ทุกข์...เพราะคนรักหนีจากไป โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโกจากหนังสือ พลิกนิดเดียว
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
( ต้นปี 2538 )
สามี ภรรยาคู่หนึ่ง รักใคร่กันดี แต่พอประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี ก็เริ่มมีปากเสียงและมากขึ้น ๆ จนภรรยาทนไม่ได้ ขอกลับบ้านไปอยู่กับแม่ ต่อมาสามีได้อ่านหนังสือ “ ทุกข์ เพราะคิดผิด” ก็ได้คิด
สำนึก รู้ตัวว่าตัวเองผิดมากเพราะใช้อารมณ์และบ่นมากเกินไป จึงไปเจรจาขอให้ภรรยากลับบ้าน แต่ภรรยาไม่ยินยอม คงพูดถึงเรื่องเก่าๆ ด้วยความเจ็บใจ สามีเป็นทุกข์เพราะทั้งหวง และห่วงภรรยา จึงมีจดหมายมาปรับทุกข์กับพระอาจารย์
พระอาจารย์สอนว่า
อาตมาได้รับจดหมายจากคุณโยมแล้ว รู้สึกเห็นใจคุณโยมอยู่เหมือนกัน แต่ว่าคุณโยมก็ควรพิจารณาให้เข้าใจ และยอมรับความจริงของชีวิต
คุณ โยมคงจะรู้สึกเป็นทุกข์ และคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคร้ายมากคนเดียวในโลก แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่คุณโยมกำลังประสบอยู่เป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกชีวิต
ไม่มากก็น้อย ไม่ในปัจจุบันก็ในอนาคต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ความรู้สึกผิดหวัง ไม่สมปรารถนา เสื่อมลาภ นินทา ทุกข์ เป็นโลกธรรมฝ่ายให้โทษ
แต่ทุกคนก็ล้วนต้องประสบ
ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติ จะพบว่าแม้แต่พระพุทธองค์เองก็ประสบเหมือนกัน
เมื่อครั้งพระพุทธองค์เสด็จหนีออกจากวังไปบวชเพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์ เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่นนั้น แม้ว่าเป็นเจตนาที่ดีก็ตาม แต่เมื่อดูความรู้สึกของพระบิดา พระมเหสี พระโอรส และพระญาติของพระองค์ก็คงมีความรู้สึกเหมือนคุณโยมในปัจจุบันนี้เช่นกัน
นอก จากนั้น ลูกศิษย์ของพระองค์เองคือพระเทวทัตก็ได้พยายามฆ่าพระองค์อยู่หลายครั้ง และมีช่วงหนึ่งพระราชาผู้ซึ่งเป็นโยมอุปฐากของพระพุทธองค์มีเหตุให้ต้องยก ทัพไปฆ่าพระญาติของพระองค์ทั้งหมด พระพุทธองค์ได้ทรงห้ามถึง 3 ครั้ง จนถึงครั้งที่ 4 พระองค์ทรงพิจารณาแล้วว่าเป็นกรรม ไม่สามารถห้ามได้ เป็นเหตุให้ราชวงศ์ศากยะถูกฆ่าหมด พระพุทธองค์หมดสิ้นพระญาติตั้งแต่บัดนั้น
และครั้งหนึ่งพระองค์เสื่อมเอกลาภถึงขนาดที่ทั้งพระองค์และหมู่ภิกษุต้องฉันอาหารที่ใช้เลี้ยงม้าตลอดทั้งพรรษา
ในบางพรรษา ลูกศิษย์ของพระพุทธองค์มีเรื่องขัดแย้งถึงแตกสามัคคีกัน พระองค์ทรงห้ามอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ในป่าตามลำพัง
อีก ครั้งหนึ่งที่โลกธรรมฝ่ายที่ให้โทษเกิดแก่พระพุทธเจ้า คือ เมื่อพระองค์ถูกชาวเมืองนินทาว่าร้าย เพราะถูกนักบวชนอกศาสนาใส่ความว่า พระองค์ทำให้อุบาสิกาตั้งท้อง
ให้ คุณโยมน้อมพิจารณาดู แม้แต่พระพุทธองค์ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาบุรุษของโลก ชีวิตของพระองค์ก็ไม่ราบรื่นเช่นกัน พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสสอนว่า
“ชีวิตเป็นทุกข์”
ทุกข์สัจจะ ได้แก่1. ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์
2. ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่ชอบใจ ก็เป็นทุกข์
3. ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
4. ความผิดหวัง ไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ ก็เป็นทุกข์
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงของชีวิต
เราจึงควรยอมรับความจริงเหล่านี้
ไม่มีชาวโลกคนใดจะหนีพ้นได้
ปัญหาระหว่างคุณโยมและภรรยานั้น ถ้าพูดถึงความถูกผิดแล้ว
ต่างก็ผิดเหมือนกัน ถูกผิดเท่ากัน
ดังนั้น จึงควรหาข้อเสียของตัวเอง
สิ่งที่เกิดขึ้น ก็เป็นความพอดีกับการกระทำที่แต่ละคนได้ทำมา
ถ้าผิดฝ่ายเดียว ปัญหาคงไม่เกิด เหมือนตบมือข้างเดียว เสียงย่อมไม่ดัง
ดังนั้น สิ่งที่ควรปฏิบัติคือ
ประการที่หนึ่ง ทำความรู้สึกปล่อยวาง เพื่อให้ใจสงบ
ประการที่สอง เจริญเมตตา พยายามส่งกระแสใจที่เป็นความปรารถนาดี เป็น
ความรักที่บริสุทธิ์ให้แก่ ภรรยา อาจใช้วิธีนึกเห็นมโนภาพเห็นหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของเขา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนกับใคร ขอให้เขามีความสุข
ให้พยายามเจริญเมตตา คิดดี พูดดี ทำดี ทั้งแก่ตัวเราเองและแก่ภรรยา
ผลก็คือ ตัวเราก็จะเกิดความสุขด้วย
ประการที่สาม ถ้าพูดกันในระยะยาวถึงเรื่องภพ ชาติแล้ว คุณโยมและภรรยาคงเคยผูกพันกันมาตั้งแต่อดีตชาติ จึงเป็นเหตุให้ชาตินี้ได้เป็นสามี ภรรยากัน
และต่อไปในชาติหน้า ก็อาจจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีก
ถ้าคุณโยมไม่แก้ปัญหาให้เกิดความเข้าใจกัน
ไม่ได้ให้อภัยและอโหสิกรรมให้แก่กันในชาตินี้
ชาตินี้เป็นอยู่อย่างไร ชาติหน้าก็จะเป็นเหมือนกับที่เป็นอยู่ในชาตินี้เช่นกัน
ใครได้เปรียบในชาตินี้ ชาติหน้าก็จะเสียเปรียบ
ใครเสียเปรียบในชาตินี้ ชาติหน้าก็จะได้เปรียบ
เรื่องกรรมเป็นเช่นนี้
ใครฆ่าเราในชาตินี้ ชาติหน้าเราก็ฆ่าเขา
ถ้าชาตินี้เขาทอดทิ้งเรา ชาติหน้าเราก็ทอดทิ้งเขา
ถ้าชาตินี้ใครนอกใจเรา ชาติหน้าเขาก็จะถูกนอกใจเช่นกัน
เรื่องที่คุณโยมประสบอยู่ขณะนี้ ชาติก่อนคุณโยมอาจเป็นฝ่ายทำเขาก่อนก็เป็นได้
ดังนั้น ถ้ามองจากทั้ง 2 ฝ่ายในระยะยาวแล้ว
ต่างคนจึงต่างเป็นผู้ผิด
เหมือนไก่ กับไข่ซึ่งไม่มีเงื่อนงำว่าอะไรเกิดก่อนกัน
ในเรื่องนี้ก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครผิดก่อนกัน
เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว พิจารณาดูก็จะเห็นว่า
สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว
เพราะถ้าอยู่ในสภาพนี้ ชาติ ต่อๆ ไป ก็จะเป็นเช่นนี้เรื่อย ๆ ไป
ทำให้ต้องทุกข์ต่อไปหลายภพ หลายชาติ
ผู้ที่ไม่ประมาทจึงควรแก้ปัญหาในชาตินี้ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ คือคิดแก้ปัญหาที่ตัวเราก่อน แก้ที่ใจเรา
สิ่งที่ควรปฏิบัติ คือ1. ยอมรับความจริงดังกล่าว
2. ปล่อยวางอดีต ให้เหมือนกับไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
3. ให้อภัย เจริญเมตตา ไม่ถือโกรธ ไม่อาฆาตพยาบาทเขา
4. ทำใจเราให้สงบ
เมื่อทำได้เช่นนี้จริงๆ เราจะอยู่ด้วยกันในชาตินี้ก็ดี ชาติหน้าก็ดี
ก็อยู่ด้วยกันอย่างปกติสุขได้
การคืนดีกันในชาตินี้ จะได้หรือไม่ ไม่ควรถือว่าสำคัญ
ขอให้เรามีจิตใจที่จะคืนดีแก่เขาอยู่ในตัวเราก่อน
ปฏิบัติตนเป็นคนดี คิดดี พูดดี ทำดี
จนเขารู้จัก เข้าใจและเห็นใจเรา
และควรปฏิบัติให้มีการอโหสิกรรมแก่เขา ซึ่งก็เหมือนช่วยตัวเองด้วย
อย่างน้อยเราก็จะมีชีวิตที่เป็นสุขได้
ในเรื่องภรรยาและลูกก็ไม่ต้องห่วงอะไรมากนัก
ขณะนี้เราอาจจะมีความรู้สึกว่า เขาหนีจากเราไป
ถ้าลองเปลี่ยนความคิดดู พลิกนิดเดียว
ลองคิดว่า เราจะหนีจากเขาบ้าง
ลองมาบวชดูชั่วคราว หรือจะบวชตลอดไปก็ได้
ถ้ามีความสุข เพราะความสุขความสบายจากการอยู่คนเดียวก็มีเหมือนกัน
อย่างที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า
การไม่มีภรรยา เป็นลาภอันประเสริฐ
ถึงจะอยู่คนเดียว ก็พยายามอยู่ให้มีความสุข
เขาจะ กลับมาหรือ ไม่กลับมาก็ได้
สุดท้ายนี้ขอให้คุณโยมพิจารณาดีๆ ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักพุทธธรรม
สมเหตุ สมผล และขอให้บรรเทาทุกข์ พ้นทุกข์โดยเร็วๆ นี้
ขอให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป ......เจริญพรที่มา
พลังจิต