อาชาทอง'ม้าหนุ่มร่างกำยำ ควบตะบึงพา'พระครูบา'ข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่าเพื่อรับบาตรจากญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา แลเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธองค์ อาหารที่เหลือจากการบิณฑบาตถูกแจกจ่ายให้ชาวเขาผู้ยากไร้ กว่า 13 ปีแล้วที่ 'พระครูบาเหนือชัย'พากเพียร ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ชาวเขาเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน จ.เชียงราย เพื่อเปลี่ยนพวกเขาจากกลุ่มผู้ลักลอบขนยามาเป็นชาวไร่ผู้หวงแหนและร่วมพิทักษ์ผืนแผ่นดินไทย
จากนักเลงมวยสู่ร่มกาสาวพัสตร์
'พระครูบาเหนือชัยโฆสิโต' เจ้าอาวาส 'วัดป่าอาชาทอง' อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้เปลี่ยนฐานะจาก 'นายเสมอชัย ใจบินตา' หนุ่มวัย 29 ปีที่ชอบวิชาหมัดมวยมาบวชเป็นภิกษุเพื่อศึกษาธรรมะ ท่านตัดใจจากภรรยาและลูกน้อยชาย-หญิงทั้ง 2 คน หลังจากมีครอบครัวได้เพียง 8 ปี ด้วยเห็นทุกข์ของชีวิตทางโลก โดยบอกกับภรรยาว่าจะบวชเพียง 7 วัน แต่นับจากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 13 ปีแล้วที่ท่านมุ่งศึกษาและเผยแผ่ธรรมะแก่บรรดาชาวเขาตามแนวตะเข็บชายแดน
หลังครองผ้ากาสาวพัสตร์ได้เพียง 1 วัน ท่านก็ออกธุดงค์เพื่อแสวงหาความสงบ โดยยึดโอวาทจากพระอุปัชฌาย์ว่า 'บวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง' ท่านเดินทางมาจนถึง'ดอยผาม้า'และเห็นว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมจึงยึดเป็นที่ปฏิบัติธรรม พระครูบานั่งสมาธิ พิจารณาขันธ์ 5 ด้วยใจมุ่งมั่นที่จะบรรลุธรรม ครั้งหนึ่งท่านนอนหลับและฝันว่า 'หลวงปู่สด' วัดปากน้ำภาษีเจริญ มาสอนวิชาธรรมกาย ให้ท่านทำใจใสๆ กำหนดองค์พระอยู่ศูนย์กลางกาย
ท่านไม่มั่นใจว่าฝันนั้นเป็นจริงหรือไม่ จึงอธิษฐานจิตว่าหากหลวงปู่สดมาพบในฝันจริงขอให้มีญาติโยมนำปัจจัยมาถวาย 1,000 บาท พอรุ่งเช้าก็มีนักข่าวของสถานีวิทยุท้องถิ่นนำปัจจัยมาถวายตามคำอธิษฐาน และขอสมัครเป็นศิษย์ ท่านจึงให้ญาติโยมดังกล่าวพาท่านไปยังวัดปากน้ำ และนำเงิน 1,000 บาทที่ได้ทำบุญกับทางวัด จากนั้นท่านจึงนำคำสอนของหวงปู่สดมาใช้ในการนั่งสมาธิเรื่อยมา
นั่งสมาธิ 15 วันจนผึ้งเกาะเต็มตัว
ครั้งหนึ่งท่านนั่งสมาธิบนโขดหินโดยอธิษฐานว่า " จะขอนั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าจะบรรลุธรรม แม้ตายก็จะไม่ลุกจากที่นี่ " ท่านนั่งนิ่งอยู่ 15 วัน จนผึ้งมาเกาะทำรังตามเนื้อตัว ท่านรู้สึกเจ็บจึงพยายามแยกความรู้สึกของกายออกจากจิต แม้กายจะเจ็บ แต่จิตนิ่งใสสว่าง ความเจ็บก็ทุเลาลง ท่านนั่งจนหมดสติไป และในฝันท่านเห็น 'หลวงปู่เกษม' ซึ่งศึกษาฌานสมาบัติอยู่ ณ สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง มาบอกว่า นี่คือการเข้านิโรธสมาบัติ แยกจิตกับกาย และให้มั่นเพียรนั่งสมาธิ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการบรรลุธรรม
เมื่อท่านยังเห็นพระซึ่งเป็นครูบาอาจารย์มากมายมารายล้อมและบอกกับท่านว่า "นับแต่นี้จะมีผู้คนมากมายมาสนับสนุนการเผยแผ่ธรรมมะของท่าน" และก็เป็นจริงเช่นนั้น เพราะหลังจากท่านฟื้นขึ้นก็พบว่า มีชาวบ้านเดินทางมากราบไหว้และถวายอาหาร เนื่องจากในช่วงที่พระครูบาเหนือชัยนั่งหลับตาและมีผึ้งมาเกาะนั้น มีชาวบ้านมาพบเข้าและเกิดจิตศรัทธาจึงไปชักชวนชาวบ้านคนอื่นๆมากราบไหว้ พร้อมทั้งช่วยกันสร้างที่พักให้ จนกลายเป็น 'วัดป่าอาชาทอง' จนถึงปัจจุบัน
ที่มาของการขี่ม้าบิณฑบาต
จากเดิมที่พระครูบาเหนือชัยเดินขึ้นลงเขาเพื่อรับบาตรจากญาติโยม ได้ฉันบ้าง ไม่ได้ฉันบ้าง ด้วยหนทางที่ห่างไกล กว่าท่านจะเดินถึงวัดก็เลยเวลาฉันเพล ชาวบ้านจึงสงสารนำม้ามาถวายเพื่อให้ท่านใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง ซึ่งม้าดังกล่าวเป็นม้าที่มีลักษณะดี ร่างกายกำยำ พระครูบาจึงตั้งชื่อให้ว่า 'ม้าอาชาทอง' และใช้ชื่อดังกล่าวเป็นชื่อวัดด้วย จึงเป็นที่มาของ 'วัดป่าอาชาทอง' และพระขี่มาบิณฑบาต ซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผู้พบเห็นจนกลายเป็นหนึ่งใน 'unseen Thailand'
เมื่อท่านมีม้าเป็นพาหนะจึงทำให้การบิณฑบาตและเดินทางเผยแผ่ธรรมะได้รับความสะดวกมากขึ้น แม้พระครูบาจะต้องขี่ม้าเป็นระยะทางไม่ต่ำกว่า 5 กิโลเมตรเพื่อรับบาตรจากสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา
" บางครั้งอาหารที่ได้มาตกหล่นไปกว่าครึ่ง เพราะเวลาม้าควบตะบึงไปตามทาง มันคดโค้ง ขรุขระ ของก็กระเด้งกระดอนหล่นหมด พระครูบาท่านทนร้อนทนหนาวข้ามเขาลูกแล้วลูกเล่า เพื่อนำอาหารที่เหลือจากฉันไปแจกจ่ายให้ชาวเขา เพราะพวกนี้ยากจนมาก ท่านก็เผยแผ่ธรรมะไปด้วย ท่านก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยท้อนะ ท่านอยากให้ชาวบ้านมีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม" สุทธิพงศ์ ชุติมากุลทวี ผู้ประสานงานของวัดป่าอาชาทอง หนึ่งในลูกศิษย์ที่ติดตามรับใช้พระครูบาเหนือชัยมาตลอด เล่าถึงภารกิจของพระครูบา
รณรงค์ให้ชาวเขาเลิกยา จน'ขุนส่า'ไม่พอใจ
เนื่องจากชาวเขาส่วนใหญ่นับถือผีและเป็นคริสต์ศาสนิกชนตามคำแนะของฝรั่งที่เข้าไปช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ ชาวบ้านจึงไม่เข้าใจการเผยแผ่ธรรมะของพระครูบาเหนือชัย บางครั้งท่านถูกชาวเขาหลายสิบคนรุมทำร้าย แต่ก็รอดมาได้ด้วยบุญบารมีและวิชาหมัดมวยที่ท่านร่ำเรียนมา ด้วยปณิธานของท่านที่ต้องการดึงชาวเขาที่หลงผิดไปค้ายาและรับจ้างขนยาตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่าให้หันมาประกอบสัมมาอาชีพ และเป็นแนวร่วมในการดูแลรักษาผืนแผ่นดินไทย พระครูบาจึงเมตตาให้ความช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อนไปพร้อมๆกับการอบรมธรรมะ
" ชาวเขาส่วนใหญ่จะรับจ้างขนยา แล้วพวกนี้ก็เสพยาเองด้วย เด็กอายุแค่ 10 ขวบก็ติดยาแล้ว ติดกันทั้งหมู่บ้าน ฝิ่น เฮโรอีน ยาบ้า มีหมด ครูบาท่านมองว่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ท่านก็พยายามเอาชาวเขามาเรียนหนังสือ มาฝึกอาชีพ สอนมวยไทยให้เด็กๆ พอโตหน่อยพวกนี้ก็ไปรับจ้างแสดงในเมือง มีรายได้ขึ้นมา ใครมาวัดก็ให้ข้าวของติดมือกลับไป แล้วก็สอนธรรมะไปด้วย สอนว่ายาเสพติดมันไม่ดี หลังๆชาวบ้านก็เลิกเสพเลิกค้าไปเยอะ
จนขุนส่าเริ่มไม่พอใจ ก็มาดูตัว มาคุยกับพระครูบา แต่สุดท้ายราชายาเสพติดอย่างขุนส่าก็ยอมรับในตัวครูบาและขอให้ท่านไปอยู่ที่เมืองยอน ซึ่งเป็นเมืองของพวกว้าแดง เขาจะสร้างวัดให้ แต่ครูบาท่านไม่ไป ท่านบอกท่านเป็นคนไทยจะอยู่และตายบนผืนแผ่นดินไทย" สุทธิพงศ์ เล่าถึงช่วงวิกฤตที่ครูบาเหนือชัยรับมือกับขุนส่า
เผยแผ่ธรรม อย่างนักบุญ
พระครูบาเหนือชัยพยายามดึงชาวบ้านเข้ามาร่วมในกิจกรรมของวัด โน้มน้าวให้ชาวเขาส่งลูกๆมาบวชเรียน มีการสอนหนังสือให้แก่ชาวเขาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยท่านเป็นผู้เลี้ยงดูอาหารการกินทั้งหมด ชาวบ้านที่มาเรียนหนังสือ มาฟังธรรมะ หรือช่วยงานวัด นอกจากจะได้รับความรู้และข้อคิดคุณธรรมต่างๆแล้ว ยังได้ข้าวปลาอาหาร รวมถึงข้าวของเครื่องใช้กลับไปบ้านด้วย ข้าวของที่ญาติโยมถวายมานั้นพระครูจะแจกจ่ายให้เกือบหมด เหลือไว้ให้พระเณรที่วัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากหมู่บ้านใดอยู่ไกล ไม่สะดวกที่จะเดินทางมาที่วัดท่านและลูกวัดก็จะขี่ม้าข้ามเขานำข้าวของไปให้
ด้วยคุณธรรมของท่านทำให้ผู้มีจิตศรัทธานำข้าวของและม้ามาถวายให้ท่านเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสนับสนุนการเผยแผ่ธรรมะของท่าน จากสถานปฏิบัติธรรมเล็กๆ ปัจจุบันวัดป่าอาชาทองจึงมีวัดสาขาถึง 10 วัด มีม้าถึง 100 กว่าตัว มีโค-กระบือ 10 ตัว มีคนงานชาวเขาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถึง 60 คน ซึ่งม้าดังกล่าวนั้นครูบาอนุญาตให้ชาวเขา ข้าราชการครูและตำรวจ-ทหารในพื้นที่หยิบยืมไปใช้ได้
โครงการพัฒนาของ'ครูบาเหนือชัย'
