันกองสังขาร เมื่อรู้เท่าทัน
กองสังขารก็ไม่ยึดติรูปนาม ดับไม่เหลือเชื้อ ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารอีกต่อไป

แค่นี้ก็พอจะทำให้เข้าใจว่า จิตของมนุษย์เท่านั้นที่สามารถดับโกรธ โลภ หลงได้ แต่ก็
ต้องใช้เวลาเมื่อพอ และสงบย่อมไม่ต้องตามหาความอยากอีก มีฤทธิ์ไปทำไม รู้อดีตชาติ
แล้วจะได้อะไร รู้อนาคตแล้วจะทำอย่างไร ถ้ามีคนบอกว่า อนาคตคุณต้องตาบอดตลอดกาล
เตรียมตัวตายอย่างสม่ำเสมอดีกว่ามานั่งทายเงินในกระเป๋าคุณมีเท่าไหร่ (เสียเวลา) เราตอบ
ดีก็ถูกใจ เราตอบไม่ดีก็ไม่ถูกใจ เขาเรียกว่า “กระทบใจ”



ดร.แม่ชีทศพร
ที่มา


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: