พุทธทำนายเรื่องภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังจะมาถึงในยุคนี้
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธทำนายเรื่องภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังจะมาถึงในยุคนี้  (อ่าน 6482 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13886


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: สิงหาคม 03, 2009, 07:49:39 am »

Credit : naruphol  zone-it

พุทธทำนายเรื่องภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังจะมาถึงในยุคนี้
จะมีผู้รอดชีวิตแค่น้อยนิดเท่านั้น (ไม่เกิน พ.ศ. 2560)



*พุทธทำนายเรื่องภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังจะมาถึงในยุคนี้*
(ลอกจากศิลาจารึกในมหาวิหารเจตมหาเชตวัน ณ สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย โดยคณะฑูตไทยที่ไปอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุเมื่อปี พ.ศ.2485)



" ผมไม่ได้ต้องการให้ท่านตื่นตระหนกตกใจ แต่ต้องการให้ท่านเร่งรีบสั่งสมบุญกุศล
(ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา) ไว้เป็นเสบียงเดินทางไปภพหน้า เมื่อยามที่ท่าน
เสียชีวิตในวันที่เกิดภัยพิบัติ เลิกหลงมัวเมาใน ทรัพย์ิ ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้แล้ว
 ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ผู้ที่จะรอดชีวิต ต้องเป็นผู้ที่มีบุญมาก มีศีลอย่างมั่นคงจริงๆเท่านั้น รีบๆหน่อย
เพราะเวลาของท่านเหลือน้อยแล้ว"



สาธุ อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและใน อนาคต
ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้นเมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่

ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า

อา นันทะ ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี
 (ซึ่งก็คือช่วงสงครามโลกครั้งที่1-2 นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านทำนายล่วงหน้าเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว) จะเกิดการณ์ร้ายแรง
จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน
ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ
 ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชนให้พินาศ
 จะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก

ดู ก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาของของตถาคตล่วงเลยไปก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี (ซึ่งก็คือช่วงสงครามโลกครั้งที่1-2)
 สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้น จะพบแต่ความลำบาก
ทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย
 แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้ รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทุกทิศ คนในสมัยนั้นจะมี
นิสัยโหด ดุจกำเนิดจากสัตว์ป่า อำมหิตจะรบราฆ่าฟันกันเอง
 ถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ ผู้ขวนขวาย
 ในกุศลตามวจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง
 บ้านเมืองใด
มีความเคารพยำเกรงใน พระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา
เหตุร้ายภัยพิบัติจะเบาบางแต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น

แต่ว่า ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นการณ์ร้ายแรงหาได้ไม่
 ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้วนั้น

อา นันทะ ดูก่อนอานนท์ หลังกึ่งพุทธกาล (ซึ่งก็คือช่วงหลัง พ.ศ. 2,500 เป็นต้นไป)
จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟัน
ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมาก ๆ
 สมณะ ซี พราหมณ์ จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรากัน
 สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก

เริ่ม แต่พุทธศาสนาล่วงเลย 2,500 ปี เป็นต้นไป
 (ซึ่งก็คือช่วงหลัง พ.ศ. 2,500 เป็นต้นไป)
ไฟจะรุกรามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมชีพรามณ์จะอดอยาก
ยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ
 มหาสมุทธจะชอกซ้ำ สงครามจากทั่วทิศศึกจะติดเมือง
 ข้าวจะขาดแคลนทั่วแคล้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง
พระเสื้อเมือง ทรงเมือง จะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจ จะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว
 มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาบเป็นเวลานาน
 จะตื่นขึ้นมาอาละวาทโลก ดินฟ้าอากาศ
จะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเลโลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ
 นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัท
ไม่ต้องอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพรักธรรมนิยม
 คนประจบ สอพลอได้รับความเชื่อถือในสังคม ผู้ที่มีศีลธรรม ประพฤติดี ประพฤติชอบ
 กลับไม่มีใครเคารพยำเกรง

พระ ธรรมจะเริ่มเปล่งรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อ
มีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์
ณ เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศ
จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคต ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง 5,000 พระวัสสา

ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อยมาก คำทำนายของตถาคตนี้
 ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ
นับว่าเป็นกรรมของสัตว์ ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
 ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศิล 5 ประการ เจริญเมตตาภารนา
 ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดดรู้จักพอ
ไม่โป้ปดคตโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ
ตั้งใจปฏิบัติตน ตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในกึ่งพุทธกาล "

* ในไม่ช้านี้โลกของเราอาจจะกำลังเผชิญกับ สงคราม หรือ ภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่
ซึ่งต้องร้ายแรงกว่าสงครามโลกครั้งที่1-2 เป็นแน่ เพราะคำทำนายของพระพุทธเจ้า
ไม่เป็นอื่นแน่นอน ไหนจะปัญหาเรื่องนิวเคลียร์ในอิหร่าน และเกาหลีเหนือ
ไหนจะปัญหาเรื่องโลกร้อน น้ำแข็งขั้วโลกละลาย
ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมากอย่างน่าตกใจ หมู่เกาะจำนวนมากจมอยู่
ใต้ทะเลไปแล้ว
 ชายฝั่งหลายๆประเทศโดนน้ำทะเลกัดเซาะลึกเข้ามาในแผ่นดินยาวนับสิบๆกิโลเมตร
 พายุที่รุนแรงขึ้นและมาถี่ขึ้น แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยผิดปกติ สึนามิ
 การเกยตื้นของปลาวาฬ
และโลมาถี่ขึ้น (อาจจะมีความผิดปกติใต้ท้องทะเล เช่น เปลือกแผ่นดินเคลื่อน)
 นกแพนกวินตายพร้อมๆกัน 1,500 ตัวที่ประเทศชิลี (อาจจะมีความผิดปกติของอากาศที่ร้อนขึ้น) ฯลฯ
มันช่างมาตรงกับคำทำนายอย่างไม่น่าเชื่อ*

" สงครามหรือภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ ที่กำลังจะมาถึงในยุคนี้
จากการที่ผมได้ศึกษาและรวบรวมคำทำนายของคำภีร์ต่างๆ และคำภีร์ในศาสนาอื่นๆ พอจะประมวลเวลา
ที่จะเกิดได้คร่าวๆ ซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม พอจะสรุปได้ว่าเหตุการน่าจะเกิดขึ้นไม่เกิน พ.ศ. 2560 เป็นแน่แท้"






*สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ* (พระอรหันต์จี้กง)

ข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องที่จะได้นำมาให้อ่านต่อไปนี้ ได้มาจากหนังสือเรื่อง “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาศ ”
 ซึ่งท่านผู้ใช้นามปากกาว่า “ศุภนิมิต”
ได้เรียบเรียงจากต้นฉบับที่เป็นภาษาจีนอีกทีหนึ่ง
สาระของเรื่องได้ถ่ายทอดจากการรับรู้ของเด็กหญิงผู้วิเศษชื่อ “เทียนไฉ” ที่ประเทศมาเลเซีย
โดยการประทับทรงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
และจากการถอดจิตขึ้นไปสู่โลกเบื้องบนไปรู้ไปเห็นมาหลายครั้งหลายหนของเธอดังนี้



เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า: วันที่ฟ้าดินมืดมิด

1. ก่อนหน้า “ เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า ” วันฟ้าดินมืดมิดสองสามวัน บรรยาการของโลกดูสงบเงียบไปทั่ว
 เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความเงียบสงัด
ก่อนพายุฝนจะกระหน่ำมักเป็นความเงียบที่น่ากลัวเสมอ
 แล้วทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนจากสีฟ้าสว่างเป็นแดงฉานและกลายเป็นสีเทาขาว
จนกระทั่งมืดมิดลง
 ลมมหาประลัยทำลายสิ่งปลูกสร้าง คน และ สัตว์ทั้งหมดให้กลายเป็นจุณมหาจุณในพริบตา

2. โลกทั้งโลกตกอยู่ในความืดมิด จนมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ไม่มีแสงสว่างจากดวงไฟใดๆ ทั้งสิ้น
 พลังงานไฟฟ้าจากเครื่องมือวิทยาศาสตร์ทุกอย่าง
ใช้การไม่ได้ผล
 ต่อจากนั้นก็เกิดพายุและลมฝน เสียงฟ้าร้องและสายฟ้าฟาดไม่ขาดสาย
 ห่าฝนเมฆสีแดงจะเทลงมาจากฟากฟ้า โลกจะตกอยู่ใน
ความมืดมิดของรัตติกาล นานถึงสี่สิบเก้าวัน

3. มีเพียงโคมไฟสามดวงในพุทธสถานเท่านั้นที่ให้แสงสว่างได้
รอบนอกสถานธรรม ได้ถูกห่อหุ้มปกป้องด้วยรัศมีสีม่วงโดยทั่ว
 เมื่อนั้นคนที่บำเพ็ญ
โดยแท้จริง และคนดีที่ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม ก็จะได้รับการดลใจ
 ชักนำให้เข้ามาหลบภัยในพุทธสถาน ในที่นั้น หากมีธรรมอธิการผู้อาวุโส
(เฉียนเหยิน) หรืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดธรรมอยู่ด้วยก็อาจจะช่วยชี้ธรรมให้คนเหล่านั้น
 คนที่มีกุศลบารมีสูงก็จะรู้แจ้งในทันที และนั่นอาจจะเป็นแสงอาทิตย์
ลำสุดท้ายที่จะโปรดสัตว์ในธรรมกาลยุคขาวก็ว่าได้
 คนที่ไม่เคยร่วมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดมาก่อนเลย
เกรงว่าจะต้องตายด้วยภัยพิบัติทันทีเลยทีเดียว
ถึงแม้จะรอดพ้นไปได้แต่วิถีอนุตตรธรรมก็สิ้นสุดวาระการถ่ายทอดเสียแล้ว

4. ส่งเสริมให้ญาติธรรมทั้งหลาย สร้างพุทธสถานกันให้มาก ๆ
 แม้จะมีไว้เพียงเพื่อตนเองจะได้กราบไหว้เช้าเย็นก็ยังดี
 เพื่อให้ทุกบ้านเป็นสถานแห่งพุทธ
สมดังพุทธปณิธานโดยเร็ว เมื่อถึง “วันสุดท้ายฯ”
 พุทธสถานจะได้เป็นที่หลบภัยของสาธารณชนให้มาก ๆ
 เพราะพุทธสถานจะเป็นเสมือน “เมืองในม่านเมฆ”
สำหรับผู้ใฝ่ธรรม

5. สภาพโลกภายนอกของพุทธสถาน คือ ภูเขาถล่ม แผ่นดินแยก
 เจ้ากรรมนายเวรของคนทั้งหลายที่เป็นหนี้ติดค้างกันมาถึงหกหมื่นปีมาแล้ว จะลุกฮือกัน
ออกมาเอาชีวิต วิญญาณทวงหนี้กัน แม้ผู้คนจะพ้นจากมหันตภัย
 แต่ก็อาจต้องตายด้วยเจ้ากรรมนายเวร สภาพนั้นจึงเป็นมหาโหด มหาวิปโยค เสียงร่ำไห้กู่ร้อง
ครวญคราง เสียงผีสาง เทพพรหม ระงมก้องไปทั่วเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก

6. เหล่าภูตสางนางไม้ในป่าเขาในบาดาล เหล่าพญามารอสูรทั้งหลายก็จะแปลงกายเป็นพระศรีอาริย์
เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิ์สัตว์กวนอิม เป็นพระอาจารย์จี้กง
หรือพระอริยเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย สำแดงอิทธิปาฎิหาริย์
 เรียกลมเรียกฝนเสกหว่านเมล็ดถั่วให้กลายเป็นกองทัพ ฯลฯ
 จะอวดอ้างศักดานุภาพว่าจะสามารถพา
ผู้คนให้พ้นจากลมมหาประลัย มุ่งคืนไปยังสุทธาวาสเบื้องบนได้

สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อหลอกล่อผู้ปฎิบัติธรรมโดยเฉพาะ
เมื่อถึงเวลานั้น ให้เราทั้งหลายจงตั้งมั่นอยู่ในศรัทธาจิตอย่างเช่นเดิม
 อย่าได้โลภ หลงตามไปเป็นอันขาด
พอขยับใจไขว้เขวแม้เพียงขณะจิตหลงติดตามไป บุญกุศลที่สร้างมาก็จะหมดไป
 ดังคำที่ว่า “ ใกล้จะบรรลุธรรมยามเที่ยง แต่มาเพลี่ยงพล้ำเสียก่อนเมื่อตอนสาย ”
จะขึ้นหรือลงจึงอยู่ที่หัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้
 ที่แอบอ้างว่าเป็นพระบรรพธรรมาจารย์
 มาเก็บงานธรรมอยู่ในขณะนี้นั้น
 เป็นเพียงมารเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่น่าแปลก

ต่อเมื่อวันที่มหันตภัยเกิดขึ้นแล้วนั่นแหละจะน่ากลัว
เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงพระองค์ต่างมุ่งอยู่แต่งาน
 ช่วยคนให้พ้นจากภัยพิบัติไม่มีเวลาจะมาแสดงอิทธิ
ปาฎิหาริย์ล่อใจใครให้กราบไหว้ได้เช่นนั้น
พระพุทธะตรัสไว้ว่า “ แรงแห่งมารหาญกล้ากว่าพุทธะ
” พระอาจารย์จี้กงก็กล่าวว่า “ พระอาจารย์ปลอมมีอิทธิปาฎิหาริย์
แกร่งกล้ากว่า พระอาจารย์จริงเสียอีก
หวังว่าหญิงชายทั้งหลายจะได้ร่วมกันบำเพ็ญธรรม
 อย่าลืม อย่าลืม คนที่บำเพ็ญด้วยความจริงใจ เมื่อถึงเวลานั้นหากจะสงบ
ใจพิจารณาด้วยปัญญา
ก็จะเห็นแจ้งว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือปลอม”
 จะเห็นใบหน้าสีเขียวเขี้ยวโง้งของปีศาจในร่างของพุทธะได้โดยไม่ต้องเทียบ เคียง

7. วันที่ทรมานที่สุด จะมีสองช่วงคือ ช่วงที่หนึ่ง วันที่ 24, 25, 26, ของช่วง “เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน”
 เพราช่วงนั้นอาหารที่สะสมไว้จะหมด คนที่กินเจจะยังอดทนต่อ
ความหนาวเหน็บ ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะทรมานมาก
ช่วงที่สอง ช่วงนี้จะอยู่ระหว่างวันที่ 50 ถึง 70
 เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายจะถูกเคลือบด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี
ซากศพเกลื่อนกลาด คนเคราะห์ดีที่ยังมีชีวิตอยู่จะยังต้องทำหน้าที่ฝังศพ
 คนที่กินเจจะมีกำลังอยู่ได้
ส่วนคนที่กินเนื้อสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทั้งหลาย จึงได้ประทานพระโอวาทคำเตือนไว้นานมาแล้วว่า
“ หลังจากมหันตภัยกวาดล้างโลกนี้กลายสภาพเป็นตมไปแล้ว
 จะเหลือแต่พระอรหันต์เดินดินไม่กินเนื้อสัตว์ ”
เป็นคำเตือนที่ชัดเจนแน่นอนที่สุดทีเดียว

8. หลังการกวาดล้างแล้ว ก็จะเป็นการสร้างบ้านเมืองใหม่
 มนุษย์จะเริ่มเบิกดิถี ด้วยอารยธรรมใหม่ นั่นคือมีคุณธรรมและมีคุณสัมพันธ์ระหว่างกัน
 เพื่อจดจำบทเรียนที่ได้รับ
จากภัยพิบัติ ปรัชญาความคิดของท่านบรมครูขงจื้อและเมิ่งจื้อ
 จะเป็นที่เทิดทูนศรัทธาทั่วโลก ความจริงใจรักใคร่ช่วยเหลื่อซึ่งกันและกัน
 จะเป็นปฎิญญาที่ทุกคนรักษาไว้ร่วมกัน

9. พระศรีอาริยเมตไตรย จะเสด็จสู่โลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในศุภวาระนี้
จะทรงเปิดเผยให้เห็นฉากสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์
ของพระอรหันต์แห่งธรรมกาลยุคขาวนี้ จะทรงประทาน
อริยฐานะตามลำดับมรรคผลบุญกุศล
จากนี้โลกแห่งสันติสุขเยี่ยงสมัยพระเจ้า “เหย่าซุ่น”
หรือโลกพระศรีอาริย์ก็ได้เบิกวิถี ณ บัดนี้



