ขอตอบข้อ 1. หลังจากที่เราแว๊คเรียบร้อยแล้ว ก็ปิดวาล์วเกจ และย้ายสายกลาง(ที่ไปต่อเครื่องแว๊ค)
มาต่อที่ถังน้ำยา เปิดวาล์วถังน้ำยา และไล่อากาศที่สายด้านเกจ จากนั้นเปิดวาล์วเกจ
ให้สารทำความเย็นเข้าคอมฯเบาๆ เราก็จะเห็นเข็มของเกจเริ่มขึ้นจาก 0 จนมีแรงดันเหนือ 0
ให้อยู่ประมาณ 5 ถึง 6 psi จากนั้นเราก็เสียบปลั๊กไฟตู้(ใช้คลิ๊ปแอมป์จับกระแสด้วย)
เมื่อคอมฯเริ่มทำงาน เข็มเกจก็จะตกลง เพราะคอมฯดูดสารทำความเย็นเข้าคอมฯ เราก็เปิด
วาล์วเกจเพิ่มขึ้นเลี้ยงไว้อย่าให้คอมฯดูดจนเข็มเกจต่ำกว่า 0 คอยปิด-เปิดวาล์วจนกว่าเข็มเกจ
นิ่ง และชี้อยู่ที่ 8 psi แล้วดูเข็มของคลิ๊ปแอมป์ด้วยให้กระแสใกล้เคียงกับเนมเพ็ลท แต่ถ้าปิดวาล์ว
เกจแล้ว เข็มก็ยังถูกดูดจะต่ำกว่า 0 นั่นเป็นอาการของสารทำความเย็นวนกลับมาไม่ทัน หรือที่เขา
เรียกกันว่า
ตันระบบที่จริงแล้วตู้เย็นลูกนึง จะใช้สารทำความเย็นไม่มาก
เติมเดี๋ยวเดียวเข็มเกจก็จะเริ่มนิ่งแล้ว ก็ให้รักษาระดับไว้ที่ประมาณ 8 psi + - นิดหน่อยได้
จากนั้นก็ปิดวาล์วที่ถัง และวาล์วเกจ ปล่อยให้เครื่องเดินไปอาจจะ กี่วันก็ได้ถ้าเราอยากจะดูว่า
มันจะเกิดอะไรขึ้น ลองสังเกตุดู เมื่อให้เครื่องเดินหลายๆวัน เข็มเกจจะต่ำกว่า 0 นิดหน่อยนะ
ไม่ต้องตกใจ นั่นคือเป็นการบอกตามอุณหภูมิของสารทำความเย็น
ตอบข้อ 2. คีมบีบท่อจะเป็นคีมเฉพาะบีบท่อ ไม่ใช่ใช้คีมล๊อคมาปิดระบบ แต่ใช้งานหรือปรับตั้งแบบเดียวกับคีมล๊อค
ถ้าคีมดีๆจะบีบแน่น ต่อให้มีแรงดัน 70-80 psi ก็ยังปิดอยู่ ถ้าตั้งให้แน่นมากๆ ท่อตรงที่บีบจะขาด
ลองทำดูครับ สงสัยตรงไหนก็ถามมาได้ครับ
และต่อข้อถามของท่าน don ผมไม่ทราบเหมือนกันนะครับ แต่พวกสารเคมีต่างๆ มันต้องมีพิษภัยของมัน
เป็นธรรมดา แต่ผมจะระวังเวลาทำงาน จะทำที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดี แถมอีกหน่อย เวลาที่ปล่อยสารทำคาวมเย็น
อย่าเพิ่งใช้ไฟเป่านะครับ เพราะไฟเผาสารทำความเย็นมันจะกลายเป็นกรด และกรดที่ว่านั้นคือกรดกัดแก้ว อาการที่ว่านั้น
ถ้าเราได้กลิ่นฉุนๆเข้าจมูก นั่นแหละคือกรด และเมื่อสูดเข้าจมูกบ่อยๆจะทำลายประสาทที่โพรงจมูก ต่อไปก็จะไม่ได้กลิ่น
อะไรอีกเลย