พระครูบาเหนือชัย เล่าถึงโครงการที่ท่านกำลังดำเนินการในขณะนี้ว่า ตอนนี้มีอยู่ 10 โครงการ เช่น โครงการนิมนต์พระนำธรรมะสู่ชายแดน ซึ่งเป็นโครงการที่สมเด็จพระสังฆราชของให้พระทางวัดไปร่วมด้วย เป็นการเผยแผ่ธรรมะให้แก่ชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล , โครงการโรงเรียนนานาเผ่า โดยจะมีการสร้างโรงเรียนชื่อ'ยุทธลีลานานาเผ่า' เพื่อให้ความรู้แก่ชาวบ้านและเด็กๆชาวเขา ทั้งความรู้ด้านการอ่าน-เขียนภาษาไทย ภาษาของชนเผ่าต่างๆ การสานไม้ไผ่ ซึ่งเขาจะสามารถนำกลับไปใช้สร้างบ้าน สานเครื่องมือเครื่องใช้ และประกอบอาชีพได้
โครงการสำนึกรักบ้านเกิด เป็นการปลูกฝังจิตสำนึกให้ชาวเขารู้ว่าเขาก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง มีหน้าที่ปกปักรักษาผืนแผ่นดินไทย , โครงการสอนศิลปะการต่อสู้ เช่น มวยไทย ฟันดาบ กระบี่กระบอง เพื่อให้ชาวบ้านและเด็กๆชาวเขามีความสามารถในการป้องกันตัว อันจะเป็นประโยชน์ในการดูแลประเทศต่อไป อีกทั้งยังนำความรู้ดังกล่าวไปแสดงเพื่อหารายได้ได้ด้วย
ตัดสินใจ 3 ปี จึงร่วม 'unseen Thailand'
หลังจากที่ข่าวเรื่องพระขี่ม้าบิณฑบาตได้รับการกล่าวขานออกไปแบบปากต่อปาก จนเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วไป การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงมาขอให้พระครูบาเหนือชัยนำวัดป่าอาชาทองเข้าร่วมในโครงการ 'unseen Thailand' เพื่อช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวของเชียงราย ซึ่งครูบาเหนือชัยใช้เวลาคิดใคร่ครวญอยู่นานถึง 3 ปี จึงตัดสินใจตกลงเข้าร่วมโครงการเมื่อปี 2547 เนื่องจากพระครูบารู้ดีว่า เมื่อการท่องเที่ยวย่างกรายเข้ามาวิถีชีวิตอันเงียบสงบของชาวเขาย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป
" พอนักท่องเที่ยวเข้ามาวิถีชีวิตมันก็เปลี่ยนไปนะ ที่อาตมาเข้าป่าก็เพราะต้องการแสวงหาความสงบ แต่ก็ต้องแลกกันเพราะเราอยากช่วยชาวบ้านให้เขามีรายได้ จะได้ไม่ไปยุ่งกับยาเสพติด ของบริจาคเยอะขึ้นก็ช่วยเขาได้มากขึ้น บางคนก็มีรายได้จากการขายอาหารใส่บาตรพระ เงินบริจาคที่ได้ส่วนหนึ่งก็จะนำไปสร้างโรงเรียน ตอนนี้ก็มีคนบริจาคไม้ทำเสาเข็มและอุปกรณ์ต่างๆมาบ้างแล้ว
แต่อาตมาไม่ได้แจกข้าวของให้ชาวบ้านทุกคนนะ จะให้เฉพาะคนที่ขยัน ต้องเป็นคนดี ก่อนแจกของก็ต้องให้ศีลด้วย ชาวบ้านที่มาทำงานในวัดก็ต้องเรียนหนังสือวันละ 2 ชั่วโมง เขาได้ทั้งรายได้และความรู้" พระครูบา กล่าว
พระครูบาเหนือชัย ยังพูดถึงบทบาทของท่านหลังจาก 'พระขี่ม้าบิณฑบาต' กลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ'unseen Thailand' ว่า
" ถึงภารกิจบางอย่างจะเปลี่ยนไป แต่อุดมการณ์ของเรายังเหมือนเดิม ทุกวันนี้อาตมาอยู่กับโลก แต่ไม่ใช่คนของโลก กายเป็นของโลก แต่ใจเป็นของพระนิพพาน ขุนเขาไม่สะท้านฟ้าฉันใด ผู้มีธรรมะย่อมไม่สะท้านต่อโลกธรรม 8 ฉันนั้น
ขอขอบคุณ
http://board.palungjit.com/f4/ครูบาเหนือชัย-นั่งเข้ากรรมฐานแก้พิษยาสั่ง-นักบุญแห่งขุนเขา-222484.html