*สถานที่เกิดเหตุมหันตภัย*
วัน ที่ 30 มกราคม เวลาเช้า 9.00 น. อันเป็นเวลาฝึกสมาธิ
 ดรุณีน้อยเอี้ยนอี๋ (เทียนไฉ) ก็ได้ถอดจิตติดตามพระอาจารย์จี้กง
ไปดูสถานที่เกิดเหตุมหันตภัยต่อไปดังนี้



ขณะ นั้น ลมมหาประลัย โหมมาทั้งสี่ทิศพร้อมกันตึกใหญ่ ๆ
ที่ยังมิได้พังทลายทั้งหมด
 ท่ามกลางแรงระเบิดและแสงไฟโชติช่วงได้พังคลืนลงมาทั้งหมด
 เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ต้นไม้
ขนาดสิบคนโอบรอบ ก็ถอนรากถอนโคน ล้มระเนระนาด
ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาล้วนเป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก
 แล้วเธอก็ได้เห็นหมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่ง ตรงกลางเป็นพุทธสถาน
บ้านเรือนที่อยู่ในรัศมีโดยรอบหลายร้อยเมตร
 ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเรืองรอง
 ผู้คนที่อยู่ในพุทธสถานและภายใต้การห่อหุ้มของแสงสีม่วงพ้นภัยโดยทั่วกัน
 ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไป
แต่เป็นคนที่มีจิตใจดี
ดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะดลใจให้เขาวิ่งเข้ามาหลบภัยในพุทธสถานด้วย

โลกภายนอกมืดมิดไปทั่ว ไม่มีแสงสว่างจากไฟฟ้าหรือดวงไฟจากสิ่งใดเลย
สายฟ้าแลบพร้อมกับฟ้าคะนอง หยดน้ำสีแดง ๆ เหมือนสายฝน
 แต่มิใช่ โกรกลงมาจากฟ้าแต่ละหยดมีน้ำหนัก
เหมือนเศษแก้ว กลิ่นเหม็นเอียนจัด
 เหมือนยาพิษร้ายแรง มันทะลุผ่านอิฐ หิน ปูน เหล็กกล้าและทุกอย่างแต่ที่น่าอัศจรรย์คือ
 เมื่อมันหยดลงมาบนรัศมีครอบที่เป็นสีม่วง มันจะสลายตัวหายไป
จนหมดสิ้น ในตำหนักพระมีพระพุทธประทีป 3 ดวง
 บนแท่นบูชาสาดส่องประกายไฟอยู่สว่างไสว

ไม่นานต่อมาเธอก็ได้เห็นพื้นดินแยกออกเป็นร่องลึกใหญ่ทั่วไป
ผีนรกทั้งหลายกรูกันออกมาจากรอยแยกเหล่านั้น ทุกคนดูกระเหี้ยนกระหือรือ
 พอเห็นศัตรูคู่อาฆาตลูกหนี้ในชาติก่อนของเขาก็
ฉุดกระชากตัวลงไป ในร่องลึกใต้ดินโดยทันทีโดยไม่มีการพูดจาต่อรองใด ๆ
 เป็นภาวะที่ผีคร่ำครวญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่ำร้องโดยแท้สยองขวัญยิ่งนัก
 พระอาจารย์จี้กงบอกหนูเอี้ยนอี่ว่า นั่นคือการ
หักล้างบัญชีครั้งใหญ่ ในรอบหกหมื่นปีที่ผ่านมา

ทันใดนั้น เธอก็เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงเหมือนกัน
 แผ่รัศมีรอบวงค่อนข้างมัวหมองเหมือนถ้ำ และเหมือนบ้านเก่า
 ภายในบริเวณไม่มีแท่นที่บูชาพระ มุมหนึ่งในบริเวณนั้น
มีไหวางเรียงอยู่หลายใบ ไหทุกใบมีฟองเหมือนน้ำและเหมือนน้ำมันผุดขึ้นจนล้นออกมา
 ฟองเหล่านั้นมีสีแดงเรื่อ ๆ ให้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจเลย
 บนผนังบ้านติดยันต์เต็มไปหมด
ดูอึมครึมน่ากลัว พระอาจารย์จี้กงบอกว่า ที่นั่นเป็นเมืองในม่านเมฆจอมปลอม
 เป็นถ้ำมารที่ปีศาจมารร้ายจำแลงไว้ล่อใจคนโลภหลงให้เข้าไปติดกับ
 ไม่นานนักเธอก็เห็นพระศรีอาริย์ปลอม
ลอยลงมาจากฟากฟ้า หัวเราะร่าร้องเรียกผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมและคนทั้งหลาย
 ที่ยังไม่ทันได้ไปหลบภัยในพุทธสถานที่แท้จริงว่า
 ให้ติดตามเรามา เจ้าจะหลบเลี่ยงภัยพิบัติได้
อีกทั้งแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ให้แสงสีม่วงห่อหุ้มพวกคน
ให้พ้นจากการทำลายของฝนพิษได้

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาตะโกนเรียกผู้บำเพ็ญธรรมที่หลบภัยอยู่ในตำหนักพระ
 ภายใต้ครอบแสงสีม่วงให้ตามไป
จะได้ยกระดับและมอบหมายตำแหน่งงานธรรมชั้นสูงให้
 ใครก็ตามที่หลงเชื่อ
ตามไปในครั้งนี้ ก็จะไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป
 โดยแท้จริงแล้ว คนที่เข้าพุทธสถานแล้ว ภัยพิบัติมิอาจเข้ามาทำลายได้เลย
 เมื่อถึงเวลานั้นคนที่บำเพ็ญธรรมจงพึงระวังตัวให้รอบคอบทีเดียว



*ภาพเมื่อโลกถูกระเบิดนิวเคลียร์ทำลาย*

ใน หนังสือ “ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นวันโลกาวินาส ” ศุภนิมิตถอดความไว้ว่า:-
 เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2531 เวลา 17.10 น.
 เด็กหญิง “เทียนไฉ” ถอดจิตออกจากร่างติดตาม
พระอรหันต์จี้กงขึ้นไปเหนือเมฆ
มองดูภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าสภาพอันน่าเวทนาเมื่อเวลาระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้น มีดังนี้



ระเบิดนิวเคลียร์ลูกหนึ่ง ได้ยิงไปตกลงยังเมือง ๆ หนึ่ง
 หัวระเบิดได้ระเบิดขึ้นกลางอากาศเกิดเปลวไฟและแสงสว่างอันแรงกล้า
 แล้วทันใดนั้นมันก็ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่มีอยู่ทั้งหมด
ชั่วพริบตา พร้อมกับเสียงดังกัมปนาทและแรงสะเทือนอย่างรุนแรงจากระเบิด
 ความกดอากาศเปลี่ยนแปลงทันที คนและสัตว์ทั้งหลายบาดเจ็บและล้มตายลงนับจำนวนไม่ถ้วน
ทุกหนทุกแห่งเห็นแต่ภาพน่าอนาถ
 กลุ่มควันที่เหมือนเมฆสีดำรูปดอกเห็ด ขยายตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำมืด
และมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อากาศในขณะนั้นให้ความรู้สึกอึดอัด
เหมือนกำลังจะขาดใจตาย
บริเวณที่ได้รับความเสียหายกว้างไกลออกไปถึงร้อยกว่ากิโลเมตร

ส่วนกัมมันตภาพรังสีนั้น ครอบคลุมไปไกลถึงหลายร้อยกิโลเมตร
 คนที่ไม่ตายด้วยไฟและแสงหรือจากแรงระเบิด
 ก็วิ่งพล่านกระเจิดกระเจิงไป เสียงเรียกพ่อ เรียกแม่ กรีดร้องก้องฟ้า
เป็นที่น่าเวทนา หาที่เปรียบไม่ได้เลย
 ทันใดนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนไหวม้วนตัวอย่างรวดเร็ว
 ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีแดงเรื่อ ๆ เป็นสีแดงคล้ำแล้วกลับกลายเป็นสีเทาขาว แล้วในทันใด
ก็เปลี่ยนเป็นสีเทาดำ และดำมืด

ถึงตอนนั้นแม้จะชูมือขึ้นตรงหน้า
 ก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าได้ คนที่ยืนอยู่ต่อหน้ากัน ก็มองไม่เห็นกัน
 พระอาจารย์จี้กงตรัสไว้ว่านั่นคือ “ เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ” อันยาวนานที่รัตติกาลมา
สู่โลก เวลาอันน่าสะพรึงกลัวกำลังเริ่มแล้ว ณ บัดนี้



*วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสองโมงโดยประมาณ*

พระ อาจารย์จี้กงพาหนูน้อยเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป:-
 แม้จะผ่านช่วงสี่สิบเก้าวันอันยาวนานและน่าสะพรึงกลัวไปได้แล้วก็ตาม
 แต่โลกก็ยังตกอยู่ในความมืดมิด ต่อมาจึงค่อย ๆ
สว่างขึ้นทีละน้อย เห็นศพเกลื่อนกลาดกองพะเนิน
 มีแต่หัวขาด แขนขาด ขาขาด หรือตัวขาดเป็นท่อน
จนแทบไม่มีศพเต็มร่างเลยโลหิตสีดำคล้ำนองไหลมารวมกัน
 จนเหมือนแม่น้ำเลือดกลิ่น
เหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วจนอยากอาเจียน
 พูดได้ว่ามันคือนรกในเมืองมนุษย์จริง ๆ ไม่นานต่อมา
 แสงสีม่วงที่ครอบพุทธสถานก็ค่อย ๆ จางไป
 ญาติธรรมทั้งหลายพากันออกมาภายนอกได้แล้ว
โลกทั้งโลกเงียบสงัด สัตว์ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้มีเพียงประเภทเดียว
 คือสัตว์ที่กินหญ้าหรือกินพืชผักเป็นอาหาร คือ กระต่าย แกะ วัว ควาย และม้าเท่านั้น
จากนี้คือความทุกข์ยากหลังจาก
วันเกิดมหันตภัย



*วันที่ห้าสิบถึงเจ็ดสิบ*

คน ที่ไม่ได้ถือศีลกินเจมาก่อน ยากที่จะผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้
 เพราะทุกหนแห่งในโลกล้วนอาบไปด้วยพิษของกัมมันตภาพรังสี
 พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีอะไรเหลือเลย ผู้ที่ทนต่อความอดอยากไม่ได้
ผู้ที่กินเจเฉพาะวันหรือไม่ได้กินเจ แต่โชคดีที่รอดพ้นสี่สิบเก้าคืนมาได้
 ภายในร่างกายของเขายังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่
 อีกทั้งอารมณ์โหดจะเกิดขึ้น พวกคนเหล่านั้นจะฉีกเนื้อกระต่าย แกะ วัว
ควาย หรือม้ากินดิบ ๆ ได้
แต่ไม่นานต่อมาเขาก็จะต้องตายเพราะสารพิษ
พระอาจารย์จี้กงได้โปรดเมตตาบอกว่า
 มีแต่คนที่กินเจเท่านั้นที่จะอยู่รอดจากความอดอยาก
 หลังจากภัยพิบัติใหญ่แล้วจริง ๆ



*วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง พระอาจารย์จี้กงได้โปรดนำหนูเอี้ยนอี๋ไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยคต่อไป*

ขณะ นั้นท้องฟ้าสว่างแล้ว ทุกสิ่งบนพื้นโลกมีแต่ซากที่ถูกทำลายล้าง
 แผ่นดินที่แยกออกปิดเข้าหากันแล้ว
 เหลือแต่รอยแยกเป็นทาง ๆ แม่น้ำเลือดที่ไหลนองก็แห้งลงและซึมลงไปในดิน
 ทุกอย่าง
ที่เห็นมีแต่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน น่าสมเพชเวทนา และน่าอนาถใจ

 คนถือศีลกินเจทั้งหลาย เริ่มจะลงมือเก็บฝังหรือเผาซากศพกันอย่างเป็นงานเป็นการ
 เมื่อหิวกระหายก็เพียงแต่ใช้นิ้วจุ่มน้ำทิพย์
ที่บูชาแตะลงที่ปลายลิ้น แล้วคนเหล่านั้นก็ประทังชีวิตอยู่กันต่อไปได้อย่างไม่เดือดร้อน
 คนที่ยังไม่เคยกินเจตลอดเสมอมา
จะไม่กล้าเดินออกไปนอกตำหนักพระเลยแม้สักก้าวเดียว

*วันที่ 8 กุมภาพันธ์ เวลาเที่ยง หนูน้อยเอี้ยนอี๋ก็ติดตามพระอาจารย์จี้กงไปดูเหตุการณ์วันมหาวิปโยค ฉากสุดท้ายต่อไป*

ขณะ นั้น ทั้งการเก็บฝังและเก็บเผาซากศพจะแล้วเสร็จไปส่วนเสียส่วนใหญ่
 แสงสีม่วงนอกจากจะปกป้องรอบ ๆ อาณาบริเวณพุทธสถานแล้ว
 ยังรวมทั้งต้นไม้ใบหญ้า และสิ่งปลูกสร้างในวงรอบ
รัศมีอีกด้วย ส่วนรอบนอกนั้นราพณาสูรไม่เหลืออะไรเลย
 ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดถูกทำลายหมดสิ้น และใช้การอะไรไม่ได้อีกเลย

จากนั้นฟ้าดินก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของธรรมชาติตามปรกติ
ตะวัน เดือน ออกมาส่องแสงเช่นเดิม มีลม มีฝน แม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยน้ำใสไหลล่อง
 ผู้คนเริ่มสร้างบ้านเรือนเป็นที่พักอาศัย
หลบฝน และเริ่มงานทำไร่ไถนากันอย่างขะมักเขม้น
เช้าก็ออกไปทำนา เย็นก็กลับมาบ้าน ชีวิตแม้จะไม่ว่างทางแรงกายแต่ก็มั่นคงเป็นสุขใจ
ผู้คนต่างอยู่ร่วมกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือซึ่งกัน
และกัน ไม่มีการวิวาทบาดหมาง แย่งชิง โลกทั้งโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของชีวิต
 และเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามเหมือนโลกใหม่โดยแท้

(แหล่งที่มา หนังสือพระศรีอาริย์เจ้าโลก รวบรวมโดย รหัสญาณ สำนักพิมพ์ ลานอโศก เพรส กรุ๊ป ISBN:9748346285)



มา ดูคำทำนายบางส่วนของผู้หยั่งรู้อนาคตที่มีชื่อเสียงที่ทำนายเรื่อง สงครามและภัยธรรมชาติ
 (แค่บางส่วนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ซึ่งผมยังมีอีกมากครับ)
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากน้องเมย์ Premsuda (May)



1. องค์การ NASA ระบุว่า แกนโลกจะเอียง จนเกิดหายนะขึ้นกับโลกในปี ค.ศ. 2012

อ้างอิง ข้อมูลจากน้องเมย์ Premsuda (May)
[ความตายใกล้เข้ามาแล้ว วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555 วันวิปโยก วินาศสันตะโร วันสุดท้ายของมนุษย์ (ที่ไม่มีศีลธรรม)]



2. นักวิทยาศาสตร์แห่งองค์การ NASA อาจารย์สุมิตร อิศรางกูร ณ อยุธยา ออกมายืนยันว่าปี ค.ศ. 2012 โลกจะเกิดหายนะครั้งใหญ่

อ้างอิง ข้อมูลจากน้องเมย์ Premsuda (May)
[ข่าวใหม่ล่าสุด 23 พ.ค 2552 ช่อง 11 (4 ทุ่ม) มีการคุยเรื่อง ภัยพิบัติล้างโลก 2012 (ใครที่ยังไม่ได้ดู เมย์จะสรุปให้อ่านค่ะ)]


3. คำทำนายจากคัมภีร์ไบเบิ้ล เรื่องโลกจะเอียง มาตรงกับ คำทำนายขององค์การ NASA แบบไม่น่าเชื่อ

อ้างอิง ข้อมูลจากน้องเมย์ Premsuda (May)
[มหันตภัยครั้งใหญ่ "น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว" จะเกิดขึ้นภายใน 7 ราตรี คือ 49 วัน ที่มีแต่กลางคืน (เริ่ม 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555)]



