นิพพานคืออะไร?
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: นิพพานคืออะไร?  (อ่าน 3808 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2009, 11:09:38 am »

 คำว่า ‘นิพพาน’ นั้น เรามักจะได้ยินกันจนชินหูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่ว่าจะทำบุญทำทานอะไร ผู้ใหญ่ในสมัยก่อนจะยกมือขึ้นท่วมหัวอธิษฐานกันยาวเหยียด และลงท้ายด้วยขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าสู่แดนนิพพานด้วยเถิด... “นิพพานะปัจจะโย โหตุ”

ผู้ใหญ่มักจะบอกว่า นิพพานคือ ตายแล้วไม่เกิด...แล้วเราไปยึดอยู่ตรงนั้น

สมัยเด็ก ๆ ผู้เขียนเคยตั้งข้อสงสัย...

“เอ...การทำบุญใส่บาตรนี่ทำให้นิพพานได้ด้วยหรือ...” แถมเวลาถามผู้ใหญ่ก็ถูกดุเอาเสียอีก เลยโง่มาเสียนาน

การบรรลุนิพพานได้ต้องประกอบด้วย ‘ศีล สมาธิ ปัญญา ที่สมบูรณ์’

ทั้งนี้เพราะแค่ ทาน ศีล ธรรมดาช่วยให้พ้นทุกข์ไม่ได้

‘ทาน’ เป็นการทำจาคะเพียงเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ ให้ละลดจากความยึดถือสมบัตินอกกายเท่านั้น

‘ศีล’ เป็นองค์ประกอบเพียงให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น เพราะศีลแปลว่า ‘ความปกติ’ มนุษย์ต้องถือศีล ๕ จึงเรียกว่ามีความปกติ ถ้าล่วงศีลถือว่า ‘อปกติ’ เมื่อไม่ปกติจึงต้องรับผลร้ายตกต่ำจากมนุษย์สู่ทุคติภูมิเป็นธรรมดา

ฉะนั้นบุคคลจะพ้นทุกข์ได้จึงต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาสมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะผู้มีศีล สมาธิ ปัญญาสมบูรณ์แล้วก็จะได้บรรลุถึงนิพพาน ซึ่งในเมื่อบรรลุนิพพานแล้วก็จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ตนได้พ้นทุกข์แล้วจริง...เป็นการพ้นอย่างเด็ดขาด

แต่อย่างไรก็ดีคนที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้จริง ๆ ต้องเป็นการเข้าใจด้วยตัวเองเท่านั้น เพราะเป็นเรื่อง ‘ปัจจัตตัง’ ปฏิบัติเองรู้เองเข้าใจได้เอง...เพราะนิพพาน เป็นลักษณะนามธรรม ที่หาคำอธิบายได้ยากเหมือนกับคนที่ไม่เคยมีความรักแล้วให้คนมีความรักอธิบายความรู้สึกให้ฟังนั้นเอง

นิพพานคืออะไร?

เมื่อพูดถึงนิพพาน ประการแรกอย่าเข้าใจเป็นอันขาดว่า การบรรลุนิพพาน คือการตายแล้วไม่เกิดเท่านั้น ความจริงนิพพานมีความหมายหลายอย่าง เช่นคำว่า นิพพานหมายถึงความสงบอันประณีต เป็นความสงบใจในขั้นโลกุตระ

กล่าวคือผู้ที่เข้าถึงความสงบในขั้นนี้แล้ว ความสงบที่มีในใจนั้นเคยมีอยู่อย่างไรก็มีอยู่อย่างนั้นตลอดกาล คนที่ได้ฌานก็มีความสงบและสงบมากด้วย ซึ่งสุดแล้วแต่จะได้ฌานขั้นไหน แต่ความสงบในฌานนั้นมีทางเสื่อมถอยได้ และที่สำคัญความสงบในฌานช่วยให้ละกิเลสเด็ดขาดไม่ได้ อย่างมากก็ได้แค่ชั่วคราว

เมื่อกิเลสยังคงเหลือยังไม่ขาดจากสันดาน

ความทุกข์สามารถเกิดขึ้นได้อีก

ส่วนผู้บรรลุนิพพานนั้น ใจจะสงบตลอดกาล สิ่งแวดล้อมหรือเครื่องเย้ายวนทั้งหลายมิอาจกระพือกิเลสตัณหาให้ลุกฮือขึ้นได้อีก ฉะนั้นความทุกข์ใดซึ่งเคยเกิดจากกิเลสตัณหาดับลง กิเลสอันเป็นต้นเหตุไม่มีแล้ว ความทุกข์ก็จะมีอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้บรรลุถึงนิพพานเท่านั้น จึงนับว่าพ้นทุกข์ได้อย่างเด็ดขาดและพ้นได้ตลอดกาล

 

ข้อที่ว่า นิพพาน หมายถึงความสงบนั้น ก็เพราะพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า...

... ‘เอตัง สันตัง เอตัง ปะณีตัง ยะทิทัง มะทะนิมมะทะโน ปิปาสะวินะโย อาละยะสะมุคฆาโต วัฏฏะปัจเฉโท ตัณหักขะโย วิราโคปิ โรโธ นิพพานัง’
แปลความว่า นี่สงบ นี่ประณีต ณ ที่นี้เองเป็นที่สว่างเป็นที่กำจัดความกระหาย เป็นที่ทอนความอาลัย เป็นที่ตัดวัฏฏะ เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่หน่ายราคะ เป็นที่ดับสนิท นี่แหละคือนิพพาน

ดังนั้น...นิพพานจึงดับที่ใจมิได้ดับตรงที่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้นิพพานจึงก้าวถึงได้ แม้ในขณะที่ยังมีชีวิตมีลมหายใจ ครองกายเนื้ออยู่ได้เช่นกัน

ขอเพียงเริ่มต้นรักษาศีล...ปฏิบัติสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา

‘ปัญญา’ เท่านั้นทำให้รอบรู้

มองเห็นสิ่งอันเป็นอุปาทานให้เกิดทุกข์

เมื่อรู้แจ่มแจ้ง...ในเหตุแห่งทุกข์ และวางเหตุนั้นได้ดังพุทธพจน์ที่กล่าวมาข้างต้น

นิพพานจักเป็นของทุกคน!
ที่มาของข้อมูล http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=9&wpid=0028 


บันทึกการเข้า

b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3008


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2009, 03:03:58 pm »

สาธุ..ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆมาฝาก แต่ชาวบ้านอย่างกระผมคงไม่บรรลุธรรมตามนี้ได้ไม่สามารถนิพพานได้
 ท่านสอนเหมือนที่พระทั่วไปสอน เหมือนเดินอ้อมภูเขา ไม่ถึงยอดเขาสักที
ความเข้าใจของผู้น้อยมีดังนี้ นิพพาน เป็นสมมุตินาม ไม่อาจอธิบายเป็นรูปได้ ผู้ปฎิบัติจะเห็นได้ด้วยตนเอง และคำที่ใกล้เคียง
ที่พอจะหาได้คือ "ตายจากกิเลส"คือไม่มีกิเลสน้อยใหญ่นั่นเอง แล้วกิเลศ คืออะไร กิเลสก็คือ "อยาก"ยังไง ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา
คือ หมดความอยากทั้งหลายทั้งปวง คือนิพพานนั่นเอง ฉนั้น กำจัดความอยากคือหนทางสู่ นิพพาน ห้ามอยากนิพพาน การอยากคือ
มีกิเลส ที่เหลือคิดเอง ผู้น้อยมาได้แค่นี้และครับ Cheesy
บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ
dekwat♥
member
*

คะแนน458
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 303



« ตอบ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2009, 03:27:19 pm »

เพิ่มเติมนะครับ กิเลสแปลว่าสิ่งที่พอกพูนหมักหมมอยู่ในสันดานสัตว์  ส่วนคำว่าตัญหาแปลว่าความอยากครับ
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2009, 04:14:12 pm »

 THANK!!        THANK!!
บันทึกการเข้า
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3008


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2009, 04:40:43 pm »

 Cheesyกิเลสคืออะไร

ในบรรดาสัจธรรมที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ กิเลส เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่ง คนทั่วไปพูดถึงคำว่ากิเลสเสมอ แต่มักจะเข้าใจไม่ถ่องแท้ถึงความหมายของ กิเลส ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นสิ่งไม่ดี คำว่ากิเลสทางพุทธศาสนามีความกว้างขวางลึกซึ้ง และถือว่ามีความสำคัญใหญ่หลวงต่อการดำรงชีวิตของมนุษ ย์ จึงควรทำความเข้าใจให้ดี ได้มีผู้จำแนกกิเลสออกได้ถึง 1,500 อย่าง แต่เมื่อรวบรวมเข้าเป็นกลุ่มแล้ว ย่อได้เพียง 5 อย่าง คือ โลภะ โทษะ โมหะ มานะ และทิษฐิ แต่ที่คนทั่วๆไปพูดถึงเพียง 3 ข้อแรก คือ โลภ โกรธ และหลง

ในทางศาสนา กิเลสหมายถึงเครื่องเศร้าหมอง อันประกอบด้วย ตัณหา อุปาทาน และอวิชา ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญในหลักธรรมที่สำคัญคือ ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้เกี่ยวกับเหตุและหนทางที่จ ะพ้นทุกข์ อันเป็นเรื่องใหญ่แต่จะขอนำมาเขียนไว้พอเป็นสังเขปตา มลำดับ

ตัณหา เป็นคำที่ฟังดูไม่ดีและเอียงไปทางด้านเกี่ยวกับทางเพ ศ เช่น ตัณหากลับ หรือมากตัณหา แต่ความหมายทางศาสนากว้างขวางกว่านี้มาก หมายถึง ความทะยานอยากได้ในสิ่งที่เกินกว่าธรรมชาติ ตัวอย่างที่พอเข้าใจได้ง่ายๆ เช่น ถ้าคนหิวข้าวอยากกินข้าวตามธรรมดา พอให้หายหิว ไม่เป็นตัณหา ถ้าอยากกินอาหารตามเหลาดีๆเป็นตัณหา

ในสังคมปัจจุบันมีปัจจัยส่งเสริมให้คนมีตัณหามากขึ้น กว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และไม่มีข่าวสารทางโลกเข้ามาโน้มนำมากนัก ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอินเตอร์เนท ดังนั้นความทะยานอยากได้สิ่งต่างๆจึงมีไม่มาก แต่ในปัจจุบันไม่ว่าจะอยู่ในมุมไหนของประเทศ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ก็ติดตามไปถึง เรียกว่าอยู่ในโลกของข่าวสารข้อมูล คนอยู่ชนบทดูโทรทัศน์เห็นนางเอกบ้านสวยในละครก็อยากม ี เบื่อบ้านหลังคามุงแฝกหรือมุงสังกะสี เห็นพระเอกมีรถยนต์หรูหราก็อยากได้ ทั้งๆที่เงินจะซื้อจักรยานยนต์ก็ยังไม่มี คนในเมืองก็อยากได้สิ่งที่ตนเองยังไม่มี ดังนั้นความเจริญของโลกเป็นเหตุกระตุ้นให้คนเกิดตัณห ามากขึ้น

ตัณหานี้แต่ละคนมีไม่เท่าเทียมกัน และเกิดขึ้นตามช่วงต่างๆของชีวิต ได้แก่ ตัณหาที่มีมาตั้งแต่เกิดติดมากับปฏิสนธิวิญญาณ รู้จักหิว อยากดื่ม อยากกินสิ่งที่ชอบ เมื่อคนเจริญเติบโตขึ้นได้รู้เห็นกับสิ่งเร้าต่างๆได ้แก่ รูปรสกลิ่นเสียง ทำให้เกิดตัณหามากขึ้น แต่ละคนมีมากน้อยไม่เท่ากัน ถ้าผู้ใดยังคุมตัณหาให้อยู่ในความพอดีก็จะไม่เป็นปัญ หา ไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้าระงับไม่ได้ก็จะทำให้เกิดความผิดต่างๆโดยเฉพาะ อย่างยิ่งการผิดศีลข้อต่างๆ ทำให้เกิดการปฏิบัติในทางมิชอบทั้งกาย วาจา และใจ

ถึงแม้ตัณหาเป็นธรรมชาติฝ่ายอกุศลแต่เมื่อมองอีกมุมห นึ่ง ตัณหาก็มีส่วนดี และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่จะต้องมี จะตัดออกไปไม่ได้ (นอกจากอริยบุคคล) จึงไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป เพราะตัณหาที่อยากทำดีก็มีมาก และเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าของตนเองแล ะสังคม แม้แต่ผู้รักษาศีลทำบุญทำทานภาวนา ก็เพื่อหวังผลในชาติหน้าหรือหวังนิพพาน ซึ่งนับเป็นตัณหาอย่างหนึ่ง ความสำคัญของการดำรงตนของมนุษย์ก็คือการคุมระดับตัณห าให้อยู่ในความพอดี

ตัณหามีตัวเร้าอยู่ 6 ประการ คือความอยากเกี่ยวกับ รูป (รูปตัณหา) รส (รสตัณหา) กลิ่น (คันธตัณหา) เสียง (สัททตัณหา) สัมผัส (โผฏฐัพพตัณหา) และความอยากเสพอารมณ์ (ธัมมตัณหา) จึงเรียกตัณหา 6 และแต่ละอย่างสามารถแยกออกไปอีก 3 อาการ คือ

1. กามตัณหา คือ ความทะยานอยากได้ ของตัณหา 6 ประการ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ เช่น อยากได้ของสวยที่ตนไม่มีสิทธิได้ อยากรับทานอาหารทิพย์ อยากได้กลิ่นหอมของเทวดา อยากฟังเสียงจากสวรรค์ อยากมีรูปงามอย่างนางฟ้า อยากมีบ้านสวย ทำให้ไม่รู้จักพอ เป็นต้น
2. ภวตัณหา คือ ความทะยานอยากเป็น อยากมี หรืออยากให้อยู่ เช่น อยากเป็นนายกรัฐมนตรี อยากเป็นเจ้า อยากเป็นดารา นักร้อง จนถึงอยากนิพพาน ก็นับเป็นตัณหา
3. วิภวตัณหา คือ ความทะยานอยากไม่ให้เป็น ไม่ให้อยู่ หรือให้พ้นไป ของสิ่งที่สมควรจะเป็น เช่น ไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย ไม่อยากให้สิ่งที่มีอยู่หมดสิ้นไป หรือเชื่อว่าตายแล้วสูญไม่เกิดอีก ในความเป็นจริงลักษณะของตัณหาทั้ง 3 ประการนี้ไม่ได้เกิดตามลำพังแต่เกิดต่อเนื่องกัน เช่น กามตัณหา คือ อยากได้ เมื่อได้มาแล้วก็เป็นภวตัณหา คือ อยากให้อยู่ตลอดไป แต่เมื่อเบื่อก็เกิดวิภวตัณหา คืออยากให้พ้นไปจากตน จึงรวมเรียกว่า ตัณหา 3


สรุปว่า ตัณหา 6 คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสและใจ ก็ย่อมมีตัณหา 3 อยู่ด้วย คือ อยากได้ อยากให้อยู่ และอยากให้พ้นไป อยู่ร่วมด้วยทุกข้อ จึงรวมเป็นตัณหา 18 ซึ่งถ้าแบ่งเป็นภายนอกและภายในจะเป็นตัณหา 36 และถ้ายังแบ่งต่อไปโดยนับกาลเวลาว่าเป็นเมื่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคต จึงเป็นตัณหา 108 ดังนี้

ตัณหานี้แต่ละคนมีไม่เท่าเทียมกัน เพราะมี 3 ระดับ คือมีมาตั้งแต่เกิดติดมากับปฏิสนธิวิญญาณ เรียกอนุสัยกิเลส ทำให้คนเรารักตัวเอง จะมากหรือน้อยต่างกันออกไป ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่เมื่อเจริญเติบโตขึ้น กระทบกับสิ่งเร้ารูปรสกลิ่นเสียงใจ ก็เกิดตัณหามากขึ้น ซึ่งถ้ายังคุมให้อยู่ในสภาพอันควรได้ก็คงไม่เป็นปัญห า แต่ถ้าคุมตัณหาไม่อยู่ทำให้เกิดการละเมิดศีลต่างๆ ทำผิดต่างๆทั้งกาย วาจา ใจ ที่เป็นขั้นสุดท้ายเรียก วีติกรรมกิเลส อาจทำบาปด้วยวิธีต่างๆจนถึงการฆ่าให้ตาย

อุปาทาน เป็นตัวกิเลสที่ต่อมาจากตัณหา คือเมื่อคนเรามีความทะยานอยากแล้วก็เกิดอุปาทานคือคว ามหลงเชื่อผิดว่าเป็นของตน ทำให้มีการ ยึดถือ ไม่ยอมปล่อย ไม่ว่าจะเป็นยศ ศักดิ์ สรรเสริญ บริวาร ทรัพย์สมบัติ หรือรูปกายของตน จะมีอุปาทานยึดมั่นว่าเป็นของตนทั้งสิ้น โดยลืมนึกไปว่าอย่าว่าแต่ของนอกกายเหล่านี้เลย แม้แต่ร่างกายของเรายังยึดไม่อยู่ มีป่วย มีแก่ชรา มีตาย สลายไป อุปาทานจึงเป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองอันหนึ่ง ซึ่งอาจแยกสาเหตุได้หลายอย่าง ได้แก่

อัตตวาทุปาทาน เป็นข้อสำคัญที่สุดคือความยึดมั่นว่าเห็นตนเองหรืออั ตตาเป็นตัวเรา สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของตนและยึดไว้ไม่ยอมปล่อย อันจะเป็นเหตุให้เกิดภพชาติต่อๆไป พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ยึดว่าทุกสิ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
กามุปาทาน ความยึดมั่นในรูปเสียงกลิ่นรสและสัมผัสและการบริโภคข องที่มีที่ได้
ทิฏฐปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นของตนว่าเป็นสิ่งถูก ต้องแน่นอน
สิลพัตตุปาทาน ความยึดมั่นกับศิลพรต ซึ่งมีข้อยึดถือข้อปฏิบัติต่างๆกันว่าของตนถูกต้อง ซึ่งเป็นความงมงาย

ซึ่งถ้าดูเหตุการณ์ในปัจจุบันนี้ที่เห็นคนเขาทะเลาะโ ต้เถียงกันอยู่ แบ่งพรรคแบ่งพวก จนถึงฆ่ากันตาย ก็เกิดจากข้อกามุปาทานกับทิฎฐปาทาน ในประเทศที่ต่างศาสนาตีกันฆ่ากันอยู่ก็จากสิลพัตตุปา ทาน ต่างยึดมั่นของตน จนเกิดมีการสู้รบแย่งดินแดนกัน คนแย่งที่ดินกัน แย่งหญิงแย่งชายกัน ก็เป็นอัตตวาทุปาทานนั่นเอง ดังนั้นอุปาทานจึงเป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองอย่างชัด เจนดังนี้ ผู้ใดจะปฏิบัติตัวให้พ้นทุกข์ จึงต้องลดตัณหา อุปาทาน ให้บางลงมากที่สุด แต่ก็คงเป็นความจริงที่ว่าผู้ที่มีตัณหาอุปาทานน้อยม ากคงจะดำรงชีวิตในสังคมมนุษย์ที่แย่งชิงแข่งขันกันทุ กสิ่งได้ยาก เราคงจะต้องเดินสายกลางในการดำรงชีวิต รู้เท่าทันตัวตัณหาอุปาทานก็พอจะแก้ไขให้ได้ดีต่อตัว เรามากที่สุด

อวิชชา คือ ข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุดของ กิเลส แปลตามตัวหมายถึง ความไม่รู้จริงไม่รู้แจ้ง ความโง่ ความไม่รู้ทันเกี่ยวกับเรื่องของชีวิต รวมถึงความไม่ยอมรับรู้ และความรู้ผิดด้วย ซึ่งทางโลกคำว่าวิชามักจะหมายถึงผู้ที่มีการศึกษา แต่ในทางธรรมไม่ได้หมายถึงความรู้ที่ได้จากวิชาที่ได ้จากการศึกษา แต่เป็นวิชาที่เกิดจากการศึกษาทางธรรมของพระพุทธองค์ พระองค์เดียวและปฏิบัติทางจิตจนสามารถรู้ทันกิเลส ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน ทำให้เบาบางลง ผู้ที่มีอวิชชาอาจจะจบปริญญาเอกจากมหาวิยาลัยที่เด่น ดังที่สุดในโลก ได้เหรียญได้รางวัลต่างๆมีชื่อเสียง แต่ถ้าไม่รู้ทันตัณหา อุปาทาน รวมทั้งไม่รู้จักอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้ว ทางธรรมก็ถือเป็นผู้ที่มีอวิชชาทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถรู้ถึงทางที่จะพ้นทุกข์ คือนิพพานได้ เพราะยังติดตัณหาอุปาทานที่จะนำให้เกิดภพเกิดชาติไปไ ม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเพราะความสำคัญเช่นนี้ในปฏิจจสมุปบาทจึงเริ่ม ต้นด้วยคำว่า อวิชชา

กิเลสข้อที่สำคัญที่สุดคือ อวิชชา คือความไม่รู้ ความไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง ในเรื่องของชีวิต ของสังขาร ของบาปบุญ รู้เรื่องของการเกิดดับฯ อวิชชาทำให้เกิดกิเลสตัวอื่น คือ ตัณหา และอุปาทาน และทำนองเดียวกัน การเกิดตัณหาและอุปาทานทำให้เกิดอวิชชา อวิชชาจึงเป็นกิเลสตัวใหญ่ ถ้าแก้ความไม่รู้ได้ ก็จะไม่มีตัณหาและอุปาทาน ก็จะหมด

 ดูเหมือนง่ายแต่ชักจะมึนๆ
บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: