คาถาอาคม เวทมนต์ - คุณไสยมนต์ดำ..ที่มา
http://pso99pso.212cafe.com/archive/2008-05-29/011304/"
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยกลก็ต้องเอาด้วยมนต์คาถา " ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำกล่าวนี้บ้างไหม บางคนอาจจะตอบว่าเคย บางคนอาจจะตอบว่าไม่เคย บางคนนั้นอาจจะตอบว่า จะเคยหรือไม่เคย ในปัจจุบันนี้โลกมนุษย์ได้พัฒนาเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปทุกๆด้านแล้ว โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และก็เทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ยังมีหลงเหลืออยู่อีกเหรอ งมงายไม่มีหรอก..!!
มีแต่พวกหลังเขาเท่านั้นแหละที่พูดและเชื่อกันอย่างนี้ ถ้าหากคนที่อยู่หลังเขาหรือบนเขา เขาพูดบอกกับคุณว่า ที่บนเขามีต้นไผ่และก็มีหน่อไม้ด้วย ถ้าหากคุณไม่รู้ไม่เคยไปก็จะต้องตอบว่า ไม่รู้ ไม่จริงโกหกใช่ไหม? หรือว่าเฉยๆตราบใดถ้าหากจิตใจของมนุษย์ยังมีความรัก มีความโลภ มีความโกรธและมีความหลงอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันที่จะหมดไปจากโลกนี้ได้ มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นๆทุกๆวัน" วิชาไสยศาสตร์ " เรียกว่า วิ เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่พราหมณ์เขาเรียนและศึกษากัน" เรียนคัมภีร์ไตรเพทและเพทางค์ " ชาเหล่านี้ในทางหรือหลักของพระพุทธศาสนานั้นไม่มีเลย แม้แต่พิธีกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่มีและไม่ใช่ หลักทางพระพุทธศาสนา คือ การปฏิบัติบูชา ไม่มีบนบาลศาลกล่าวกราบไหว้อ้อนวอนขอ ..
ออกประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพระสัจธรรมไปทั่วทุกทิศ โดยพระองค์เองและพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์เอง ในระหว่างการออกเผยแผ่พระสัจธรรมนั้น หลังจากที่พราหมณ์เข้ามานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พิธีกรรมต่างๆที่เขาเคยทำเคยมีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้น จะให้เขาหยุดหรือเลิกทำหลังจากเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พราหมณ์เขาก็ไม่ยอมแน่ เช่น เวลาพราหมณ์จะทำพิธีบูชายันต์ จะฆ่าสัตว์ประกอบพิธีบูชา พระองค์ก็ให้เปลี่ยนเป็นเอาไขมันของสัตว์ที่ตายเองแล้วมาเผาแทน ก็พัฒนาจนมาเป็นเทียนไขในปัจจุบัน อีกพิธีหนึ่งเป็นพิธีบำเรอไฟ พราหมณ์ก็จะเอาข้าวของเงินทองที่มีค่ามาเผาเพื่อบูชา พระพุทธองค์ก็บอกว่าต่อแต่นี้ไปถ้าทำพิธีนี้อีก ให้เอาเครื่องเทศของหอมมาเผาแทน เพราะเห็นว่าทรัพย์สินข้าวของเหล่านั้นมีค่าควรที่จะเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า ของหอมสมัยนั้นเรียกว่า สาเหตุที่ต้องมีปนอยู่ในพระพุทธศาสนาก็เพราะว่า ก่อนที่องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าประสูตรนั้น ในอินเดียมีศาสนาและลัทธิต่างเกิดขึ้นมากมาย มีการนับถือลัทธิและศาสนาของตนๆไปตามความเชื่อที่สืบทอดกันมา ในขณะนั้นศาสนาพราหมณ์มีความเจริญรุ่งเรืองและก็มีคนนับถือกันมาก แม้แต่พระราชบิดา พระราชมารดา เหล่าพระญาติของพระองค์ก็เป็นพราหมณ์ นับถือศาสนาพราหมณ์กันหมด พอพระพุทธองค์ประสูตรเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็อยู่ในตระกูลพราหมณ์ หลังจากที่พระพุทธองค์ออกบวชแล้วก็ตรัสรู้บรรลุธรรม เป็นองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น พระธรรมเกิดขึ้น พระสงฆ์เกิดขึ้น กำยาน พัฒนามาเป็นธูปจนถึงปัจจุบันนี้ ...
ปัจจุบันนี้ คำสอนและหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาก็ยังมีอยู่ ถึงแม้จะแยกแทบไม่ออกเลยว่าอะไรคือวิถีปฏิบัติแบบพุทธหรือแบบพราหมณ์ หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกทำลาย ทำให้คัมภีร์วิชาต่างๆ ได้สูญหายกระจัดกระจาย บางทีก็จดจำสืบถอดเล่าสอนกันต่อๆมา ซึ่งในปัจจุบันนี้เรามักจะได้ยินเรียกกันเป็นสายๆเช่น สายเขมร สายมอญ สายแขก สายพม่า สายกะเหรี่ยง เป็นต้น ปัจจุบันนี้แม้แต่ทางทวีปที่เจริญแล้วเช่น ทางยุโรป อเมริกา ก็มีใช้ศาสตร์นี้มากขึ้นแล้ว ส่วนทางทวีปแอฟริกานั้นไม่ต้องพูดถึง มากกว่าและแรงกว่าของเขมรเสียอีก วิชาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีอยู่กับชนพื้นเมืองเป็นส่วนมาก สิ่งที่จะประกอบกันเป็นวิชาไสยศาสตร์ได้นั้น จะมีสิ่งต่างๆที่ประกอบกันคือ .........
๑. ตัวมนต์ ตัวคาถาอาคม
๒. ตัวพลังจิตของหมอผู้ทำ ตัวพลังจิตนี้จะได้มาจากการฝึก จิต ฝึกสมาธิ
๓. ตัวดวงจิตหรือดวงวิญาณของคนที่ตาย ส่วนใหญ่จะใช้ ดวงจิตดวงวิญญาณของคนที่ตายโหงและตายท้องกลม
(ตายมีลูกในท้อง) เพราะเวลาทำพิธีเสร็จของที่ทำจะแรง หรือเฮี้ยนมาก
๔. ตัววัตถุสิ่งของต่างๆ ที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับศาสตร์นี้ โดยเฉพาะตัวดวงจิตดวงวิญญาณ เขาทำกันอย่างไร เมื่อหมอผู้ทำไสยศาสตร์ ได้รู้หรือเห็นการตายของคนไม่ว่าจะตายโหง ตายท้องกลมหรือแบบอื่นที่น่าสนใจของหมอแล้ว จะทำการเรียก ตรึงสะกดวิญญาณนั้นไว้ ด้วยคาถาอาคมและพลังจิต หลังจากนั้นก็เอามาเก็บไว้ที่บ้าน ตำหนักหรือกุฏิของตน เรียกว่า " การเลี้ยงผี " หรือ " เลี้ยงพราย " เวลามีลูกค้าหรือคนที่เขาต้องการให้ทำของ ทำเกี่ยวกับวิชาไสยศาตร์ ก็จะใช้และบังคับให้วิญญาณนี้แหละไปทำงานให้ โดยการใช้มนต์และพลังจิตเพิ่มมากขึ้นเรียกว่า " การเติมของ " แล้ววิญญาณมนุษย์นี้ก็จะกลายร่างเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือที่เราเรียกว่า " ดิรัจฉานวิชา " สัตว์ที่กลายเป็นส่วนใหญ่จะเป็นพวกตระกูลลิงทั้งหลาย สุนัข ( ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ ) แมว พวกนก เป็นต้น พอกลายร่างแล้วจิตแท้จิตเดิมหรือจิตใต้สำนึกของวิญญาณนั้นจะถูกสะกดและควบคุม จะทำตามคำสั่งอย่างเดียว แล้ววิญญาณนี้จะถูกส่งไปแทรกร่างของคนอื่น บ้าน โรงงาน ร้านค้า สำนักงาน ฯลฯ ตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นชีวิต สขภาพ ธุรกิจการงาน ครอบครัวมีปัญหา ฯลฯ
วิชาไสยศาสตร์นี้ เราเจอกันแทบทุกคนและแทบจะทุกวันก็ว่าได้ แต่เป็นพลังที่ไม่รุนแรงเพราะคนที่ให้ทำและเอามาใช้นั้น เขาไม่ได้มีแรงอาฆาตและพยาบาทอะไร เพียงต้องการแค่ให้คน ลูกค้าหรือแขกเข้ามาใช้บริการ มาอุดหนุนหรือกลับมาอีก ที่บริษัท ที่โรงงาน ที่ร้านค้า ที่สถานบริการของตน ฯลฯ จะอยู่ในรูปแบบของ นะเมตตามหานิยม ทำให้คนติดคนหลง ถ้าหากพลังจิตของคนที่เข้าไปใช้บริการอ่อนก็จะถูกควบคุมได้ง่าย รู้สึกตัวเองว่าติดว่าชอบขึ้นมา จะอยู่ในรูปแบบของน้ำมนต์ บางครั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือเจ้าของสถานบริการเขาก็ใช้พรมหรือใส่ลงไปในอาหาร ของกินของใช้นั้นเลย หลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเสีย โดยเฉพาะน้ำที่เราได้ยินกันติดหูว่า " น้ำพุทธมนต์ หรือ น้ำมนต์ " เสน่ห์ยาแฝก ก็เป็นเกี่ยวกับเรื่องความรักความใคร่ เรื่องของชู้สาว เรื่องของหนุ่มๆสาวๆ ที่ความรักไม่สมหวัง ก็ต้องใช้วิธีนี้ บางทีก็จะเป็นของให้กินเข้าไป บางที่ก็เป็นขี้ผึ้งหรือน้ำมันใช้ป้ายหรือทา บางทีก็ใช้พวกภูตพรายเข้าครอบงำจิต อีกอย่างก็คือพวก เครื่องรางของขลัง อยู่ในกลุ่มเมตตามหานิยม สิ่งนี้จะสังเกตุได้ง่ายกว่าที่เป็นน้ำมนต์เพราะ จะมีตัววัตถุสิ่งของต่างๆมาทำเป็นตัวหลักๆ ที่เชื่อว่าเป็นของ มงคลทำให้เรามองเห็น เช่น ไม้ของต้นดอกรัก ไม้ของต้นมะยม ไม้กาฝาก ไม้งิ้วดำ ฯลฯ เอามาทำเป็นหุ่นกุมารทอง กุมารี รักยม นางกวัก ปลัดขิก ( ทำเป็นอวัยวะเพศชาย ) สาริกา เต่าหรือสัตว์ชนิดอื่น น้ำมัน ขี้ผึ้งสีนวด ผ้ายันต์ ตระกุด ฯลฯ แล้วแต่จะคิดแล้วแต่จะทำกันให้แปลกแหวกแนวออกไป แล้วก็ประกาศบอกสรรพคุณกันไปต่างๆนาๆ
ลมพัดลมเพ หรือ ลมเพลมพัดส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากการฝึกฝนเล่าเรียนตำหรับตำราของหมอหรืออาจารย์ไสยเวทมากกว่า ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ พอทำออกไปแล้วก็ไม่ได้เรียกกลับหรือถอนสิ่งที่ตัวเองได้ทำไป พลังหรือสิ่งเหล่านี้ก็จะล่องลอยไปทั่วในอากาศไม่มีทิศทาง ส่วนมากจะเป็นเวลา ตอนกลางคืน ฉะนั้นถ้าหากไม่มีความจำเป็นอย่าออกนอกบ้านในเวลากลางคืน คนที่ถูกลมเพลมพัดมีทั้งอาการหนักและเบาอาการไม่เหมือนกัน อาการหนักก็ต่อเมื่อตัวอาจารย์หรือหมอไสยเวทย์ทำการเติมมนต์หรือเรียกของ คุณจะทรมานมากน้อยอยู่ที่เขาจะทดลองวิชาเขาอย่างไร
แรงอาฆาต แรงพยาบาท แรงรักแรงสวาท แรงอิจฉาริษยา ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสาเหตุไปสู่ความรุนแรงของวิชาไสยศาสตร์ ทำให้เกิดมี การว่าจ้าง กันขึ้น ความรุนแรงนี้ ก็เริ่มจากการตักเตือนก่อน ตามด้วยความรุนแรงขั้นเจ็บป่วยพิการ ครอบครัวแตกแยก การงานและการเงินมีปัญหา สุดท้ายก็ทำกันจนเกิดความเสียหายและเสียชีวิต จะเป็นพวก ยาสั่ง ปั้นหุ่น ฝังเข็ม ฝังตะปู เสกของเข้าตัว วัวกระทิง ฯลฯ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ภูตพรายหรือวิญญาณมากกว่า
คนที่ถูกคุณไสยมนต์ดำนี้ จะมีอาการและความรุนแรงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับหลายเหตุหลายปัจจัย แต่อาการในเบื้องต้นจะรู้สึกเวียนศีรษะ มึนงง ปวดศีรษะ บางรายก็เบื่ออาหาร ร่างกายจะซุบผอม เบ้าตาจะคล้ำรอบดวงตา เวลานอนจะฝันเห็นพวกซากผีน่าเกลียดหรือวิญญาณ ฝันเห็นพวกสัตว์ดิรัจฉานพวกตระกูลลิง หมาหรือหมาดำ สัตว์พวกนกเป็นต้นร่างของคคุณ จิตของคุณจะถูกเบียดออกจากร่าง ทำให้จิตวิญญาณอื่นที่ถูกมนต์สะกดเข้ามาอยู่แทน ทำให้ตัวของเราเพ้อไม่มีสติคุมตัวเองไม่ได้ เจ็บป่วยทุกทรมาน สุดท้ายก็เสียชีวิตหรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย
อันที่จริงแล้วเรื่องเกี่ยวกับวิชาไสยศาตร์มนต์ดำนี้มีมาก ทั้งวิธีการและความรุนแรง ก็แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าอาจารย์คนไหน หมอไสยเวทย์คนไหนใครจะเล่าเรียนหรือได้รับการสืบถอดมาแบบไหนกัน แต่สิ่งเหล่านี้จะแอบแฝงอยู่ในรูปของ พระพุทธคุณ แอบอ้างให้มีความรู้สึกว่าเป็นของดี ของบริสุทธิ์ เราจะดูตรงไหนว่าสิ่งนั้นเป็นของที่ดี ให้ดูที่หมอหรืออาจารย์คนนั้นว่า ศีล เคร่งและบริสุทธิ์แค่ไหน ถ้าเป็นฆราวาสก็ศีล ๕ ถ้าเป็นพราหมณ์และแม่ชีก็ศีล ๘ ถ้าหากเป็นเฌรก็ศีล ๑๐ ส่วนพระก็ศีล ๒๒๗ ( ผู้ทรงศีลจะทำกิจเกี่ยวกับวิชาหรือพิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้เลย แล้วที่กระทำกับอยู่ทุกวันนี้ เป็นพระหรือไม่ ก็พิจารณาเอาเถอะ)
รูปถ่าย วัน-เดือน-ปีเกิด ของใช้ส่วนตัว ไม่มีความจำเป็นอย่าเอาให้ใครเด็ดขาดเพราะ มันจะเป็นตัวนำหรือเป็นสื่อให้กับดิรัจฉานวิชาเหล่านี้เข้าตัวของเรา เวลาได้ยินเสียงใครร้องทักหรือเรียกชื่อของเรา อย่าขานรับถ้าหากไม่เห็นตัว ถึงแม้จะเห็นตัวแล้วก็ให้แน่ใจก่อนเพราะสิ่งนั้นอาจเป็นอมนุษย์แปลงเป็นมาก็ได้ ถึงแม้อะไรมากระทบบ้าน ฝาบ้าน หลังคาบ้านก็อย่าทักเด็ดขาด..!! ถ้าเป็นของวิชาที่เขาส่งมามันจะเข้าตัวเราทันที
กระทำวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำต่อกันและเห็นผู้ที่ถูกกระทำมามากพอสมควร เราถือศีลปฏิบัติธรรมมุ่งสู่ความพ้นทุกข์และหลุดพ้น ก็ถือว่าอยู่ในสายขาว จึงทำการแก้ ป้องกันและรักษา ให้กับผู้ที่มีเคราะห์กรรมเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ การทำลายล้าง การฆ่าด้วยวิชาไสยศาศตร์ ไม่มีหลักฐานทางโลกทิ้งไว้ให้ดำเนินคดีได้ ฉะนั้นจึงไม่มีวันที่จะหมดไปจากโลกนี้ มันมีมากและพัฒนาแฝงตัวไปพร้อมๆกับความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเหมือนเงาตามตัว ตราบใดที่จิตใจของคนไม่มีศีลและขาดหลักธรรม อาฆาตพยาบาทก็ทำของมนต์ดำใส่กัน อิจฉาริษยาก็ทำของมนต์ดำใส่กัน เกลียดกันก็ทำของมนต์ดำใส่กัน รักกันก็ทำของมนต์ดำใส่กัน แล้วตัวคุณล่ะเอามาป้องกัน .........การปฏิบัติสายสัญญา จึงเป็นวิชาที่สามารถป้องกันตนเองจากสิ่งเหล่านี้ได้..
ตลอดเวลาที่ผ่านมาการช่วยเหลือผู้คน "โปรดญาติทุกวันๆ" สิ่งเหล่านี้เรื่องเหล่านี้ก็เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง ที่พวกเราๆท่านๆเรียกว่า ทางที่ดีแล้วเราควรออกให้ห่างเอาไว้ดีที่สุด..!! ที่ได้ปฏิบัติธรรมสายสัญญาบารมี ได้พบได้เจออะไรมามากต่อมาก ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกประเพศ ทั้งผี ทั้งเทพ ทั้งมาร ทั้งเดรัชฉานวิชา เจ้ากรรมนายเวรต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย ทนทุกข์ทรมานประเภท หมอปัจจุบันรักษา วิเคราะห์ไม่ได้ หาสาเหตุไม่เจอ รักษาหาย ปราบไปก็มากมายจนนับไม่ถ้วน บางรายก็ไปทำเค้ามา ฝ่ายวิญญาณ เจ้ากรรม หรือผีนั้นเป็นฝ่ายถูก คนเป็นฝ่ายผิดก็เยอะ ก็ต้องอบรมให้รู้จักธรรมะ ในเรื่องของบาปบุญ กุศล และกฏแห่งกรรม บ้างก็ให้ถือบวชโดยการปฏิบัติดับล้างด้วยตนเอง ..โดยการถ่ายทอดวิชาการปฏิบัติ "สายสัญญาบารมี"