4. คำทำนายเรื่องภัยพิบัติล้างโลก ของศาสนาคริสต์ การชำระล้างของพระบิดา จะทำให้แกนโลกเอียง
ให้ขั้วโลกเหนือก้มหัวเข้าหาดวงอาทิตย์ จนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย น้ำทะเลทะลักท่วมแผ่นดิน

อ้างอิง ข้อมูลจากน้องเมย์ Premsuda (May)
[10 คำทำนาย สู่ภัยพิบัติล้างโลกของ "ศาสนาคริสต์"]



5. คำทำนายเรื่องภัยพิบัติล้างโลก ของศาสนาอิสลาม หลังภัยพิบัติ
ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก และมะฮุดีจะปรากฏตัว

อ้างอิง ข้อมูลจากน้องเมย์ Premsuda (May)
[คำทำนาย และสัญญาณวันสิ้นโลกของ "ศาสนาอิสลาม"]




6. วานก้า หรือชื่อจริงคุณยาย วานเกเลีย ปานเดว่า กุชเตโรว่า เป็นชาวบัลแกเรีย (ได้รับฉายาว่า นอสตราดามุสแห่งบัลแกเรีย)
คุณยายเกิดเมื่อ 31 มกราคม ค.ศ. 1911
ในครอบครัวชาวนายากจนที่หมู่บ้าน สตรูมิซ่า ที่ปัจจุบันอยู่ใน มาเซโดเนีย
และคุณยายเสียชีวิตเมื่อ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1996 เวลา 10:10 น.ได้ทำนายอนาคตของโลกเมื่อไม่นานมานี้ว่า

- ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 (พฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014)
 ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี
การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์
จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่
 ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนัง
กันมากจากผลของอาวุธเคมี



7. นาย Gordon-Michael Scallion เป็นผู้หยั่งรู้อนาคต (futurist)
 มีญาณทัศนะ(Spiritual Visionary) คือมองเห็นอนาคตด้วยญาณ มีความแม่นยำมาก
 เขาได้ทำนายว่า
น้ำกำลังจะท่วมโลกจนหลายประเทศหายไปจากแผนที่
ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น
เขา เชื่อว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 1998-2012 (พ.ศ.2541-พ.ศ.2555)
 และเขาได้สร้างแผนที่โลกใหม่หลังน้ำท่วมครั้งใหญ่
 ภายใต้ชื่อ Future Map Of The World
ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1978 (พ.ศ. 2521)
 ซึ่งประเทศไทยเหลือแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น



8. หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ทำนายว่า ช่วง พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป
 (ท่านไม่ได้ระบุ พ.ศ. ที่จะเกิดแน่นอน) มวลมนุษย์ ภัยพิบัติ น้ำจะท่วมโลก แผ่นดินจะไหว มนุษย์ที่ดีถึงจะรอด
หมู่ ชนควรทำดี ให้มนุษย์มีการปฏิบัติ
 มวลชนทุกหมู่เหล่าต้องปฏิบัติ พระเจ้าผู้สร้างโลก มองเห็นมวลมนุษย์
 กำลังจะทุกข์ยาก ล้มหายตายจาก เวลานั้นใกล้เข้ามา มนุษย์เท่านั้น
ที่จะช่วยตัวเองได้ จงทำตัวเองให้ดี จงมีจิตที่ดี จึงจะรอดพ้น
ไม่มีใครช่วยใครได้ แผ่นดินจะกลืนกิน มิรู้สิ้นชีวิตเท่าใด ผู้ที่จะรอดปลอดภัย
ต้องอยู่ในศีลธรรม

พึงรักษาชีวิต อย่าคิดว่าตายแล้วดีกว่าอยู่
 ต้องอดทน ผู้รอดจากภัยพิบัติ คือ ผู้ที่ต้องอยู่ต่อ
เป็นผู้ที่ต้องช่วยกัน ปรับสภาพจากเหตุการณ์ ที่ผ่านพ้นแต่กว่าจะถึงตอนนั้น
มนุษย์ก็แสนสาหัส
ทุกข์ยากอดอยาก ยากไร้ปางตาย ไร้ความทรงจำก็มี
 เพราะขาด การเตรียม ด้วยความไม่รู้ มนุษย์ต้องพบ วิบากกรรมชีวิต ทุกชีวิตที่อาศัย
อยู่บนโลกลำบาก มนุษย์เป็นผู้ทำทุกสิ่งด้วยมือ
ของมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่มี ไม่ใช่ ใครที่ไหนทำ เวลาใกล้เข้ามา
ทุกขณะความตาย กำลังเข้ามาใกล้ตัว

ก่อนถึงเวลา ก่อนถึงวันนั้น มนุษย์ผู้ซึ่งกระทำการทำลาย มนุษย์ด้วยกัน
 มันต้องพินาศเช่นกัน การกระทำของมันผู้นี้ ทำให้มนุษย์
 จำนวนมากมายสิ้นชีวิต คล้ายใบไม้ร่วง มันหวังว่าจะได้เป็นใหญ่
ในแผ่นดินทั่วโลก แต่แล้วความหายนะ
เข้ามาครองโลกแทน ความพินาศเต็มไปหมด
ความหวังย่อยยับ ปฐพีเต็มไปด้วยเลือด ศพกลาดเกลื่อนเลือดทาแผ่นดิน
 ชีวิตสูญสิ้น สิ้นไร้ผู้คน
มีแต่ความตาย ที่เห็นชัดความดับสูญครั้งใหญ่
ของมวลมนุษย์และสัตว์ในโลก

ความตายเป็นผู้ชนะ ผู้แพ้คือผู้กระทำความชั่วร้าย
ผู้ที่ตายทั้งหมดเป็นผู้โชคดีกระนั้นหรือ
ผู้ที่รอดเป็นผู้โชคดีกระนั้นหรือ มิใช่ทุกอย่างคือ กฎแห่งกรรม วิถีแห่งกรรม มาจากที่ใด
ทำไม มวลมนุษย์จึงต้องรับความดับสูญ
 เพราะชีวิตกับความตายเป็นสิ่งที่คู่กัน ไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่มีทางหนีพ้น
 โอกาสผู้ที่รอด หมายถึง ผู้อยู่ต่อ เพื่ออนาคตโลก ผู้ทำลายดับสิ้นสูญ
โลกร้อนระอุ มีแต่ไฟ เถ้าถ่านท่วมท้นแผ่นดิน
น้ำเป็นพิษ สารเคมีท่วมท้น เชื้อโรคสารพัดชนิด
 กัดกินผู้คน ผู้ที่รอดแสนสาหัส ทุกข์ยากรอความตาย


9. "หลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล" กล่าวไว้ว่า พ.ศ. 2550 ถึง 2555 หางนาคกวาดน้ำให้โลกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
กำลังจะกวาดน้ำขึ้นมาล้างโลก
จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ คนไม่ดีไม่มีศีลธรรม จะล้มตายมาก
ส่วนคนดีมีศีลธรรม จะอยู่รอดปลอดภัยได้
หลวงปู่สรวงท่านละสังขารเมื่อ วันที่ 8 กันยายน 2542 (ขึ้น 10 ค่ำเดือน 10 ปีมะโรง )
สะรีระสังขารของท่านตั้งอยู่ที่ศาลา ออยเตียนสรูล วัดไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ

อ้างอิง
[หลวงปู่สรวง (เทวดาเล่นดิน) พูดถึงภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้...]



10. หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก วัดทุ่งสามัคคีธรรม สุพรรณบุรี
 ซึ่งเป็นพระอริยสงฆ์แห่งลุ่มน้ำสุพรรณ "ได้นิมิตเห็นกรุงเทพฯน้ำท่วมสูงประมาณเสาไฟฟ้า"
แต่ในนิมิตไม่ได้แจ้งว่าจะเกิดเมื่อไหร่



9. นาย สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
ทำนาย กรุงเทพฯ จมใต้น้ำ (พ.ศ. 2558) ท่านทำนายไว้เมื่อ
เดือน พฤศจิกายน 2550

อ้างอิง
[ oknation.net]


10. ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ทำนายอนาคตโลกต้องเกิดภัยพิบัติครั้งมโหฬารในปี พ.ศ. 2560
 ท่านทำนายไว้เมื่อปี พ.ศ. 2548

อ้างอิง
[บทสัมภาษณ์ ดร.อาจอง ชุมสายฯ เรื่องอนาคตเมืองไทยอีก 10 ปีข้างหน้า - PaLungJit.com]




11. หลวงพ่อฤาษีลิงดำเทศน์เรื่อง : คำทำนายภัยพิบัติ และอนาคตประเทศไทย

อ้างอิง
ฟังเสียงบรรยาย หลวงพ่อฤาษีลิงดำเทศน์เรื่องคำทำ


โปรดใช้ วิจารณญาณ  ของผู้อ่าน นะครับ

http://dek-d.com/board/view.php?id=1208299

 wav!!



บันทึกการเข้า

drdr61♥
ซุปเปอร์ วีไอพี
member
*

คะแนน292
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2663


ดูสิ่งที่มากระทบใจ อย่าเอาจิตไปปรุงแต่ง


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2009, 07:18:13 pm »

เมื่อเราเชื่อในพุทธองค์ เราก็เชื่อในพุทธทำนาย เราก็เดินตามพระธรรมของพระองค์
บันทึกการเข้า

คนเราต่างที่มา ต่างที่ไป ย่อมคิดและทำอะไรที่ต่างกัน ยอมรับและเข้าใจ  จะสงบสุข
ขายอุปกรณ์ไวเลส และสายอาศไวเลส wifi
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2009, 07:25:18 pm »

อ้างถึง
น้ำกำลังจะท่วมโลกจนหลายประเทศหายไปจากแผนที่
ประเทศที่เป็นเกาะจะจมน้ำทั้งหมด ประชากรโลกที่รอดตายมีเพียง 10% เท่านั้น
ประชากรโลก ผู้ที่รอดตาย 10 % จะเป็นผู้ใดนะ??.... Sad 
บันทึกการเข้า
saksit
member
*

คะแนน2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 63


« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2009, 05:29:00 pm »

พุทธะทำนายแล้วเป็นหนึ่งไม่มีสอง
เตรียมตัวไว้
บันทึกการเข้า
TLE.
ซุปเปอร์ วีไอพี
member
*

คะแนน344
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2427

THALANELEC@hotmal.com
อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2009, 05:30:42 pm »

      สงสัยจะไม่รอดแน่ๆงานนี้  แก่แล้ว ไม่ไหว   
บันทึกการเข้า

ร้านท่าลานอิเลคทรอนิคส์  79/9ม.5ต.เริงราง อ.เสาให้ จ.สระบุรี 18160   ติดต่อ  098-2783778.        SKYPE:  thalanelec   ซ่อม ทีวี เครื่องเสียง ตู้เย็น ตู้แช่ ตู้เชื่อมอินเวอร์เตอร์ เครื่องซักผ้า  ทุกยี่ห้อ  บริการ รับ-ส่งเครื่องนอกสถานที่ รับประกันหลังการซ่อม
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: