สิ่งที่เกิดรอบตัวเรา
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สิ่งที่เกิดรอบตัวเรา  (อ่าน 14742 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 12, 2008, 07:38:06 pm »

۞:มหัศจรรย์..หรือ..ปาฏิหารย์:۞


Human Development
อนุวรรตน์ ศิลาเรืองอำไพ
ผู้อำนวยการ
สายงานการศึกษาฝึกอบรม และ วินิจฉัยให้คำปรึกษา
www.tpif.or.th
eMail : anuwat@tpa.or.th

----

คำว่า “มหัศจรรย์ กับ ปาฎิหารย์” ท่านชอบคำไหน ครับ 
ผมชอบถามคำถามนี้กับน้องที่มาสัมภาษณ์งาน เพื่อจะทดสอบแนวคิดพื้นฐานว่าเป็นคนอย่างไร และจะถาม
เหตุผล ว่าทำไมเลือกคำนั้น แต่จะต้องถามแล้วให้ตอบทันทีนะครับ โดยส่วนใหญ่น้อง ๆ จะเลือก “ปาฎิหารย์” 
เพราะจะตรงกับค่านิยมของคนไทย คนไทยส่วนใหญ่จะคาดหวังให้เกิดปาฏิหารย์เกิดขึ้นกับชีวิต เช่น การถูก
ล๊อตตารี่ การแคล้วคลาดจากภัยอันตราย การที่จู่ ๆ ก็หายป่วยโดยไม่มีเหตุผล การประสบความเสำร็จค้าขายดีมี
กำไร จากการที่ได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฮวงจุ้ยดี เครื่องลาง ของขลัง เป็นต้น
 
หลวงพ่อพระธรรมะปิฎกกล่าวไว้ว่า “อะไรก็ตามที่ไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุ ด้วยผลได้ เราเรียกว่า ปาฎิหารย์”
 
 
ปาฎิหารย์ จึงมาคู่กับ ความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล หรือ อีกนัยหนึ่งคือ “งมงาย” และตามมาด้วยลัทธิ
“รอเทพดลบันดาล” ดังนั้น การยึดมั่น ถือมั่นโดยขาดเหตุผลทำให้เกิด อุปทาน เมื่อเชื่อมั่นโดยขาดเหตุผล ก็จะ
กลายเป็นคำว่า “เหลือเชื่อ” ในที่สุด 
 
สิ่งที่เป็นค่านิยมได้ปลูกรากฐานความคิดของคนในสังคม พร้อมที่จะ “พึ่งพาสิ่งรอบข้างได้ทุกอย่าง” ยกเว้น 
“การพึ่งพาตนเอง” ตั้งแต่ การพึ่งรัฐบาล พึ่งฟ้าฝน พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พึ่งเจ้าป่าเจ้าเขา พึ่งนักการเมือง พึ่งพระ 
พึ่งเจ้า บางคนอายุเกือบจะกลางคนแล้ว ยังต้องพึ่งพาพ่อแม่อยู่อีกมีลูกคนเดียวเลี้ยงไม่ได้ต้องเป็นภาระของพ่อแม่ 
แต่กลับกันสมัยก่อนพ่อแม่มีลูกเป็นสิบยังเลี้ยงได้ดีทุกคน อัตราการพึ่งพาตนเองต่ำ ปัญหาที่กล่าวมานั้น ทั้งหมด
นี้เป็นการพึ่งพาจากภายนอก จึงมีความไม่แน่นอนสูง เมื่อมีความไม่แน่นอนสูง การเอาความหวังไปฝากกับปัจจัย
ภายนอกย่อมมีโอกาส ผิดหวังได้สูง เพราะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราหวัง เนื่องจาก เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ 
 
ธรรมชาติของโลก คือ “การเปลี่ยนแปลง” โลกของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์มีพื้นฐาน 
“ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง” เพราะการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความไม่มั่นคง ความไม่มั่นคงเป็นสิ่งมนุษย์ “กลัว” 
ดังนั้น ขั้นตอนแรกของการบริหารการเปลี่ยนแปลง คือ การกำจัดความกลัว ความกลัวมาจากความไม่รู้ ไม่รู้จึงทำ
ให้กลัว ดังนั้นสิ่งที่จะกำจัดความไม่รู้ คือ การส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจ และ การให้การศึกษา เมื่อเราเห็นตัวอย่าง 
ที่ประสบความสำเร็จ ข้อดีของการเปลี่ยนแปลง และ ให้การศึกษาว่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงต้องทำอย่างไร เมื่อศึกษา
จะทำให้เรา “รู้” ปัญญาก็จะเกิด เมื่อรู้ว่าต้องทำอย่างไร ผลเป็นอย่างไร และเรารู้ว่าสามารถควบคุมความไม่
แน่นอนแล้ว ความกลัวก็จะหายไป
 
 
เหลือแต่ความ “ขี้เกียจ” เพราะบางคนรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ก็ไม่ทำ รู้ว่าสิ่งนี้ดีแต่ก็ไม่ทำ เพราะ “ขี้เกียจ” 
หรือยังเคยชินกับการทำงานแบบเดิม ๆ ชีวิตเดิม ๆ เช่น ทุกวันเคยเดินทางเส้นทางไหนก็จะเป็นเส้นทางนั้นไม่เคย
เปลี่ยนแปลง บางครั้งในวันหยุดก็เผลอขับเส้นทางเดิมเพื่อไปที่ทำงานโดยไม่รู้ตัว การเดินเข้าสำนักงานก็ใช้เส้น
ทางเดิม พฤติกรรมเดิม ขึ้นลิฟท์ เข้าห้องครัว ทานกาแฟ นั่งโต๊ะ เป็นต้น หรือ พูดอีกนัยเป็นงานประจำ สมองก็จะ
เริ่มชิน และในที่สุดก็จะไม่ทำงาน มีคนบอกว่าถ้ามีการซื้อขายสมอง สมองคนไทยจะราคาแพงที่สุด ไม่ใช่เพราะ
คนไทยฉลาดหรอกนะ แต่เป็นเพราะเนื่องจากเป็นสมองมือหนึ่งไม่เคยผ่านการใช้งานเลย จนพอถึงจุดหนึ่งก็จะเป็น
สาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ ความจำเสื่อมได้ (เหตุผลจริงทางการแพทย์) 
 
ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องต้องพยายามทำก็คือ การฝืนจิต หรือ บังคับจิต ให้ชนะความขี้เกียจ อันนี้ต้องฝึกฝนเป็น
 
ทักษะ ที่จะต้องสร้างแรงผลักดันจากภายใน และเป็นวิธีการที่สามารถทำได้ยั่งยืนและดีกว่า การสร้างแรง
กดดันจากภายนอก เช่น การลงโทษ การดุด่าว่ากล่าวโดยคนนอก เป็นเรื่องที่ไม่ยั่งยืน เพราะเลิกบังคับก็เลิกทำ
 
ถ้าเอาชนะความขี้เกียจไม่ได้ ก็ต้องหักมุม ใช้ความขี้เกียจให้เป็นประโยชน์ ว่าเพราะตนเองขี้เกียจต้องการ 
ทำงานสบายขึ้น ดังนั้น เราต้องใช้ความคิด หาวิธีการทำงานที่สบายขึ้น เอาความขี้เกียจมาเป็นแรงผลักดันให้เกิด
การปรับปรุงงาน หาวิธีการทำงานใหม่ ๆ ทำงานน้อยลงแต่ผลงานดีขึ้น แต่ระวังอย่าให้เกิดความขี้เกียจแล้วไม่ลง
แรงคือ “ต้องขี้เกียจเป็น แต่อย่าขี้เกียจจริง” ถ้าขี้เกียจจริง สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การเชื่อโชคลางแทน การรอ 
ปาฏิหารย์ การเชื่อฮวงจุ้ย โดยขาดหลักวิทยาศาสตร์ บางบริษัทโยกย้ายสำนักงานให้วุ่นไปหมด อาจารย์คนโน้น
ว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้ ต้องมีสิ่งนั้น สิ่งนี้มาแขวน เพื่อ ดูดคนเข้าร้าน หรือ เพื่อต้านสิ่งชั่วร้าย พอเชิญอาจารย์อีก 
ท่านหนึ่งมาก็บอกว่าไม่ได้ จะเป็นกาลกินี ทำไปทำมา งานการไม่ได้ทำ มัวแต่รื้อสำนักงาน ที่สุดแล้วก็ไม่ได้ช่วย
 
อะไรดีขึ้น ที่แน่ ๆ คือ เสียเงินไปกับเรื่องดังกล่าวมากมาย 
 
การบริหารที่ดี ญี่ปุ่นบอกว่า ถ้าจะประสบความสำเร็จ ต้อง บริหารด้วยข้อมูลจริง (Management by Fact) 
ซึ่งต้องใช้หลัก 5G หรือ 5จริง สถานที่จริง ของจริง ปรากฎการณ์จริง ทฤษฎีจริง กฎระเบียบจริง แต่สำหรับ
คนไทยแล้วต้องเป็น 6 จริง จ. ตัวสุดท้ายคือ “จตุคาม” โดยเฉพาะรุ่นบางรุ่นบ่งบอกถึงปาฎิหารย์สุด ๆ เช่น รวย 
ไม่รู้เรื่อง รวยไม่มีเหตุผล เป็นต้น และก็หามาใส่กันโดยมีจิตคิดจะไม่ทำอะไร รอความรวยวิ่งมาชนรอเทพดลบันดาล 
สนใจแต่ผลลัพธ์โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ ถ้าอย่างนี้ องค์จตุคามรามเทพคงไม่ช่วยคนที่คิดแบบนี้หรอก เคยจน
อย่างไรก็จนอย่างนั้น เพราะ การจนความคิด ย่อมจะจนถาวร เนื่องจาก ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้าจิตใจ 
ความคิด คิดอย่างไร พฤติกรรมก็จะเป็นอย่างนั้น และคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ทำอะไรแล้วรวยแบบนอนมาง่ายๆ
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน
 
 
สิ่งที่ตรงข้ามกับปาฎิหารย์ คือ ความเชื่อในการสร้างสิ่งที่มนุษย์ไม่คิดว่าจะทำได้ เรียกว่า “มหัศจรรย์” เช่น 
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก อย่างกำแพงเมืองจีน ปิรามิด ใครเห็นก็จะอุทานว่า มนุษย์เราสร้างสิ่งเหล่านี้หรือ ? เป็นไป 
ได้อย่างไร? 
 
 
การสร้างสิ่งมหัศจรรย์ ต้องอยู่บนพื้นฐานของ หลักเหตุผล ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ย่อมเกิดมาจากเหตุที่ต้องใช้
ความพยายาม อดทน ขยัน มีคุณธรรมเป็นรากฐาน และฉลาด ใช้ “ปัญญา” ในการทำ เป็นพื้นฐาน
 
หลักของเหตุและผล เป็นหลักสำคัญของศาสนาพุทธ ความเชื่อทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว ผลย่อมเกิด
จากเหตุ เหตุดี ทำให้เกิดผลที่ดี วันนี้ไม่ดี เพราะเหตุจากวันวานไม่ดี ถ้าต้องการให้อนาคตดี ต้องทำเหตุวันนี้
ให้ดี จึงเป็นที่มาของคำว่า “กฎแห่งกรรม” นั่นเอง ทำดี “ดี” ทำชั่ว “ชั่ว” ไม่ใช่ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” การคิด
ว่า “ได้” ก็จะเริ่มด้วยพื้นฐานของคำว่า “โลภ” สิ่งที่ต้องเชื่อมั่นศรัทธาด้วยปัญญา คือ การทำดี คือ ดี การทำชั่ว 
คือ ชั่ว ดังนั้น หลักการรอปฏิหารย์ จึงไม่ใช่หลักของศาสนาพุทธ เพราะไม่ได้อาศัยหลักของเหตุและผล เป็นหลัก
ของ “การปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม” ไม่ใช่ “กฎแห่งกรรม” 
 
สิ่งที่เป็นเรื่องน่ากลัวในสังคมไทย คือ หลักคิดที่บิดเบือน บิดเบือนด้วยความตั้งใจ เพื่อหาข้อแก้ตัว หรือ เกิด
จาก “อวิชชา” ความไม่รู้ เมื่อบิดเบือนแล้วให้เหตุผลที่คนหมู่มากยอมรับ ก็จะกลายเป็น ค่านิยม หรือ วัฒนธรรม 
ไปในที่สุด โดยเฉพาะ สื่อ ที่ออกมาจะจูงให้คนไทยตั้งความหวัง รอปาฎิหารย์มากกว่ามหัศจรรย์ โดยให้เหตุผลที่ว่า
ตลาดต้องการอย่างนั้น แต่เมื่อเทียบกับหนังเกาหลี แต่ละเรื่องคนไทยติดกันงอมแงม สร้างด้วยพื้นฐานการยกย่อง
อาชีพ วัฒนธรรม จนทำให้คนทั้งโลกอยากไปเที่ยวประเทศเกาหลี อยากเป็นพ่อครัว แต่สำหรับหนังไทยจะเน้นการ
ทำลายอาชีพ เช่น สงครามของแอร์โฮสเตส นางเอกพระเอกรวยไม่มีเหตุผล ได้มรดก แฟนรวย ถูกล๊อตตารี่ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมเป็นค่านิยม เป็นเรื่องของไก่กับไข่ อย่างเรื่องแนวคิดของกิ๊ก ที่วัยรุ่นมองว่าเป็นเรื่อง
ธรรมดา โดยมีคำจำกัดความที่อ่านแล้วก็มีความรู้สึกว่า คิดได้อย่างไร
 
กิ๊กไม่ใช่ชู้ แต่ถ้าแฟนรู้ต้องเลิก
 
กิ๊กคือความสัมพันธ์ แต่ไม่ผูกพันธ์ กิ๊กคือ Infinity ไม่รู้จบ
 
แต่สื่อน่าจะส่งเสริมให้มีข้อความ หลักคิดดี ๆ ที่จะให้เยาวชนไทย คนไทย ได้ฉุกคิด และหล่อหลวมค่านิยม
ที่ดี ถูกต้อง อันจะทำให้สังคมไทยน่าอยู่ เช่น
จงทำแต่ดี อย่าดีแต่ทำ 
จงพูดแต่ดี อย่าดีแต่พูด 
จงคิดแต่ดี อย่าดีแต่คิด 

-----------
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ:★ ธรรมโมโลยี (อนุวรรตน์ ศิลาเรืองอำไพ)

http://www.tpif.or.th/KN/Thommo_amaz.php





บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2008, 07:40:14 pm »

ร่างทรง

--------------------------------------------------------------------------------

บางคนอาจจะเคยได้พบกับ “ร่างทรง” ซึ่งอ้างตัวว่า เป็นเทวดาองค์นั้นองค์นี้ มีหลายแห่งหลายรูปแบบครับ ร่างทรงก็เป็นการที่โอปปาติกะสื่อสารกับคน โดยเข้ามาควบคุมร่างกายของคนที่เป็นร่างทรง คล้ายกับเข้ามาสิงร่างแทนจิตของเจ้าของร่างประมาณนั้น

ว่ากันว่าส่วนใหญ่เป็นของปลอมครับ ส่วนใหญ่ร่างทรงที่อ้างตัวว่า เป็นผู้นั้นผู้นี้มาประทับทรง มักจะไม่ใช่ของจริงครับ ที่เป็นเทวดาจริงๆ มีน้อย ว่ากันว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นเปรตหรืออสุรกายหรือสัมภเวสี ที่ต้องการลาภสักการะ หรือต้องการสิ่งต่างๆ มาอ้างตัวเป็นเทพองค์นั้นองค์นี้ และมักจะชำนาญเสียด้วย

ต่อให้เป็นเทวดาจริงๆ หรือเป็นพรหมจริงๆ เราก็ไม่รู้อีกว่า ที่บอกว่ามีชื่อนั้นๆ เป็นองค์เดียวกับองค์นั้นจริงหรือเปล่า เช่น บอกว่าเป็นปู่ฤๅษีตาไฟ ในความเป็นจริงก็อาจมีปู่ฤๅษีตาไฟเป็นร้อยๆ พันๆ องค์ หรือมากกว่านั้น ไม่รู้ว่าองค์ใดใช้ชื่อนี้เป็นคนแรก อย่าคิดว่าเป็นองค์เดียวกัน

และต่อให้เป็นร่างทรงที่เทวดาองค์นั้นประทับทรงบ่อยๆ แต่ก็อาจจะถูกผู้อื่น หรือถูกอสุรกายชั้นต่ำเข้าแทรกได้ โดยที่เทวดาเจ้าของนามนั้นจริงๆ ก็ไม่เข้ามาแก้ไข เพราะถือว่า ใครเข้ามาก่อนมีสิทธิ์ก่อน แต่ก็อาจมีการส่งองค์แทนมาแทนตัวจริง

ผู้ที่ประทับทรง อาจจะหยั่งรู้เกี่ยวกับตัวเรา และ พูดข้อมูลหรือทำนายเกี่ยวกับตัวเราได้ถูกต้องมากๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อไม่ได้ เพราะแม้แต่อสุรกายและเปรตซึ่งมีความเป็นทิพย์ ก็ยังสามารถรู้ข้อมูลเหล่านั้นได้ แต่ถ้าพวกนี้ไม่ละเอียดก็จะบอกผิด

บางทีในโลกความเป็นทิพย์ พวกนี้มีการบอกต่อกัน ทำให้หลายที่พูดตรงกัน เหมือนว่าจะรู้ข้อมูลส่วนตัวของเรา ทั้งที่ความจริงข้อมูลที่ได้มาอาจจะผิด หรือถูกเพียงบางส่วนก็ได้

เคยมีคนถูกทักว่าเป็นญาณของ “ร.๕” ซึ่งความจริงไม่ได้เป็น แต่ผีในร่างทรงนั้นเข้าใจผิด เพียงเพราะเห็นอะไรแล้วก็ทึกทักเอาเอง



คัดลอกจาก
เกร็ดความรู้รอบตัว ฉบับ พีรกิตติ์ คมสัน เล่ม ๑
http://peerakitk.myokhost.com/pk-01.pdf
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2008, 07:41:35 pm »

ความจริงของจิต และ หลักของใจ

--------------------------------------------------------------------------------

จิต นี้มีความอัศจรรย์ และแปลกประหลาดมากจะให้มันวิ่งไปทางใด ก็ได้
จะเสกสรรค์ปั้นแต่งอย่างไรก็ได้ ซึ่งจิตนี้มีเครื่องมืออยู่ 5 ประการอันได้แก่ ขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ

ทีนี้ ก็มีหลักเกณฑ์อยู่ว่า หากผู้ใดรู้จักและแยก ความรู้สึกต่างๆ ออกเป็นกองแห่งขันธ์ 5 อย่างนี้ได้ ก็เท่าักับว่า เรานั้นเริ่มจะใช้จิตได้อย่างถูกต้อง ก็เปรียบกับว่ามีของอยู่ แยกออกเป็นส่วน จะหยิบใช้อย่างไรก็สะดวกมือ แต่ถ้าเอาไว้รวมๆ กันก็จะหาไม่เจอหยิบใช้ไม่ได้ดังใจ

ปัญหาของโลก ปัญหาของคน ก็คือ การไม่รู้จักเลือกที่จะหยิบใช้ จิตตนเองให้เป็นประโยชน์ บ้างก็ใช้จิตตนไม่เป็น จนกลายไปเป็นการหลอกตัวเองว่า มีจิตอื่นเข้า จิตอื่นแฝง ว่าเป็นองค์ลงบ้าง อะไรต่างๆ นาๆ เพราะเอาสังขาร เอาเครื่องมือของตนนั้นแหละ ปิดตาตนเอง พูดง่ายๆ ก็คือ คนมีมีดแต่ใช้มีดไม่เป็นมันก็บาดมือ

คนมีองค์หรือ จิตดวงอื่นจะเข้ามาแทนที่จิตดวงนี้เป็นไปไม่ได้เลย เว้นแต่จะเป็นเนื้อเดียวกัน คือ บริสุทธิ์ก็จะเป็นจิตเดียวกันได้สนิท แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลสทั้งคู่ ก็จะทำได้แค่ล่อลวง ให้จิตดวงนั้นเห็นผิดทางและเชื่อตนจนถูกครอบงำด้วยอาการหลับไหล เช่นเดียวกับการสะกดจิตนั้นแหละ องค์จะลง เทพจะเข้า ล้วนแล้วแต่ ล่อลวง ให้ขาดสติ จนเข้ามาครอบงำได้
ถ้าเป็นคนสติกล้าแล้ว อย่างไรเสียก็จะลงไม่ได้ เพราะจิตเดิมแจ้งอยู่ทนโท่อยู่จะให้มันหลับได้อย่างไร แม้กระทั่งหลับก็เข้าไม่ได้ เพราะว่าจิตที่หลับนั้นก็ไม่ถูกล่อลวง เพราะพักจิตพักใจอยู่

ก็เทพ หรือองค์ นี้มักจะเข้ามาล่อ เมื่อเราขาดสติ จึงต้องมีพิธีการ ทำให้จิตล่อลอยก่อนองค์จะลง เช่น สั่น หรือ ทำกึ่งหลับกึ่งตื่น นี่พอขาดสติปั๊บ ก็ว่าองค์ลง
ทีแท้ โดนล่อลวง โดนชักจูง ด้วยอำนาจแห่งอวิชชา

ปัญหาคือ คนยุคนี้อ่อนแอมาก อ่อนแอทางด้านจิตใจ เมื่อเจอมากระทบนิดหน่อยก็กลัว อีกทั้ง คนยุคนี้หลอกตัวเอง คือ มักหลอกตัวเองว่าเราไม่เป็นอะไร
คนยุคนี้มักจะถือดี คือ ไม่ถ่อมตัว แต่ดันยอมโง่ให้เจ้าให้หมอดู แต่ไม่ยอมโง่ให้พระ พอพระท่านอบรมก็ถือดีว่าเราไม่ได้เป็นอะไร
คนยุคนี้ ไม่ศรัทธาเลย คำว่าศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ ไม่ใช่แค่ปากพูด แต่ จะต้องเอามาฝึก เอามารู้สึกว่า ไม่ว่าภัยใดๆ จะเกิดแก่ตน เราจะต้องยึด พระรัตนไตรนี้ ว่าแก้ได้แน่นอน เมื่อศรัทธาแล้วเราก็จะวิ่งเข้าหา พระรัตนไตร ไม่ใช่ ไปวิ่งเข้าหา เจ้า หาองค์ หาหมอดู

ผมเห็นแล้วอนาจใจ ว่า ศรัทธาคนเดี๋ยวนี้ ที่ว่า ศรัทธาพระพุทธศาสนานั้น มัน ศรัทธาแต่ปาก เมื่อมีปัญหาอะไรขึ้นมา มีอยู่ไม่กี่เปอร์เซนต์ที่ ยึด พระรัตนไตรนี้ นอกนั้น แตกออกไปหาเจ้า หาองค์ หาหมอดู หาเครื่องราง หาอิฐ หาหินแขวนกันให้ควัก แตกออกไปในทางสีลพตรปรามาสกันหมด

ศรัทธานี้จะเป็นกำลัง พยายามต่อสู้กับภัยที่เข้ามาด้วย ขันติ คือบรมธรรม คืออดทน และ ศรัทธา ในพระรัตนไตร แล้ววิ่งเข้าหา พระรัตนไตร ด้วยการ ระลึกว่า พระพุทธองค์ ทรงมีบารมีช่วยเราได้แน่ พระธรรม นี้ช่วยเราได้ด้วยการศึกษาหาเหตุ หาผล และ พระสงฆ์ นี้จะเป็นผู้แนะนำเราได้แน่นอน อย่าไปเชื่อคนอื่น เพราะคนอื่นมันยังเอาตัวไม่รอด ทั้งเจ้า ทั้งองค์นั้นแหละ ผมการันตีว่า มันนั่งอมทุกข์ทุกวัน ไอ้ที่ภายนอกทำดูสงบเสงี่ยม ทำเป็นปีติสุข เป็นผู้มีบุญนั้นแหละตัวดี นั่งอมทุกข์เป็นทาสให้ใจตัวเอง ทุกวัน แล้วหากท่านใดยังไปเชื่อถือ ยึดเป็นสรณะ แล้วก็เท่ากับ เอาเตี้ยอุ้มค่อม หรือ ตาบอดนำทาง
บันทึกการเข้า
b.chaiyasith
แก้ปัญหาไม่ตกคุยกันเวลางานline:chiabmillion
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน650
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3008


ไม้ดีไม่ลอยน้ำมาไกล


อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2008, 08:26:05 pm »

ถูกทุกอย่างครับ  Cheesy
ไม่ต้องไปอธิบายอะไรให้มากรื่อง คนดีๆไม่มีผีเข้าได้ พอโดนเงินฟาดหัวก็กลายร่างเป็นร่างทรงได้หมดเต็มบ้านเต็มเมือง
แถมโกอินเตอร์เสียด้วย เรียกว่า นอมินี อันนี้ก็เป็นร่างทรงระดับประเทศ มันเป็นกันทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะ"อยาก"ตัวเดียว
เป็นตัวเดียวที่พระองค์กำจัดได้และผลแห่งการกำจัด"อยาก"คือนิพพานนี่เอง อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ต้องปฎิบัติจึงเจอ
บันทึกการเข้า

"CHIAB"
มนุษย์เราแต่ละคน  ต่างไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไม่มีใครรู้จักกันมาก่อนเลย  แล้ววันหนึ่งก็มาพบหน้ากัน  สมมุติเป็นพ่อ  เป็นแม่  เป็นเมีย  เป็นสามี  เป็นลูก  อยู่ร่วมกัน  ใช้ชีวิตร่วมกัน และแล้ววันหนึ่ง  ก็แยกย้ายด้วยการ  "ตายจาก"  กันไปสู่  ณ  ที่ซึ่งไม่มีใครได้ตามพบ  คืนสู่ความเป็นผู้ไม่รู้ว่ามาจากไหน  ไปไหน  และคืนสู่ความเป็น  "คนแปลกหน้า"  ซึ่งกันและกันอนันกาลอีกครั้งหนึ่ง...และอีกครั้งหนึ่ง!?
ขอขอบคุณ คุณเปลว สีเงิน ที่ให้ข้อคิดดีๆ
drdr61♥
ซุปเปอร์ วีไอพี
member
*

คะแนน292
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2663


ดูสิ่งที่มากระทบใจ อย่าเอาจิตไปปรุงแต่ง


อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2008, 09:21:42 pm »

ผมเป็นคนหนึ่งที่ ชอบคำว่า"ปาฏิหารย์" เพราะมันทำให้ชีวิต ที่หมดหวังยังคงมีหวังขึ้นมาได้
ส่วน "มหัศจรรย์" ผมกลับมองว่า เป็นเรื่อง ธรรมดา ธรรมชาติ เพราะปกติแล้ว คนเราก็คิดได้ไกล กว่าความมหัศจรรย์ ของโลกนี้ อยู่แล้ว
คนเรา คิดไปไกลแสนไกล คิดนั่นคิดนี่ ไม่มีที่จบสิ้น คิดแล้วก็รอให้ปาฏิหารย์มันเกิด ครับ
ทำใจให้นิ่ง ปลดปล่อย ความคิด ทิ้งความ อิจฉา พยาบาท ปล่อยใจว่างเปล่า หยุด คิด สัก เก้า เก้า วิ นา ที 
ปาฏิหารย์ จะเกิดครับ ความสุขที่แสวงหามาทั้งชีวิต จะเดินทางมาถึงท่าน ....ทำให้ได้นะครับ สาธุ
บันทึกการเข้า

คนเราต่างที่มา ต่างที่ไป ย่อมคิดและทำอะไรที่ต่างกัน ยอมรับและเข้าใจ  จะสงบสุข
ขายอุปกรณ์ไวเลส และสายอาศไวเลส wifi
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2008, 08:11:56 am »

  ผมก็เป็นคนที่ชอบ คำว่า "ปาฏิหารย์"  เหมือนกันครับ 
บันทึกการเข้า
sirirrin
สนับสนุนLSV-server
member
***

คะแนน180
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 301



« ตอบ #6 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2008, 01:45:09 pm »

ชอบคำว่า มหัศจรรย์  ค่ะ

โดยเฉพาะ  มหัศจรรย์แห่งรัก   

 WAWW!! WAWW!!

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2008, 04:37:14 pm »

ผู้ใดกล่าวตู่ว่าใส่ร้ายพระรัตนตรัยมีโทษ ๑๐ ประการ
คือกล่าวตู่ว่าใส่ร้าย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ๑๐ ประการดังนี้ คือ


๑. จะมีทุกขเวทนาเกิดขื้น ทันตาเห็น
๒. จะมีทุกขเวทนาอันรุนแรง เช่นเจ็บศีรษะ เจ็บลิ้น เจ็บฟันเกิดโรคสาหัส
๓. ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ โดยวิธีใด ๆ จะเสื่อมสูญหมดสิ้นไป
๔. จะมีทุกขเวทนา ถูกตัดมือ ตัดจมูก ตัดหูเป็นต้น
๕. จะเกิดโรคพยาธิอันหนัก จะง่อยเปลี้ยตัวตายเป็นโรคเรือนรักษาไม่หาย
๖. จะเป็นบ้าใบ้ วิกลจริต เสียสติ ไม่สมปฤดี
๗. จะเกิดความฉิบหาย แก่ราชทันฑ์อาชญา ถูกริบทรัพย์อยู่ดี ๆ มีคน
กล่าวหาว่าเป็นโจร มีคนใส่โทษให้ถูกโจรปล้นถูกคนวิจารย์ส่อเสียด
๘. บุตรภรรยา และวงศาคนาญาติที่รักใคร่จะล้มหายตายจากพลัดพรากฉิบหาย
๙. ทรัพย์สมบัติจะกลายเป็นกระดูก เป็นกระเบื้อง เป็นถ่านเพลิง
๑๐. จะเกิดไฟฟ้า ไฟป่าไหม้บ้านเรือน หรือไฟเกิดขี้นมาเองตามธรรมชาติ
ลูกหลานท่านใดได้อ่านข้อความในการกล่าวตูใส่ร้ายพระรัตนตรัยมีโทษ
๑๐ ประการนี้แล้วโปรดได้สำรวมระวัง ด้วยความเป็นห่วงและปรารถนาดี
ต่อลูกหลานทุกคนจึงเตือนมาเพื่อให้รับทราบ

****

วิธีแก้จากเรื่องที่หนัก ๆ ให้เบาบางลงให้ตั้งอกตั้งใจพยายามหมันบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลให้มาก ๆ ถึงแม้ในชาตินี้มันจะไม่หมดสิ้นลงไปโดยตรง แต่ก็เผื่อชาติหน้าจะได้เป็นคนกับ
เขาบ้างสาธุสาธุและสาธุขอให้บาปและเวรกรรมจงหายหมดสิ้นไปเทอญ

พระครูวรรณโสภณ วัดนาครินทร์ ต.ตูม อ.ปรางค์กู่
จ.ศรีสะเกษ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

วันที่ 24/11/2008
เวลา 12:31:16

-----------
ที่มา ::
http://www.watnakkharin.org/index.php?mo=3&art=231384
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2008, 04:46:14 pm »

เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องการไหว้พระ - ทำบุญ - ใส่บาตร
เห็นมีความรู้ก็เลยเอามาฝากเพื่อนๆพี่ๆ ชาว LSV ครับ
เครื่องสักการะบูชาพระรัตนตรัย

เครื่องสักการะบูชาพระรัตนตรัยนั้น ชาวพุทธไทยเราทั้งหลาย นิยมนำมาบูชาเป็นประจำเสมอ ในการประกอบพิธีกรรม ในทางพระพุทธศาสนาทั้งงานมงคล และงานอวมงคลมี ๓ อย่างคือ :-
๑. ธูป
๒. เทียน และ
๓. ดอกไม้

ธูปสำหรับบูชาพระพุทธเจ้า
ธูปนั้น สำหรับบูชาพระพุทธเจ้า นิยมจุดบูชาครั้งละ ๓ ดอก เป็นอย่างน้อย โดยมีความมุ่งหมายว่า พระพุทธเจ้านั้นพระองค์ทรงมีพระคุณเป็นอันมาก ยากที่จะพรรณนาให้สิ้นสุดได้ แต่เมื่อประมวลกล่าวเฉพราะพระคุณ ที่เป็นใหญ่เป็นประธานแห่งพระคุณทั้งปวง คงมี ๓ ประการ คือ:-
๑. พระปัญญาธิคุณ 
๒. พระบริสุทธิคุณ และ
๓. พระมหากรุณาธิคุณ
ธูปทั้ง ๓ ดอกนั้น สำหรับจุดเพื่อบูชาพระพุทธคุณทั้ง ๓ ประการนี้ แต่บางท่านก็อธิบายความมุ่งหมายแตกต่างออกไปว่า ธูป ๓ ธูป ดอกนั้น เพื่อบูชาพระพุทธทั้ง ๓ ประเภท คือ:-
๑. อดีตสัมพุทธะ พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต
๒. อนาคตสัมมาพุทธะ พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคตและ
๓. ปัจจุปันนสัมพุทธะ พระพุทธเจ้าในปัจจุบัน
ธูป สำหรับบูชาพระพุทธเจ้านั้น นิยมใช้ธูป มีกลิ่นหอม โดยมาความหมายว่า ธรรมดากลินธูปนี้เป็นกลิ่นหอมที่น่าอัศจรรย์ กว่ากลิ่นหอมต่าง ๆ ที่ชาวโลกนิยมใช้กัน
กลิ่นหอมที่ชาวโลกนิยมใช้กันอยู่ทุกชนิด เมื่อบุคลได้สูดกลิ่นแล้วเป็นเหตุทำให้กิเลสฟูตัวขึ้น ทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่สงบส่วนกลิ่นหอมของธูปนั้น เมื่อบุคคลได้สูดกลิ่นแล้วเป็นเหตุทำให้กิเลสยุบตัวลง ทำให้จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน
อนึ่ง ธูปนั้นแม้จะถูกไฟไหม้หมดไปแล้ว แต่กลิ่นหอมของธูปนี้ก็ยังหอมอบอวลอยู่ในบริเวณนั้นได้เป็นเวลานานฉันใด พระคุณของพระพุทธเจ้า ก็เป็นที่ซาบซึ้งเข้าถึงจิตใจของชาวบุคคลทั้งหลาย โดยที่สุด แม้แต่มหาโจรใจเหี้ยม เช่น องคุลีมาลโจร เป็นต้น ย่อมทำให้ผู้นั้นมีจิตใจสงบระงับจากการทำความชั่ว หันหน้าเข้าสู่ความดี และแม้แต่พระพุทธเจ้าจะได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานถึง ๒ พันปีเศษแล้วก็ตาม แต่พระพุทธคุณก็ยังปรากฏซาบซึ้งตรึงอยู่กับจิตใจของชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ฉันนั้น

เทียนสำหรับบูชาพระธรรม
เทียนนั้น สำหรับบูชาพระธรรม นิยมจุดบูชาครั้งละ ๒ เล่ม เป็นอย่างน้อย โดยมาความมุ่งหมายว่า พระศาสนธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น แยกออกได้เป็น ๒ อย่าง คือ:- 
๑. พระวินัย สำหรับฝึกหัดกาย และวาจา ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และ
๒. พระธรรม สำหรับอบรมจิตใจ ให้สงบระงับจากความชั่ว ทุจริตทุกประการ และ เทียนที่นิยมจุดบูชาครั้งละ ๒ เล่ม ก็เพื่อบูชาพระวินัยเล่ม ๑ และบูชาพระธรรม อีกเล่ม ๑
เทียน สำหรับบูชาพระธรรมนั้น นิมยมใช้เทียน ขนาดใหญ่พอสมควรแก่เชิงเทียน ความนิยมใช้เทียนจุดบูชาพระธรรมนั้น โดยมุ่งหมายว่า ธรรมดาเทียนนี้ บุคคลจุดขึ้น ณ สถานที่ใด ย่อมเกิดจำกัดความมืดในสถานที่นั้น ให้หายหมดไป ทำให้เกิดเเสงสว่างขึ้น ณ ที่แห่งนั้น ฉันใด
พระศาสนธรรมคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นบุคคลใดมาศึกษาอบรมเกิดความรู้ความเข้าใจขึ้นแล้ว ย่อมกำจัดความมืด คือ โมหะ ความโง่เขลาเบา ปัญญาในจิตใจของบุคคลนั้นให้หายหมดไป ทำให้เกิดแสงสว่าง คือ ปัญญาขึ้นภายใจจิตใจของตนฉันนั้น

ดอกไม้สำหรับบูชาพระสงฆ์
ดอกไม้สำหรับบูชาพระสงฆ์ โดยความมุ่งหมายว่า ธรรมดาดอกไม้นานาพันธุ์ เมื่อยังอยู่ ณ สถานที่เกิดของมันก็ย่อมมีความสวยงามตามสมควรแก่สภาพของพันธุ์ไม้นั้น ๆ ครั้นบุคคลเราเก็บดอกไม้นานาพันธุ์เหล่านั้นมากองรวมกับไว้โดยมิได้จัดสรร ย่อมหาความเป็นระเบียบมิได้ ย่อมไม่สวยงาม ไม่น่าดูไม่น่าชม ต่อเมื่อนายมาลาการ คือ ช่างดอกไม้ผู้ฉลาด มาจัดสรรดอกไม้เหล่านั้นโดยจัดใส่แจกันหรือจัดใส่พานประดับให้เข้าระเบียบแล้ว ย่อมเป็นระเบียบเรียบร้อยเกิดความสวยงามน่าดูน่าชม ฉันใด
บรรดาพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สมัยเมื่อยังเป็นคฤหัสถ์อยู่บ้านเรือนของตน ๆ ย่อมมีกิริยามารยาททางกายทางวาจา และจิตใจ เรียบร้อยตามสมควรแก่ภูมิชั้นแห่งตระกูลของตน ๆ หยาบบ้าง ปานกลางบ้าง ละเอียดบ้าง ครั้งคฤหัสถ์เหล่านั้น ซึ่งต่างชาติกัน ต่างตระกูลกัน มีนิสัยอัธยาศัยต่าง ๆ กัน มีศรัทธาเลื่อมใสเข้ามาบวชอยู่ร่วมกัน ถ้าไม่มีระเบียบปฎิบัติเป็นแบบแผนเดียวกัน พระสงฆ์สาวกเหล่านั้นก็จะหาความเป็นระบียบมิได้ ย่อมไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาเลื่อมใสของผู้ได้ประสบพบเห็น ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าผู้เปรียบเสมือนนายมาลาการผู้ฉลาดได้ทรงวางพระธรรมวินัย ไว้เป็นแบบแผนประพฤติปฎิบัติ จัดพระสงฆ์สาวกเหล่านั้น ให้ประพฤติปฎิบัติอยู่ในระเบียบเดียวกัน จึงเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยน่าเคารพ น่าสักการะบูชา ฉันนั้น
อนึ่ง ดอกไม้สำหรับให้บูชาพระสงฆ์ นิยมไช้ดอกไม้ที่เพรียบพร้อมด้วยลักษณะ ๓ ประการ คือ:-     
๑. มีสีสวย
๒. มีกลิ่นหอม
๓. กำลังสดชื่น
ดอกไม้ที่บูชาพระประจำวันนั้น นิยมจัดเปลี่ยนให้สดอยู่เสมอ อันนี้เป็นนิมิตหมายแห่งความสดชื่น ความรุ่งเรือง ไม่นิยมปล่อยให้เหี่ยวแห่ง เพราะความเหี่ยวแห้ง เป็นนิมิตหมายแห่งความหดหู่ใจ ความเสื่อมโทรม เป็นต้น
บุคคลผู้บูชาด้วยดอกไม้ที่มีสีสวย แต่ไม่มีกลิ่นหอม เช่น บูชาพระด้วยดอกไม้พลาสติก หรือดอกไม้ประดิษฐ์เป็นต้น ต่อไปในภายหน้าบุคคลผู้นั้นจะได้อะไร ๆ ก็ล้วนแต่มีรูปร่างลักษณะดีมีรูปสวย แต่คุณภาพไม่ดี ดังคำพังเพยว่า “ สวยแต่รูป แต่จูบไม่หอม ”
บุคคลผู้บูชาพระด้วยดอกไม้มีกลิ่นหอม แต่มีสีไม่สวย ต่อไปในภายหน้า บุคคลผู้นั้นจะได้อะไร ๆ ก็ล้วนแต่มีคุณภาพดีแต่รูปร่างลักษณะไม่สวย ไม่งดงาม ดังคำพังเพย “ ถึงรูปชั่วตัวดำแต่น้ำใจดี ”
บุคคลผู้บูชาด้วยพระดอกไม้กำลังสดชื่น ต่อไปภายหน้า บุคคลผู้นั้นจะได้อะไร ๆ ก็ล้วนแต่เป็นของใหม่ ๆ ไม่ต้องใช้ของที่ขาใช้แล้ว เป็นมือหนึ่ง ไม่ต้องเป็นมือสองรองใคร ดังตัวอย่างเช่น ชูชกมีอายุคราวปู่ได้นางอมิตตดาซึ่งเป็นสาวแรกรุ่นคราวลูกคราวหลานเป็นภรรยา เพราะอานิสงส์ที่ชูชกได้เคยบูชาพระด้วยดอกบัวตูมที่กำลังสดชื่น ฉะนั้น
บุคคลผู้บูชาพระด้วยดอกไม้ที่บอบช้ำเหี่ยวแห้ง ต่อไป ในภายหน้า บุคคลผู้นั้นจะได้อะไร ๆ ก็ล้วนแต่เป็น ของเก่า ๆ เหี่ยว ๆ แห้ง ๆ เป็นของที่ผ่านมือผู้อื่นมาแล้ว ตัวอย่างเช่น นางอมิตตดาได้ชูชกแก่คราวปู่เป็นสามี เพราะโทษที่ได้เคยบูชาพระด้วยดอกไม้ที่บอบช้ำเหี่ยว ๆ ฉะนั้น

การทำบุญใส่บาตรประจำช่วงเช้า
ชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน มีฐานะเป็นอุบาสกบริษัทและอุบาสิกาบริษัท ซึ่งมีหน้าที่จะต้องช่วยกันบำรุง รักษาพระพุทธศาสนาไว้ให้ดำรงอยู่ และให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวมตลอดถึงชาวโลกด้วย
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระธรรมแล้ว ทรงเทศนาสั่งสอนพุทะบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสิกา พระสงฆ์พุทธสาวกเป็นผู้รับมรดก ทรงจำพระศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ พระพุทธศาสนาจึงยังดำรงอยู่ได้ตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
พระสงฆ์พุทธสาวกทั้งหลาย ย่อมดำรงอยู่ได้ ด้วยปัจจัยที่ทายกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายจัดถวาย ตราบใดที่ทายกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายยังบริจากปัจจัยช่วยอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์อยู่ พระสงฆ์ก็ยังศึกษาเล่าเรียน ทรงจำรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ตราบนั้น
หากทายกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เลิกบริจากปัจจัยช่วยอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์เมื่อใด เมื่อนั้น พระสงฆ์ก็จะดำรงชีพอยู่ไม่ได้ และพระพุทธศาสนาก็จะอันตรธาน เสื่อมสูญไปโดยไม่ต้องสงสัย
เพราะฉะนั้น การที่ทายกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ช่วยกันบริจากปัจจัยอุปถัมภ์บำรุงด้วยการทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์ เวลาเช้าประจำวันนี้ จึงนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยกันสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ และให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปได้ตลอดกาลนาน
ความจริง การใส่บาตรประจำวันนี้ เป็นวิธีการสร้างบุญวาสนาบารมีอันจะเป็นปุพเพกตปุญญตาสำหรับตนต่อไปในอนาคตโดยตรงและเป็นผลดีที่ได้ช่วยอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาโดยอ้อม
การใส่บาตรประจำวันนี้ นิยมจัดทำตามกำลังศรัทธา และตามความสามารถแห่งกำลังทรัพย์เท่าที่จะทำได้ โดยไม่เกิดความเดือดร้อนในการครองชีพ เช่น ใส่บาตรวันละ ๑ รูปบ้าง ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง เป็นต้น

การทำบุญที่มีผลานิสงส์มาก
การทำบุญในพระพุทธศาสนา ที่มีผลานิสงส์มาก เช่นการทำบุญใส่บาตรพระสงฆ์เป็นต้น จะต้องประกอบพร้อมด้วยองคุณ ๓ ประการ คือ:-
๑. ปัจจัยวัตถุสิ่งของสำหรับทำบุญบริสุทธิ์
๒. เจตนาของผู้ถวายบริสุทธิ์ และ
๓. พระภิกษุสามเณรเป็นผู้บริสุทธิ์


ปัจจัยวัตถุสิ่งของสำหรับทำบุญบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์ของปัจจัยวัตถุสิ่งของที่นำมาทำบุญ นั้นมีลักษณะดังนี้:-
๑. เงินที่จับจ่ายใช้สอยซื้อหาวัตถุสิ่งของเหล่านั้นต้องเป็นเงินที่ได้มาด้วยการะประกอบสัมมาอาชีวะ เกิดขึ้นจากหยาดเหงื่อแรงงานของตนโดยตรง
๒. สิ่งของที่นำมาทำบุญนั้นเป็นของบริสุทธิ์ คือ มิได้เบียดเบียนชีวิตคนและสัตว์อื่น เช่น ฆ่าสัตว์มาทำบุญ เป็นต้น
๓. วัตถุสิ่งของที่นำมาทำบุญนั้นเป็นของมีคุณภาพดีและเป็นส่วนดีที่สุดในบรรดาสิ่งของที่มีอยู่ เช่น ข้าวสุก ที่นำมาใส่บาตรนั้น ก็เป็นข้าวปากหม้อ แกงก็เป็นแกงถ้วยแรกที่ตักออกจากหม้อ เป็นต้น
๔. วัถุสิ่งของนั้นสมควรแก่สมณบริโภค ไม่เกิดโทษแก่พระภิกษุสามเณร และมีประมาณเพียงพอแก่ความต้องการ
เจตนาของผู้ถวายบริสุทธิ์
เจตนา คือ ความตั้งใจของผู้ทำบุญนั้น ต้องบริสุทธิ์ในกาลทั้ง ๔ คือ:-
๑. ปุพพเจตนา ความตั้งใจก่อจะทำบุญ มีความเลื่อมใสศรัทธา ไม่มีความตระหนี่ถี่เหนี่ยว ไม่มีความเสียดาย
๒. มุญจนเจตนา ความตั้งใจขณะทำบุญ มีความเลื่อใสศรัทธา มีความปลาบปลื้มปีติยินดีในการทำบุญนั้น
๓. อปรเจตนา ความตั้งใจหลังจากทำบุญไปแล้ว ภายใน ๗ วัน หวนระลึกถึงการทำบุญที่ล่วงมาแล้ว มีความปีติโสมนัสในบุญกุศลนั้น ไม่มีคววามเสียดาย
๔. อปราปรเจตนา ความตั้งใจภายหลังจาก ๗ วันไปแล้วแม้เป็นเวลานาน ๆ หวนระลึกนึกถึงการทำบุญ ครั้งใดก็ปลาบปลื้มปีติโสมนัสครั้งนั้น

ผลานิสงส์เจตนาบริสุทธิ์
บุคคลที่ทำบุญด้วยเจตนาความตั้งใจบริสุทธิ์ ทั้ง ๔ กาลดังกล่าวแล้ว ต่อไปในอนาคตเมื่อเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ ย่อมจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่เกิดจนตลอดอายุขัยในภพและชาตินั้น ๆ

โทษของเจตนาไม่บริสุทธิ์
ถ้าปุพพเจตนา ความตั้งใจก่อนจะทำบุญไม่บริสุทธิ์ เมื่อเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ เบื้องต้นแห่งชีวิต คือ ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ ๒๕ ปี จะมีแต่ความทุกข์ยากลำบาก เดือดร้อน จะหาความสุขได้ยาก จะเริ่มมีความสุขความเจริญ ตั้งแต่อายุ ๒๕ ปี เป็นต้นไปจนตลอดอายุขัย

ถ้ามุญจนเจตนาความตั้งใจขณะทำบุญไม่บริสุทธิ์จะทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนตั้งแต่ อายุ ๒๖ ปี จนถึงอายุ ๕๐ ปี หลังจากนั้นจึงจะมีความสุขตั้งแต่อายุ ๕๑ ปี เป็นต้นไป จนตลอดหมดอายุขัย
ถ้าอปรเจตนา ไม่บริสุทธิ์ คือนึกเสียดาย จะทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนตั้งแต่อายุ ๕๑ ปี เป็นต้นไป จนถึงอายุ ๗๕ ปี หลังจากนั้นจะมีความสุขจนตลอดอายุขัย
ถ้าอปราปรเจตนา ไม่บริสุทธิ์ จะทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนตั้งแต่อายุ ๗๖ ปี เป็นต้นไปจน ตลอดอายุขัย
อนึ่ง บุคคลที่ทำบุญให้ทานแล้ว นึกเสียดายในภายหลังคือ อปรเจตนาและอปราปรเจตนาไม่บริสุทธิ์ เมื่อ เกิดในภพใหม่ชาติใหม่ แม้จะเป็นคนร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ก็เป็นเศรษฐีขี้เหนียวเพราะโทษที่เกิดจากการทำบุญให้ทานแล้วนึกเสียดายในภายหลัง

พระภิกษุสามเณรเป็นผู้บริสุทธิ์
พระภิกษุสามเณรเป็นผู้บริสุทธิ์นั้น ได้แก่ พระภิกษุสามเณรอันเป็นบุญเขตนั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ คือปราศจากราคะ โทสะ โมหะ โดยสิ้นเชิง หมายถึงพระอริยบุคคล หรือ พระภิกษุสามเณรเป็นผู้มีศีลบริสุทธและเป็นผู้กำลังปฎิบัติเพื่อกำจัดราคะ โทสะ โมหะ
เพราะเหตุนั้น บุคคลผู้จะทำบุญในพระพุทธศาสนา จึงนิยมพิจารณาเลือกบุญเขตที่เหมาะสม ดังพระบาลีว่า ‘ วิเจยฺยทานํ ทาตพฺพํ วิเจยฺยทานํ สุคตปฺปสฏฐํ’ แปลว่า ‘พึงเลือกให้ทาน การเลือกให้ทาน พระตถาคตเจ้าทรงสรรเสริฐไว้แล้ว’ ดังนี้

วิธีปฎิบัติในการใส่บาตรพระสงฆ์
เมื่อนำภัตตาหารออกจากบ้าน ไปรอคอยการใส่บาตรอยู่นั้นนิยมตั้งใจว่าจะทำบุญใส่บาตรแก่พระภิกษุสงฆ์ สามเณรในพระพุทธศาสนา โดยไม่เฉพาะเจาะจงแก่พระภิกษุสามเณรรูปใดรูปหนึ่ง เมื่อพระภิกษุหรือสามเณรรูปใดผ่านมา ณ ที่นั้น ก็ตั้งใจใส่บาตรแก่พระภิกษุหรือสามเณรรูปนั้น และรูปอื่น ๆ ต่อไปตามลำดับ
การตั้งใจใส่บาตรแบบไม่เป็นการเจาะจงอย่างนี้มีผลานิสงส์มากกว่าการตั้งใจใส่บาตร โดยเจาะจงแก่พระภิกษุหรือสามเณรรูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ
ก่อนใส่บาตรอย่าลืมถอดรองเท้าออกก่อนแล้วลงยืนที่พื้นดินอย่ายืนบนรองเท้าถึงแม้ว่าจะถอดรองเท้าแล้วก็ตาม เพราะจะทำให้ผู้ที่ใส่บาตรจะยืนสูงกว่าพระภิกษุสามเณรที่มารับบิณฑบาต ซึ่งพระภิกษุสงฆ์สามเณรนั้นจะเดินเท้าเปล่ามารับบิณฑบาต จึงเป็นการไม่เหมาะสมที่คฤหัสจะยืนสูงกว่าพระภิกษุสามเณร

คำอธิษฐานก่อนใส่บาตร
 ก่อนอื่นจะใส่บาตรนั้น นิยมตั้งอธิษฐานก่อน โดยถือขันข้าว ด้วยมือทั้งสองข้าง นั่งกระหย่ง ยกขันข้าว ขึ้นเสมอหน้าผากพร้อมกับกล่าวคำอธิษฐานก่อนบริจาก ทำบุญด้วยวัตถุสิ่งของทุกชนิด ดังนี้ :-
‘ สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ’
‘ ทานของเราให้ดีแล้วหนอ ขอจงเป็นเครื่องนำมาซึ่งความสิ้นไปแห่งอาสวะกิเลส ฯ ’


คำอธิษฐานก่อนใส่บาตรอีกแบบหนึ่ง
เมื่อนั่งกระหย่ง ยกขันข้าวด้วยมือทั้งสองข้างขึ้นเสมอหน้าผากแล้ว ตั้งจิตกล่าวคำอธิษฐานว่า
‘ ข้าวขาวเหมือนดอกบัวยกขึ้นทูนหัว ตั้งใจจำนง ตักบาตรพระสงฆ์ ขอให้ทันพระศรีอารย์ ขอให้พบดวงแก้ว ขอให้แคล้วบ่วงมาร ขอให้บรรลุพระนิพพาน ในอนาคตกาล เทอญ ’

เมื่ออธิษฐานจบแล้ว ลุกขึ้นยืน มือซ้ายถือขันข้าว มือขวาจับทัพพี ( ถ้าคนถนัดซ้าย ก็ถือขันข้าวด้วยมือขวา จับทัพพีด้วยมือซ้าย ) ขักข้าวให้เต็มทัพพี บรรจงใส่ให้ตรงบาตร อย่าให้เมล็ดข้าวหล่นออกมานอกบาตร
ถ้าเมล็ดข้าวติดทัพพี อย่าเอาทัพพีเคาะกับขอบบาตร กิริยาอาการที่ตักข้าวใส่บาตรนั้น อย่าตักแบบกลัวข้าวสุกจะหมด เพราะมีคำพังเพยอยู่ว่า อย่าแสดงความขี้เหนียวขณะทำบุญ ’
ขณะที่ใส่บาตรนั้น อย่าชวนพระสนทนา อย่าถามพระ เช่น ถามว่า ท่านชอบฉันอาหารอย่างนี้ไหม ท่านต้องการเพิ่มอีกไหม ? เป็นต้น เพราะมีคำพังเพยอยู่ว่า ‘ตักบาตรอย่าถามพระ’

ที่มา : http://larnbuddhism.com/godgram/sakgara/

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #9 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2008, 04:57:03 pm »

การตบยุง..…ถือเป็นการผิดศีลไหม?Huh???

--------------------------------------------------------------------------------
จาก…….”รู้เฉพาะตน” เรื่องที่ 24 - จักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง โดย…. ดังตฤณ

"ศาสตร์ที่ตั้งต้นสอนให้มองออกนอกตัว คือศาสตร์ที่พาไปพบแต่ความเท็จ มีแต่ศาสตร์ที่เริ่มด้วยการสอนให้มองเข้ามาในตัวเองเท่านั้น ที่สอนให้เห็นความจริง พาไปพบที่สุดของคำตอบอันน่าพึงพอใจได้จริง "

คำถาม – อยากทราบว่าการตบ ยุง ถือเป็นการผิดศีลไหม และจะขัดขวางการเจริญสติเพียงใด
นี่เป็นคำถามที่ผมได้รับบ่อยที่สุด และคิดว่าจะตอบได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อ ผู้ถามเป็นนักเจริญสติซึ่งใจหวังความหลุดพ้นจากกองทุกข์กองกิเลสทั้งปวงเป็นหลัก


เรื่องตบยุงนี่นะครับ แทนที่จะแค่คิดว่าบาปหรือไม่บาป ผมอยากให้คุณมองเป็นภาพใหญ่ภาพรวมไปเลยว่า เรากำลังอยู่ในจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง นับตั้งแต่ระดับกาแล็กซีชนกัน ดวงดาวชนกัน เมฆชนกัน เครื่องบินชนกัน รถไฟชนกัน รถยนต์ชนกัน คนชนกัน เรื่อยลงไปจนถึงระดับอะตอมชนกัน
นี่คือจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่ง ตราบเท่าที่คุณยังอาศัยอยู่ในจักรวาลนี้ อย่างไรคุณก็หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งไปไม่พ้น เพราะมันคือธรรมชาติขั้นพื้นฐานที่มีมาแต่ดั้งเดิม
สิ่งมีชีวิตกระทบกระทั่งสิ่งมีชีวิตด้วยรูปแบบที่พิสดารกว่าการกระทบกระทั่งของสิ่งไร้ชีวิต และรูปแบบของการกระทบกระทั่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การรบกวนให้รำคาญกัน ทำให้เจ็บใจกัน หรือกระทั่งทำให้แค้นแน่นอกขนาดคิดลงมือประหัตประหารกัน
จิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้เสวยภพแห่งการมีภาวะอะไรอย่างหนึ่งก็ด้วยการจองเวรกันไปจองเวรกันมา อยากกระทบกระทั่งกันไม่เลิกรานี่เอง
คุณถูกยุงเบียดเบียนแล้วยุงก็เหมือนเป็นสัตว์ตัวจ้อยไร้ค่า ตบให้ตายๆไปเสียก็ไม่เห็นจะผิดแปลก แต่เรื่องของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ค่าของชีวิตยุง เรื่องของเรื่องอยู่ที่คุณมีเจตนาฆ่า พยายามฆ่า และฆ่าสิ่งมีชีวิตสำเร็จ
เมื่อยังมีความยินดีในการฆ่า ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยินดีวนเวียนอยู่ในวงจรของการผลัดกันฆ่า ต่อเมื่อหมดความไยดีในการฆ่าอย่างไร้เงื่อนไข จึงจะได้ชื่อว่าเป็น ผู้อโหสิ และพร้อมจะสละสิทธิ์ในการเป็นผู้อยู่ร่วมจักรวาลแห่งการกระทบกระทั่งเสียที
ลองดูปาฏิหาริย์ของการไม่คิดเบียดเบียนกันและกันเถิดครับ คุณไม่ตบยุง ยุงก็ไม่กัดคุณ หรือถึงกัดก็กัดน้อย ยิ่งถ้าหากเจริญสติได้จนถึงภาวะหนึ่งที่จิตรินเมตตาออกมาเอง ก็เหมือนทุกที่ที่คุณอยู่ แทบปลอดจากการรบกวนจากสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเหล่านั้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
ปาฏิหาริย์ทางธรรมชาติที่กล่าวข้างต้น ไม่ใช่ทำกันวันสองวันนะครับ แต่ต้องพิสูจน์ใจกันเป็นเดือนเป็นปี กระทั่งธรรมชาติแน่ใจแล้วว่าคุณอยากออกจากวัฏฏะแห่งการเบียดเบียนแน่ๆ ปาฏิหาริย์แห่งชีวิตประจำวันของผู้ทรงศีลจึงแสดงตัว
ตรงข้าม คงเห็นกันนะครับว่ายิ่งมีจิตประทุษร้ายมาก คิดฆ่ามากๆ ก็จะยิ่งถูกรบกวนมากเป็นเงาตามตัว เปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว ในที่สุดคุณจะพบกับความจริงว่า โลกนี้แต่ละคนมีที่ยืนเฉพาะตนอยู่ที่หนึ่ง เป็นแนวโน้มว่าจะต้องกระทบกระทั่งหรือเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นมากน้อยเพียงใด และที่ยืนนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น มันคือจิตของแต่ละคนที่เป็นผู้มีศีลหรือไร้ศีลนั่นเอง
จิตของผู้มีศีลย่อมสะอาดปราศจากความเดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อตั้งมั่นแล้วจะรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในเขตปลอดภัยตลอดเวลา พร้อมจะเจริญสติได้อย่างมีกำลังและความมั่นใจ ส่วนจิตของผู้มีศีลด่างพร้อยหรือขาดทะลุย่อมเต็มไปด้วยความกระวนกระวายเดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อตั้งมั่นแล้วย่อมรู้สึกเหมือนต้องวิ่งพล่านอยู่ในเขตอันตรายทั้งวันทั้งคืน จะเอาเวลาที่ไหนไปทำความสงบให้จิตได้พอจะเจริญสติไหวเล่า?
ธรรมะสวัสดี

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2008, 05:00:30 pm »

บาปกรรมจากการข่มขืน
--------------------------------------------------------------------------------

คำถาม .. การข่มขืนเป็นบาปแค่ไหน? มีหลายคดีที่ตอนแรกชายหน้ามืดตั้งใจข่มขืนและ
ผู้หญิงก็ขัดขืนแต่ต่อมาผู้หญิงสมยอมด้วยความคล้อยตามอย่างนี้ถือว่าสิ่งที่
ฝ่ายชายเป็นบาปหรือไม่ครับ?  ทางกฎหมายมีช่องคือถ้าพิสูจน์ได้ว่าฝ่ายหญิงสมยอม
ก็ไม่ถือว่าฝ่ายชายผิดหรือมีโทษเบามากในทางกรรมวิบากก็เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า?


บางครั้งการเล่นแง่ทางกฎหมายที่ยึดตัวอักษรและดุลพินิจของศาลเป็นหลักก็ทำให้คน
เลวดูดี หรือทำให้คนดีดูแย่ได้ครับแต่ทางกรรมวิบากจะไม่ยึดอักษรหรือดุลพินิจ
ของใครอื่นมากไปกว่าเจตนาของผู้กระทำการฉะนั้นถ้าเจตนาดีก็เป็นบุญ เจตนาร้ายก็
เป็นบาป และไม่มีคนดีคนเลวอยู่ในใครถาวรต่างก็สลับบทเป็นเลวหรือดีตามสถานการณ์
หรือตามน้ำหนักของเจตนา
เจตนาข่มขืนนั้นถือเป็นบาปใหญ่ครับเนื่องจากเป็นกรรมที่ทำร้ายทั้งร่างกายและ
จิตใจพร้อมกันประมาณยากว่าเกิดความเสียหายมากน้อยขนาดไหนกับคนๆหนึ่ง
ตามธรรมชาติเพศหญิงเป็นฝ่ายถูกกระทำและความเสียหายทางเพศก็เกิดขึ้นกับฝ่ายหญิง
ปมแห่งความหวาดกลัวอาจฝังกายฝังใจไปจนสิ้นลมเพียงเพราะถูกรังแกแค่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ตามเรื่องของกรรมนั้น ถ้าอยากรู้ผลชัดเจนต้องดูครอบคลุมทั้งหมดไม่
เฉพาะตัวเจตนาของผู้กระทำ แต่ต้องเล็งกันที่ความเสียหายของฝ่ายถูกกระทำด้วยเรา
พอแจกแจงรูปแบบการขืนใจได้คร่าวๆเป็น ๒ ประเภทคือ

๑)ปลุกปล้ำให้สมยอม หมายถึงใช้กำลังเพื่อให้ฝ่ายหญิงตกเป็นสมบัติของตนโดยคาด
หมายได้ว่าเธอจะมีความสุขไปด้วยไม่ได้มีเจตนาข่มเหงให้เกิดความบาดเจ็บหรือเจ็บ
ช้ำน้ำใจเป็นหลัก
การปลุกปล้ำให้สมยอมเกิดขึ้นได้เฉพาะที่ทั้งสองฝ่ายรู้จักสนิทสนมหรือถึงขั้น
เป็นคู่รักกันแล้วโทษที่จะเกิดกับชายจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผลกระทบทางใจของ
ฝ่ายหญิงเป็นสำคัญเพราะแม้เบื้องต้นไม่เต็มใจ ไม่สมยอมมอบกายให้แต่เมื่อทำๆไป
แล้วเกิดความโอนอ่อน และภายหลังไม่ได้เป็นทุกข์ไม่ได้เดือดร้อนมากมายก็แสดง
ว่ามีใจให้ฝ่ายชายอยู่ก่อน
แต่การปลุกปล้ำให้สมยอมมีความเสี่ยงคือไม่รู้จะออกหัวออกก้อยอย่างไรแน่ เพราะ
แม้เล็งว่าเธอคงยินดีแต่ความจริงอาจไม่ใช่อย่างนั้นแค่ความแตกต่างทางภาษากาย
เล็กๆน้อยๆระหว่างปลุกปล้ำก็อาจพลิกความรู้สึกของผู้หญิงจากค่อยๆยอมโอนอ่อน
กลายเป็นทวีความรุนแรงในการปฏิเสธได้อย่างรวดเร็วหรือถึงขั้นเคืองแค้นแบบเลิก
คบไม่ต้องเผาผีกันเลย
ความต่างเกี่ยวกับเจตนาของฝ่ายชายยังแยกย่อยได้อีกมากเช่น ชายบางคนหมายจะลิ้ม
ลองเฉยๆ ในขณะที่บางคนใจร้อน อยากได้เร็วๆแล้วค่อยแห่ขันหมากไปสู่ขอให้เป็น
เรื่องเป็นราวภายหลัง เหล่านี้ก็ให้ผลต่างด้วยถ้าเพียงคิดไว้ในใจว่ามีจังหวะ
กับหญิงอื่นเมื่อไหร่จะเอาอีกก็เท่ากับผูกใจไว้กับภพแห่งความเป็นนักเลงเล่น
หญิงพอถึงเวลาที่กรรมเผล็ดผลก็อาจกลายเป็นเพศหญิงที่ถูกมองเป็นของเล่นสนุกบ้าง
แต่หากปล้ำด้วยใจรักคิดไว้ว่าจะรับผิดชอบแน่นอน ตลอดจนรู้ๆอยู่ว่าฝ่ายหญิงก็มี
ใจให้และเชื่อมั่นว่าสามารถทำให้เธอมีความสุขอย่างนี้โทษของการปลุกปล้ำอาจมา
ในรูปของการผูกกรรมกันโดยเฉพาะกล่าวคือฝ่ายหญิงจะรู้สึกว่าเธอเป็นเจ้าหนี้
สามารถทวงหนี้คืนในรูปแบบไหนก็ได้เพราะฝ่ายชายเริ่มก่อน คือเป็นฝ่าย ‘ปล้น
สมบัติ’ ของเธอไปดังนั้นฝ่ายชายจึงต้องมีหน้าที่สำนึกผิดและชำระคืน ซึ่งแน่นอน
ครับว่าแพงเนื่องจากนารีมีรูปเป็นทรัพย์ยิ่งทรัพย์งามเพียงใดก็ต้องคิด
ดอกเบี้ยมหาโหดเพียงนั้น
ฉะนั้นอย่าแปลกใจหากได้เธอมาโดยมิชอบก็เป็นธรรมดาที่จะโดนเรียกร้องนั่นเรียก
ร้องนี่ไม่มีวันจบวันสิ้นเผลอๆความผูกใจว่าคุณเป็นลูกหนี้เธออาจข้ามภพข้าม
ชาติไปเลยทีเดียว
อีกประการหนึ่งที่ควรคำนึงคือความยอกย้อนทางอารมณ์ของผู้หญิงจะมากกว่าผู้ชาย
เพราะเป็น ‘ฝ่ายเสีย’ ถึงแม้ถูกเร้าให้คล้อยตามได้ หรือร่วมสุขไปด้วยได้ชั่วขณะ
หนึ่งแต่ภายหลังอาจกลับเปลี่ยนเป็นเสียดาย เสียใจและเสียความรู้สึกกับฝ่ายชาย
กล่าวตรงนี้เพราะอยากบอกคุณๆที่คิดว่า ‘ไม่เป็นไร’ หรือ ‘ปล้ำไปปล้ำมาเดี๋ยวก็
ชอบเอง’ นั้น นับว่าเสี่ยงที่จะเดาผิดนะครับผลของการเดาผิดก็อาจไม่ใช่เรื่อง
เล็กอย่างที่คิด เช่นเสร็จเรื่องแล้วเธออาจเครียด ไม่กินข้าวกินปลา การเรียน
หรือการงานตกต่ำที่เคยกระหนุงกระหนิงกับคุณก็กลายเป็นบึ้งตึงใส่หรือที่เคยชอบ
พออยู่บ้างก็อาจเปลี่ยนเป็นเกลียดและขยะแขยง ฯลฯอะไรๆเป็นไปได้ทั้งนั้น
ผมเคยได้ยินนักจิตวิทยาบางคนพูดนะครับว่าผู้หญิงที่กลัวเพศสัมพันธ์มากๆนั้น
ต้องแก้ด้วยการให้แฟนที่รักและไว้ใจปลุกปล้ำเสียบ้างมันก็อาจถูกในเชิงวิชาการ
แต่ขอบอกว่าอาจเสี่ยงในความเป็นจริงเพราะนอกจากความซับซ้อนทางอารมณ์ของผู้หญิง
แล้วยังมีตัวแปรคือความสามารถของผู้ชายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอะไรๆในโลกไม่มีบท
สรุปตายตัวหรอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ควรทำอย่างนั้นจะเหมาะหรือไม่เหมาะขึ้นอยู่
กับว่าใครทำกับใคร เมื่อไหร่และอย่างไรมากกว่า

๒) ทำร้ายเพื่อขืนใจ หมายถึงการข่มขืนของจริงชนิดที่ไม่อาจคาดหมายได้เลยว่า
ฝ่ายหญิงจะมีความสุขจากการเป็นฝ่ายถูกกระทำและฝ่ายชายอาจใช้รูปแบบใดๆ นับแต่
การข่มขู่ด้วยอาวุธตลอดจนกระทั่งการตบตีชกต่อยให้เจ็บปวด
การทำร้ายเพื่อขืนใจเกิดขึ้นกับหญิงแปลกหน้าที่ไม่รู้จักมักจี่หรือรู้จักแต่
เป็นศัตรูกันอยู่หรือกระทั่งรู้จักสนิทแต่มีลักษณะต้องห้ามบางประการ เช่น เป็น
ญาติเป็นหญิงที่ยังอยู่ในการปกครองเลี้ยงดูของพ่อแม่หรือเป็นภรรยาของผู้อื่น
แม้ฝ่ายหญิงจะเกิดความยินดีในเพศรสขึ้นมาบ้างตามธรรมชาติก็ไม่ได้ช่วยบรรเทา
น้ำหนักบาปของชายโฉดลงสักเท่าใดเพราะเจตนาแต่แรกของชายโฉดมิใช่เพื่อให้ฝ่าย
หญิงเป็นสุขกับทั้งคาดหมายได้ว่าเสร็จกามกิจแล้วเธอจะต้องทุกข์ทรมานทั้งกาย
ทั้งใจอย่างใหญ่หลวง
จะเป็นชายโฉดได้ต้องมีความชั่วร้ายในจิตใจมโนธรรมต่ำเข้าใกล้ศูนย์ ซึ่งถ้า
ถามหาว่าใครผิด ใครเป็นคนทำให้มโนธรรมตกต่ำเล็งหาไปเล็งหามาคงไม่ใช่ตัวบุคคล
แต่เป็นราคะและโทสะต่างหาก
ถ้าลงมือข่มขืนโดยเริ่มจากความมีราคะกล้าเช่น เห็นผู้หญิงนุ่งห่มล่อแหลมเข้า
ห้องน้ำบ่อยๆอย่างนี้พอทนไม่ไหวก็นำมาซึ่งรูปแบบการข่มขืนที่เต็มไปด้วยความ
หื่นกระหายฉายให้เห็นสัญชาตญาณดิบแบบเดียวกับเดรัจฉานกรรมที่ทำจึงมีแนวโน้ม
ว่าจะดึงดูดไปสู่ภพแห่งความเป็นเดรัจฉานที่สมสู่ได้โดยปราศจากความละอายหรือขาด
ความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ
แต่ถ้าลงมือข่มขืนโดยเริ่มจากความมีโทสะแรงเช่น อาฆาตแค้นนายจ้างสาวที่ข่มขี่
ด้วยวาจาผรุสวาทหรือตบตีเตะถีบด้วยมือเท้าอย่างนี้รูปแบบการข่มขืนจะเต็มไปด้วย
ความก้าวร้าวใกล้กันมากกับการคิดฆ่ากันให้ตาย อันเป็นกรรมร้อนแรง เผาผลาญได้ใน
ระดับไฟนรกคือทำให้ผู้หญิงรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็นกรรมที่ทำจึงเป็นไปเพื่อ
ภพแห่งความเป็นสัตว์นรกมากกว่าอบายภูมิอื่นที่โทษเบากว่า
ดังกล่าวแล้วว่าการทำร้ายเพื่อขืนใจนั้นอย่างน้อยขณะนั้นต้องชั่วจริงๆถึงจะออก
แรงทำได้สำเร็จสำคัญคือถ้าทำได้ครั้งหนึ่ง ก็มีแนวโน้มที่จะทำได้อีก ยิ่งทำมาก
ขึ้นเท่าไรแนวโน้มที่จะย่ามใจกับการลงมือก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆเรียกว่ายอมก้ม
หน้าให้ซาตานรดน้ำมนต์จนศีรษะชุ่มโชก หน้ามืดหน้ามัวลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเมื่อใด
ก็หมดความเป็นผู้เป็นคนไปเมื่อนั้น
กรณีที่เพิ่งก่อคดีข่มขืนแค่ครั้งสองครั้งโทษทัณฑ์เช่นถูกจับขังคุกหรือถูกรุม
ประชาทัณฑ์ในชาติปัจจุบันอาจได้น้ำหนักพอจะปลดหนี้กรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หากสำนึกผิดด้วยใจจริงและไม่คิดทำอีกเลยตลอดไปแต่หากเคยมีความสุขบนความทุกข์
ของผู้หญิงมามากหน้าหลายตาจนจิตใจถูกห่อหุ้มด้วยบาปอกุศลมืดคลุ้มเกินกว่าจะ
สำนึกผิดอย่างนี้ต่อให้เข้าคุกตลอดชีวิตหรือกระทั่งถูกประหาร ก็ยากจะเปลื้อง
หนี้หมดต้องไปผ่อนส่งต่อในอบายภูมิค่อนข้างแน่นอน
สำหรับอาชญากรทางเพศที่ทำผู้หญิงมามากด้วยความสะใจไม่สำนึกผิด ไม่อยากกลับตัว
เลยจนตายนั้น เมื่อพ้นจากอบายแล้วก็มักต้องเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิงด้วยชะตาไม่
สู้ดีมีแต่การสั่งสมพฤติกรรมทางเพศแบบผิดๆกระทั่งเป็นไปได้ที่จะมีความสุขกับ
การถูกทรชนข่มขืนด้วยความรู้สึกลึกๆที่อธิบายใครไม่ได้เหมือนเป็นวิถีทางของตน
ที่ต้องชดใช้ให้หมดๆหรือกลั่นเป็นคำพูดจากก้นบึ้งก็อาจว่า ‘โดนแค่นี้ดีกว่าที่
เคยเจอในนรก!’
กามนั้นดูเผินๆเหมือนเป็นสุขหรือกระทั่งพาไปสู่สุดยอดแห่งความสุข แต่แท้ที่
จริงหากเห็นให้ครบทุกแง่มุมคุณจะรู้สึกว่ากามคือเครื่องล่อให้สรรพสัตว์ติดวน
อยู่กับทุกข์ทั้งทุกข์เพราะไม่พ้นไปจากการเกิดแก่เจ็บตายและทั้งทุกข์เพราะ
กรรมอันดึงให้ตกต่ำลงสู่อบายภูมิครับ


แหล่งที่มา : zone-it.com
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2008, 05:03:53 pm »

โทษของกามสุข...รู้เอาไว้เพื่อ "ละ" กาม

--------------------------------------------------------------------------------
โทษของกามสุข
พระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต)
จากหนังสือ กำลังใจ 9 ตอน ทำดี ละชั่ว

โทษของกามสุข
ต่อจากนั้นก็ยังมีความรัก ความชอบในสิ่งต่างๆ ที่ต้องปล่อยวางอีกเช่น กามสุข ที่เกิดจากกามตัณหาความอยากในกาม เราก็ต้องปล่อยวางต้องเห็นว่าสิ่งที่เราไปรักไปชอบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สวยงาม รูปร่างหน้าตาของคนเรานั้น พอดูได้แต่เพียงเฉพาะเปลือกนอก คือผิวหนังเท่านั้นเอง
ถ้ามองทะลุเข้าไปใต้ผิวหนังแล้ว ก็จะเห็นอวัยวะต่างๆ น้อยใหญ่ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในของร่างกาย รวมถึงสิ่งที่เป็นปฎิกูลต่างๆ ที่ร่างกายจะต้องขับถ่ายออกมา
ถ้าพิจารณาอย่างสม่ำเสมอด้วยปัญญา ด้วยความแยบคาย ก็จะเห็นว่าร่างกายนี้ ไม่สวยงามเลย ไม่สะอาดหมดจด แต่เป็นร่างกายที่สกปรก มีความไม่สวยไม่งามซ่อนเร้นอยู่ ในขณะที่ยังมีชิวตอยู่ก็ยังเป็นอย่างนี้ ในขณะที่ตายไป ยิ่งสกปรก ยิ่งน่าเกลียด น่ากลัวขึ้นไปใหญ่
แต่เป็นสิ่งที่พวกเราไม่ค่อยพิจารณากัน ไม่ค่อยคิดอัน ก็เลยเกิดความรักความยินดีในร่างกาย เห็นเพศตรงกันข้ามแล้ว เกิดความอยากจะอยู่ใกล้ด้วย อยากจะสัมผัสด้วย เพราะเห็นเพียงแต่อาการภายนอกไม่เห็น อาการภายในจึงทำให้มีความยึดติดกับร่างกายของเพศตรงกันข้าม
แต่ถ้าได้ศึกษาได้พิจารณาอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ ต่อไป เวลาเห็นร่างกายของเพศตรงกันข้าม หรือเพศเดียวกันก็ตาม จะเห็นทะลุไปถึงอาการทั้ง ๓๒ อาการ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย คลายความกำหนัดยินดีในร่างกายของผู้อื่น
เมื่อคลายความกำหนัดความยินดี จิตก็หลุดพ้นจากความเป็นทาสของกามตัณหา ความอยากในกาม สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพังโดยไม่ต้องมีคู่ครองอีอต่อไป
คนที่อยู่ตามลำพังได้เป็นคนมีบุญมีกุศลเพราะไม่ต้องทุกข์กับคู่ครองเพราะเวลามีคู่แล้วถึงแม้จะมีความสุขบ้าง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่ได้มาแล้ว มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยทีเดียว
เพราะเมื่ออยู่ด้วยกันก็ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันมีการขัดใจกันมีความไม่พอใจกัน หรือถ้าไม่มีการทะเลาะกัน ไม่มีการขัดแย้งกัน มีแต่ความรักต่อกัน ก็ต้องมีความห่วงใยกัน กลัวว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปเป็นต้น ล้วนแต่เป็นความทุกข์ทั้งนั้น
แต่เนื่องจากว่าเรายังอยู่ตามลำพังไม่ได้ ยังมีความหลงอยู่ ยังมีความยินดีในกามอยู่ จึงทำให้ ไม่สามารถที่จะอยู่ตามลำพังได้ จึงต้องยอมรับความทุกข์ ที่มาจากความสุขที่เกิดจาก การเสพกาม
ถ้าเป็นคนฉลาด ก็จะเจริญธรรม ให้เห็นว่าร่างกายนี้ เป็นร่างกายที่ไม่สวยงาม เป็นปฎิกูลของสกปรก จนปล่อยวางได้ ก็จะไม่ยินดีกับการมีคู่ครองอีกต่อไป ก็จะสามารถอยู่ตามลำพังได้ เพราะจิตที่ไม่มีกามตัณหานั้น เป็นจิตที่สงบสงัดจากกาม เป็นจิตที่มีความสงบนิ่ง เป็นสมาธิ เป็นจิตที่มีความสุขโดยธรรมชาติของจิตเอง เป็นความสุขที่ประเสริฐเป็นความสุขที่เลิศกว่าความสุขที่ได้จากการเสพกาม
ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ไม่มีความสุขอันใดในโลกนี้ จะดีเท่ากับความสุขที่เกิดจากความสงบของจิต ที่เรียกว่าสันติสุข นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่อยู่กับเราไปตลอด เพราะอยู่ในจิตของเราไม่ต้องอาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใด มาทำให้จิตมีความสุข
ไม่มีใครสามารถแย่งชิงความสุขนี้จากเราไปได้ไม่เหมือนกับกามสุขที่ต้องอาศัยบุคคลอื่น เป็นเครื่องให้ความสุขอับเรา ถ้าเผลอก็อาจจะถูกคนอื่นแย่งคนๆ นั้น จากเราไปก็ได้ ถ้าถูกแย่งไป เราก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ เป็นความทุกข์ขึ้นมาทันที
นี่แหละคือโทษของกามสุข กามสุขไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
กามสุขมีโทษซ่อนอยู่ มีความทุกข์ซ่อนอยู่ เปรียบเหมือนกับระเบิดเวลาที่จะระเบิดขึ้นมาเวลาไหนเราก็ไม่รู้ สามีของเรา ภรรยาของเราจะจากเราไปแบบไหน เมื่อไร เราก็ไม่รู้ จะหย่ากัน จะไปมีสามีใหม่ ภรรยาใหม่ หรือจะตายจากเราไป อย่างใดอย่างหนึ่ง เราก็ไม่รู้
แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเรายังหวง ยังยึด ยังติดกับเขาอยู่ เราก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปเป็นธรรมดา นี่คือปัญหาของพวกเราเพราะไม่ใช้ลิ้นของเราให้เป็นประโยชน์ กลับไปใช้ทัพพี คือใจของเรานั้นเป็นได้ทั้ง ๒ อย่าง เป็นทัพพีก็ได้ เป็นลิ้นก็ได้ ถ้าเป็นลิ้นก็ต้องสำเหนียกเตือนสติสอนใจเราอยู่เสมอ ต้องเข้าหาธรรมอยู่เสมอ ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็หาหนังสือธรรมะมาอ่านอยู่เสมอ เพราะเมื่อได้อ่านแล้ว ก็จะได้จดจำ แล้วธรรมก็จะไม่ห่างจากใจ ของ เรา
ที่มาครับ http://board.palungjit.com/showthread.php?t=57698

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #12 เมื่อ: มกราคม 05, 2009, 07:05:22 pm »

อวสานโลก กำเนิดโลก

http://www.youtube.com/v/1Vfq95gAWz4&hl=en&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object>

  THANK!! นานาธรรมมะ  THANK!!
http://www.youtube.com/v/dmTG33Lf8RQ&hl=en&fs=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="425" height="344"></embed></object>
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 07:01:20 pm »

พระกินเณร...จากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ


ภาพประกอบจาก Internet ไม่ใช่ภาพจริงแต่อย่างใด

ประสงค์ ลี้สุวรรณ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดในอำเภอวิเศษชัยชาญ


วันนี้ผมมีเรื่องสยองขวัญที่มีหลักฐานแน่นหนา ปรากฏชัดเจนมาเล่าสู่กันฟังครับ


ที่อำเภอวิเศษชัยชาญจะมีถนนสายสุพรรณบุรี - อ่างทอง ตัดผ่าน และตรงบริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน้อย จะมีถนนสายวิเศษฯ-ผักไห่ ตัดผ่านกันตรงสี่แยกไฟแดงนั้นเอง


ถ้าท่านมองไปทางโรงพยาบาลวิเศษชัยชาญ จะเห็นอุโบสถวัดสุนทราราม เด่นตระหง่านปะทะสายตาอยู่นั้น และถ้าท่านก้าวย่างเข้าไปในบริเวณวัด เดินผ่านอุโบสถหลังใหม่จะพบอุโบสถหลังเก่าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดสุดๆ


จะแปลกอย่างไร โปรดพิจารณา...


ตัวพระอุโบสถเป็นรูปทรงโค้งสำเภา หน้าต่างโค้งมน หลังคาเป็นกระเบื้องกามู!


ที่แปลกกว่านั้นคือ หลังคาไม่มีช่อฟ้า ใบระกา แต่กลับมีรูปคนประนมมือ ส่วนพระประธานนั้นหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก


ใครๆ ที่พบเห็นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นเพราะฝีมือพม่าสร้าง และตรงนี้เองเป็นที่ก่อเหตุการณ์เขย่าขวัญชาวบ้านร้านช่องถึง 2 เหตุการณ์ด้วยกัน


กล่าวคือ ภายในมีพระทรมานกายรูปปั้นอยู่ บรรยากาศมืดสลัว ดูอึมครึม ทั้งน่าอึดอัดและน่าสะพรึงกล้ว น่าสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก เชื่อได้ว่า ถ้าท่านเดินเข้าไปคนเดียวแล้วเห็นเข้าจังๆ มีหวังต้องถอยหลังมาตั้งหลักใหม่เป็นแน่แท้ หลายๆ คนบอกว่าพอก้าวเข้าไปก็ขนลุกซู่ซ่าทันที


....และยิ่งเมื่อได้รับฟังเรื่องราว "พระกินเณร" มาก่อนด้วยแล้ว ท่านอาจจะต้องถอยหลังหลายก้าวทีเดียวเชียว!


มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาดังนี้...


เมื่อประมาณ 50 กว่าปีมาแล้ว มีสามเณรผู้หนึ่งชื่อ "เสมือน" ผู้มีอุปนิสัยซุกซนหาตัวจับยาก หลังจากฉันเพลแล้ว มีผู้พบเห็นว่า ได้แอบออกจากกุฏิเข้าไปในดงกระถินข้างวัดแต่ไม่มีใครทราบชัดเจนว่าเข้าไปทำอะไรแน่


จนกระทั่งบ่ายก็แล้ว เย็นค่ำก็แล้ว ยังไม่กลับกุฏิเสียที ...พระภิกษุทุกรูปต่างใช้วิจารณญาณตัดสินว่า ถ้าโดยนิสัยของสามเณรเสมือนแล้ว น่ากลัวจะแอบสึก แล้วแล่นหนีไปไหนต่อไหนเป็นแน่นอน เพราะรูปการณ์มันเข้ากับอุปนิสัยมาก จึงได้พร้อมใจกับฟันธงเช่นนั้น


จากวันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวอีกเลยว่าสามเณรเสมือนหายสาบสูญไปไหนกันแน่?


ต่อมา ท่านสมภารให้พระภิกษุและลูกศิษย์วัด ไปช่วยกันถากถางกระถินและพงไม้ที่รกเรื้อต่างๆ ให้เตียน เพื่อสะดวกแก่นัยน์ตาญาติโยมที่จะไป-มา ผ่านแถวนั้น...และแล้วก็เกิดเอะอะโวยวายกันขึ้น


เรื่องของเรื่องก็เพราะลูกศิษย์วัดคนหนึ่ง ได้พบเศษจีวรฉีกขาดตกอยู่ในดงกระถินจึงเรียกเพื่อนๆ ดู พระเณรที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยมามุงดูพร้อมกัน...ทุกคนต่างหันเหตีความว่า คงจะเป็นจีวรของสามเณรเสมือนแน่นอน!


ต่างก็เอะอะระความว่า....แล้วร่างกายหายไปไหนเสียเล่า?


เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้มีการแยกย้ายกันตรวจตราบริเวณรอบๆ พื้นที่ เด็กวัดกลุ่มหนึ่งได้ชักชวนกันเข้าไปในโบสถ์ (หลังเก่า) และเปิดประตูหน้าต่างดูว่าจะมีร่องรอยของสามเณรเสมือนเข้ามาหรือหาไม่...


พระกลุ่มหนึ่งก็เดินตามเข้าไปสมทบด้วย!


เมื่อแสงสว่างสาดส่องเข้าไป มองเห็นสภาพภายในโบสถ์ได้ถนัด เด็กวัดกลุ่มนั้นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดในบัดดล


นั่นคือ...มีรอยเลือดแห้งกรังติดอยู่กับพื้นบ้าง กับกองไม้ใกล้ๆ นั้นบ้าง...รอยเลือดหยดเป็นทาง ตรงดิ่งไปยังฐานพระในรูปทรงทรมานกายน่าสยอง


ครั้นเกาะกลุ่มกันเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่า...ที่ปากของพระทรมานกายมีเลือดสีแดงติดอยู่ เล่นเอาทั้งพระทั้งศิษย์วัดตกอกตกใจจนผงะหน้าไปตามๆ ต่างก็คิดเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า


"พระทรมานกายกินสามเณรเสมือนไปแล้ว!!"


จากปากสู่ปาก จากชุมชนสู่ชุมชน ข่าวลือแพร่หลาย...กระจายเป็นไฟลามทุ่ง ไม่ช้าก็มีผู้คนแห่แหนมาดูรอยเลือดที่ปากพระทรมานกาย แล้วก็เล่าลือกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน


เรื่องราวน่าสยองพลันกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้ชาวบ้านล้วนหวาดกลัวจนขนหัวลุกไปตามๆ กัน


นั่นคือ...ไม่ทราบว่ามีมือดีที่ไหน หรือใครกันแน่ที่อุตริดอดเข้าไปในโบสถ์ คงจะมีเจตนาต้องการล้างอาถรรพณ์พระกินเณร จึงเอาตะปูตัวใหญ่ไปตอกปิดปากพระทรมานกาย...ปรากฏหลักฐานเห็นชัดมาจนทุกวันนี้!


ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครเฉลยได้ว่า สามเณรเสมือนหายไปไหน เพราะสาบสูญโดยไร้ร่องรอยราวกับจากโลกนี้ไปโดยสิ้นเชิง


...และก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า พระทรมานกายกินสามเณรจริงๆ แหละหรือว่าเป็นแต่เพียงคำร่ำลือเท่านั้นเอง...แม้ว่าจะเป็นคำร่ำลืออันน่าหวาดสยอง และชวนให้ขนหัวลุกก็ตามที!
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 07:04:04 pm »

เรื่องลี้ลับ...ในวังหลวง

--------------------------------------------------------------------------------

 




พระบรมมหาราชวังหรือที่ชาวบ้านนอกรั้ววังมักใช้เรียกขานกันสั้นๆ ว่า "วังหลวง"นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2325

"วังหลวง"เป็นสถานที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมถึงเป็นสถานที่เคร่งครัด เข้มงวดในกฎระเบียบและประเพณีในราชสำนัก ชาววังหลวงเชื่อกันว่าทุกบริเวณในเขตรั้ววังล้วนมีเทวดาปกปักรักษา แม้แต่ประตูพระราชวังก็มีประเพณีที่เคร่งครัด โดยเฉพาะ "ธรณีประตู"ซึ่งมีกฎว่า ใครจะเข้าออกก็เดินข้ามไปได้แต่จะเหยียบธรณีไม่ได้ เพราะเป็นปร

ะเพณีที่ถือกันมาว่าประตูพระราชวังทุกแห่งมี "เทพยดารักษา"ขนาดว่าถ้าผู้ใดไม่รู้แล้วเผลอไปเหยียบเข้าก็จะถูกเจ้าหน้าที่กรมโขลน ผู้รักษาประตูดุเอา หรือบางทีอาจถึงกับถูกสั่งให้ก้มลงกราบธรณีประตูเพื่อขอขมาลาโทษเลยทีเดียว
ทุกสถานที่เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาและยิ่งเป็นสถานที่เก่าแก่มีความเป็นมายาวนาน ก็ย่อมต้องมีเรื่องราวของความลี้ลับและอาถรรพ์ปะปนอยู่เสมอเป็นของคู่กัน เรื่องเล่าของชาววังในอดีตเกี่ยวกับอาถรรพ์และวิญญาณในวังหลวงจึงล้วนแต่น่าฟังและชวนติดตาม
เล่ากันว่าชาววังในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็กลัวผีเหมือนกัน

มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องราวชวนขนลุกที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นและยังเล่าสืบต่อกันมาไม่รู้จบว่า พวกในวังมักมีที่เล่นสำราญสนุกสนานที่บริเวณสระน้ำกว้างขวางแห่งหนึ่งภายในวัง สระน้ำนี้จะมีท่อธารน้ำไหลเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งสองด้านหัวและท้ายสระจะมีบันไดอิฐถือปูนเป็นทางสำหรับลงไปตักน้ำได้ว่ากันว่าเมื่อแรกสร้างนั้นน้ำเต็มเปี่ยมใสสะอาดดี เพราะมีกฎข้อห้ามจากเจ้านายไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปอาบหรือทำความสกปรกในบริเวณใกล้ขอบสระนั้น ที่บริเวณสระน้ำนี้ยังมีต้นปีบขนาดใหญ่ สูงระหง กับต้นจันทน์ทอดกิ่งก้านสาขาใบดกเขียวร่มรื่น ปีบออกดอกขาวร่วงหล่นอยู่ที่โคนต้น ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ชาววังสมัยนั้นก็มักจะมาเที่ยวเก็บดอกบีบและลูกจันทน์เล่น แต่ต่อมาได้เกิดเสียงเล่าลือไปในทางไม่เป็นมงคล ทำให้ชาววังเกิดอาการกลัวผีกันนักหนา กลางค่ำกลางคืนก็ไม่กล้าออกไปไหน แม้แต่จะไปอุโมงค์ที่ถ่ายทุกข์ยังไม่ยอมไปเพราะทางที่จะไปต้องเดินผ่านบริเวณสระน้ำนั้น ก็ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน ทั้งนี้เพราะว่า "พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรทัยเทพกัญญา"ซึ่งเป็นพระธิดาพระองค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประชวรด้วยพระโรคเรื้อรังกระเสาะกระแสะอยู่นานได้สิ้นพระชนม์ลง แม้จะทรงรักษาพระอาการประชวรด้วยวิธีแพทย์หลวงและทางไสยศาสตร์ หรือจะทรงหมั่นบำเพ็ญพระกุศลหวังจะให้หายจากพระโรค ก็ไม่หาย(เล่ากันภายในว่าทรงเป็นพระโรคประสาทและทรงกระทำวัตธิพิฆาตกรรมพระองค์เองจนสิ้นพระชนม์)

เมื่อพระองค์เจ้าพระองค์นี้สิ้นพระชนม์ลงต่อมาก็มีการโจษจันกันว่ามีผู้ได้ยินเสียงร้องโหยหวยในยามวิกาล มีการกล่าวขวัญกันต่อๆ มาและสรุปว่าเป็นเพราะเสด็จพระองค์นั้นเพิ่งจะสิ้นพระชนม์ คงจะทรงไปทนทุกขเวทนาอยู่ เลยทำให้หวาดกลัวกันไปทั้งวังหลวง
จนเรื่องนี้รู้ไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงทรงมีพระราชดำริให้แก้อาถรรพ์นี้ด้วยวิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสังฆทาน และทรงสั่งให้ขุดสระน้ำขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปโปรดพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์นั้นให้พ้นทุกข์
เมื่อวันที่สระน้ำสร้างเสด็จก็มีพิธีฉลองสระ บรรดาเจ้านายพระบรมวงศ์ฝ่ายในทั้งหลายก็พากันเสด็จมาร่วมบำเพ็ญพระกุศล ตั้งแต่นั้นมาเรื่องเล่าของชาววังเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงเงียบหายไป ส่วนสระน้ำที่ขุดใหม่นี้ชาววังในสมัยนั้นจะเรียกว่า "สระพระองค์อรทัย"

เรื่องลี้ลับของชาววังหลวงไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะหลายๆ คนก็เจอดีและมีประสบการณ์ที่พิสูจน์ไม่ได้อันแปลกแหวกแนวไปคนละอย่าง โดยเฉพาะเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในสมัยหลังช่วงรัชกาลที่ 8-9 ก็มีเรื่องเล่าถึงชาวจีนคนหนึ่งซึ่งเข้ามาซ่อม "พระแท่นราชอาสน์"ซึ่งเป็นของสูงที่องค์พระมหากษัตริย์ได้ทรงใช้เอนพระวรกายมาแล้วหลายพระองค์ จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีเทวดารักษา แต่ช่างชาวจีนซึ่งเป็นสามัญชนคนนี้ไม่รู้ประเพณีการให้ความเคารพในของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผิดกับช่างไทยถ้าจะทำงานกับของสูงเช่นนี้จะต้องมีการเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวายสักการะ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติจากดวงพระวิญญาณ เพราะการซ่อมนั้นช่างจำเป็นจะต้องขึ้นไปเหยียบย่ำบนพระแท่นเพื่อรื้อของเก่าออก

เมื่อช่างจีนผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไม่ได้บวงสรวงสักการะ พอมาถึงก็ขึ้นไปเหยียบย่ำรื้อเลย ทำให้จู่ๆ ก็พลาดตกลงมาจากพระแท่นราชอาสน์จนถึงกับสลบและมีอาการกระอักเลือดออกมาทางทวารทั้งเก้า ทั้งๆ ที่พระแท่นราชอาสน์นั้นมีระยะสูงจากขอบพระบัญชรถึงพื้นไม่ถึงเมตรแต่กลับทำให้ช่างจีนคนนั้นถึงกับสิ้นใจตาย จึงเป็นเหตุให้ทางผู้รับเหมางานนี้ต้องรีบเอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาถวายสักการะเป็นการใหญ่

บรรยากาศในวังหลวงสมัยก่อนในตอนกลางวันเมื่อเวลาไม่มีผู้คนสภาพแวดล้อมค่อนข้างน่ากลัวเพราะเงียบเชียบและยิ่งดึกๆ ก็ยิ่งวังเวง เรื่อง "ผีและโอปปาติกะ"ในวังหลวงมีอีกหลายเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมา บ้างก็ว่ามีทั้งวิญญาณของเจ้านายฝ่ายในและบางครั้งก็เป็นเทวดา
มีเรื่องเล่าจากบันทึกของตำรวจหลวงในวังท่านหนึ่งซึ่งท่านเล่าไว้อย่างสนุกและน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ชวนพิศวงเมื่อครั้งงานพระราชพิธีพระบรมศพล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 8 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เรื่องมีอยู่ว่าในเวลาดึกช่วงระหว่างงานพระราชพิธีนั้น พอพระบรมวงศานุวงศ์แขกระดับผู้ใหญ่กลับกันหมดแล้ว ก็จะมีทหารยามและตำรวจวังเฝ้าพระบรมศพอยู่โดยทหารจะยืนยาม 4 มุมของพระบรมศพ และจะมีการเปลี่ยนเวรกันเป็นกะ ในส่วนของการยืนยามด้านในซึ่งเป็นที่ไว้พระโกศศพทำด้วยทองคำแท้ๆ นั้นจะมีทหารมารักษาการณ์เฉพาะตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะมีเจ้าหน้าที่ทำงานคอยเฝ้าอยู่

สำหรับทหารที่มาเข้าเวรก็เป็นที่รู้กันว่าเมื่อเดินมาถึงจุดนี้จะต้องทำความเคารพพระบรมศพเสียก่อนด้วยการวันทยาหัตถ์ แต่ก็มีบางคนที่มาเข้าเวรใหม่ยังไม่รู้ธรรมเนียมจึงไม่ได้แสดงความเคารพ มาถึงก็ยืนเข้าที่เลย ปรากฏว่าโดนดีกันเป็นแถวเพราะถูกฝ่ามือลึกลับของใครก็ไม่ทราบมาตบที่ท้ายทอยจนหัวคะมำ พอหันมาดูรอบๆ ตัวก็ไม่มีใคร ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ บางครั้งทหารยืนยามมาทั้งคืนพอใกล้สว่างก็ชักไม่ไหว ต้องทรุดลงนั่งและหลับยามไปงีบหนึ่งแต่พอเจ้านายมาตรวจเวรก็จะมีเสียงคนมาปลุกและเขย่าตัว บอกให้ตื่นเจ้านายมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเคยเห็นตัวคนปลุกซักครั้งเดียว


ข้อมูลจาก http://www.yingthai-mag.com/
ภาพประกอบเพิ่มจากทางอินเตอร์เน็ท
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 07:09:10 pm »

The Exorcist : เปิดตำนานขบวนการไล่ผี

--------------------------------------------------------------------------------

เรื่องราวเกี่ยวกับผีหรือวิญญาณของผู้ที่สิ้นชีพไปแล้ว แต่หวนกลับมาหลอกหลอน หรือสิงสู่อยู่ในร่างกายมนุษย์นั้นมีปรากฏ อยู่ในทุกเชื้อชาติศาสนา ซึ่งแต่ละชาติก็จะมี “หมอผี” หรือผู้ทรงวิชาอาคม มาขับไล่วิญญาณร้าย เหล่านั้นให้ออกจากร่างของผู้เคราะห์ร้ายด้วยวิธีต่างๆ กัน เช่น เมืองไทยเราเมื่อ “แม่นาคพระโขนง” มาอาละวาด ก็มีผู้ทรงศีลมา “จับ” วิญญาณใส่ในหม้อ หรือที่พบกันบ่อยครั้งก็คือ มี “ผีปอบ” มาสิงสู่ ก็ต้องเสกน้ำมนต์ รดราด เสกข้าวสารซัดสาด หรือแม้ กระทั่งใช้วิธีรุนแรงด้วยการเฆี่ยนตีขับไล่ ให้ผีหนีกระเจิดกระเจิงไป
กรรมวิธีไล่ผีนั้นภาษาอังกฤษเรียกว่า เอ็กซอร์ซิสม์ (exorcism) ซึ่งครั้งนี้เราจะนำเอาวิธีการไล่ผีของดินแดนต่างๆ มาเล่าสู่กันฟัง

เริ่มจากเอเชียใกล้ๆ บ้านเราก่อนที่ทิเบต ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดนั้น มีพิธีกรรมหนึ่งเรียกว่า “เชธุร” ซึ่งใช้สำหรับการขับไล่เจตภูตโดยเฉพาะ ดังเช่นภาพประกอบที่นำมาลงไว้ เป็นพิธี กรรมที่ทำขึ้นใน พ.ศ.2524 ที่ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย (เนื่องจากพระทิเบตได้ ลี้ภัยจากดินแดนจีนตั้งแต่ พ.ศ. 2493) สาเหตุคือ ครูผู้สอนเด็กๆ ทิเบตได้ถึง แก่กรรม วิญญาณของเขาได้กลายเป็นปิศาจร้าย ที่หิวโหยและเข้าสิงชาวบ้าน เพื่อกระทำการอันน่าหวาดกลัวต่างๆ

ในการขับไล่วิญญาณนี้ ก่อนอื่นท่านสาธุคุณผู้ทำพิธีจะต้องอัญเชิญเทพเจ้า ที่นับถือมาเข้าทรงในร่างของท่านก่อนเป็นการสร้างพลังและอำนาจ จากนั้นก็จะนำเอาไม้สลักทาสีที่เป็นรูปภาพจำลองปิศาจต่างๆ ถึง 84,000 ตน มาคัดเลือก เอารูปที่ตรงกับลักษณะปิศาจครูผู้นั้นไว้ ครั้นแล้วก็เอาแป้งมาปั้นเป็นตุ๊กตาขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วสวดมนต์ท่องคาถาเรียกวิญญาณปิศาจ ให้เข้ามาอยู่ในตุ๊กตา ขณะเดียวกัน ท่านลามะก็จะเอามีดหมอแทงและสับตุ๊กตาขาดเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปเผาในหม้อโลหะ ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลายาวนานถึง 3 วัน
เมื่อประหารเจ้าปิศาจจนมอดม้วยเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ก็เอาขี้เถ้าไปฝังโดยสวดคาถาสะกด วิญญาณไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านอีกต่อไป ก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี
ในคริสต์ศาสนาก็มีพิธีขับไล่ปิศาจมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วเช่นกัน
โดยมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล Mark 1 : 32-34 กล่าวว่า “ค่ำวันนั้น หลังจากพระสุริยาลับฟ้า พวกเขาได้นำเหล่าผู้ป่วยและผู้ที่ถูกวิญญาณปิศาจสิง มาให้พระองค์ (พระเยซู) รักษา ผู้คนทั้งเมืองได้มาออดูกันอยู่ที่ปากประตู และพระองค์ก็ได้รักษาผู้ป่วยจำนวนมาก ให้หายจากโรคนานาชนิด แล้วพระองค์ยังขับไล่ปิศาจหลายตนให้ออกจากร่างคนเจ็บด้วย”

ปี พ.ศ.2154 นิกายโรมันคาทอลิก ได้ตั้งพิธีกรรมไล่ผี (RITUALE ROMANUM) ขึ้น อย่างเป็นทางการ โดยนำเอาระฆังโบสถ์มาทำเป็นหม้อสำหรับปรุง “น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งประกอบด้วยผลเชอร์รี่ น้ำมันมะกอก และสมุนไพร ผู้ใดมีอาการป่วย อันเนื่องจากปิศาจ เข้าสิงก็นำตัวมากรอกน้ำมนต์ ซึ่งคนป่วยจะสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อันแสดงถึงว่ามีปิศาจสิงอยู่จริง

ในยุคนั้นไม่เพียงแต่โรมันคาทอลิก แต่โปรเตสแตนต์และ พวกยิวก็มีพิธีกรรมไล่ผีเช่นกัน แต่โดยเหตุที่การเข้าสิงนั้นยังไม่เป็นที่ประจักษ์ชัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่เจ็บไข้จากโรค และพยาธิต่างๆ หาใช่จากปิศาจอย่างใดไม่ ดังนั้นกาลต่อมา นิกายทั้งหลายจึงลดบทบาทในเรื่องนี้ลง
อย่างไรก็ตาม แม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีการไล่ผีอยู่ และในระดับผู้นำชั้นสูงของศาสนาด้วย โดยท่านสันตะปาปาจอห์นพอลที่ 2 ได้ทรงทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายที่มาสิงอยู่ในร่าง ของสาวน้อยผู้หนึ่ง ในวันที่ 27 มีนาคม 2525 แม้ว่าทางวาติกันจะไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดในเรื่องนี้ แต่ท่านสาธุคุณ กาเบรียล เอมอร์ธ ผู้เป็นหลักในพิธีขับไล่วิญญาณแห่งกรุงโรม ได้ยืนยันว่า

“ทางโบสถ์ของเราไม่สงสัยเลยว่าปิศาจนั้นมีอยู่จริง แม้ทุกวันนี้ บ้านเมืองจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องนี้ก็ยังคงมีอยู่อย่างแน่นอน”

คุณพ่อเอมอร์ธยังระบุอีกว่า จากผู้ป่วย 50,000 ราย ที่มาพบท่าน มีอยู่ 84 ราย ที่ถูกปิศาจเข้าสิงจริงๆ ท่านได้เห็นเหตุการณ์ ประหลาดๆ ที่บังเกิดขึ้นกับพวกเขา อาทิ ร่างลอยขึ้นสู่เพดาน อาเจียนออกมาเป็นตะปู เศษแก้ว แม้กระทั่งชิ้นส่วนอุปกรณ์วิทยุ บางคนมีพละกำลังมหาศาลเหลือเชื่อ แต่บางคนก็อ่อนเปลี้ยเป็นอัมพาต นอกจากนี้ ปิศาจยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ในรูปของการบันดาลให้วัตถุสิ่งของลอยว่อนไปทั่ว

แหม...ในลักษณะนี้ก็คล้ายกับคนป่วยของไทยเราที่ถูกเสกของเข้าร่าง วัตถุยอดนิยมของเรานอกจากจะเป็นตะปูสนิมเขรอะ แล้วก็ยังมีเส้นผม เส้นขนเป็นขยุ้ม “หมอผี” เอาไข่ต้มมาคลึงตามตัวแล้วผ่าไข่ออกมาเจอสิ่งของเหล่านี้เพียบ
นิกายแองกลิคัน ซึ่งเป็นศาสนาคริสต์ทางการของอังกฤษก็มีการฝึก ผู้ปฏิบัติการไล่ผี ภายใต้กฎเกณฑ์เข้มงวด ที่ออกมาใช้ในปี พ.ศ. 2518 ทั้งนี้ หลังจากเหตุการณ์ในปี 2517 ที่ชายผู้หนึ่ง ถูกปิศาจเข้าสิง และฆ่าภรรยาของตนเองตาย ในการพิจารณาคดีนี้ทนายจำเลยได้ระบุว่า ผู้เป็นสามีได้วิกลจริตไปขณะหนึ่ง อันเนื่องจากถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ข้ออ้างของเขานั้นมีการรับรองโดยท่านสาธุคุณชั้นผู้ใหญ่แห่งคริสต์ศาสนาด้วย

อย่างไรก็ตาม มีหลายครั้งที่ขบวนการไล่ผีถูกนำมาใช้อย่างไม่สมควร และกลายเป็นผลร้ายต่อผู้ป่วย ทั้งนี้ ท่านสาธุคุณ โดมินิก วอล์คเกอร์ ประธานคณะศึกษาคริสเตียน ซึ่งเป็นผู้ทำพิธีเอ็กซอร์ซิสม์ประจำโบสถ์ ได้กล่าวยอมรับว่า มี “หมอผีเถื่อน” ซึ่งปราศจากความรู้ในการขับไล่วิญญาณ และใช้วิธีเฆี่ยนตีคนป่วยเพื่อให้วิญญาณปิศาจหลีกลี้หนีไป
สตรีเคราะห์ร้ายรายหนึ่งถูกนำไปขังในห้องมืดอับเพื่อบีบคั้นปิศาจ แต่กลับสร้างความหวาดผวาให้กับเธอจนถึงขั้นคลุ้มคลั่งเสียสติ นั่นไม่ใช่ผลที่เกิดจากปิศาจเข้าสิง แต่เป็นผลจากวิธีการทารุณที่พวกหมอผีเถื่อนใช้กับเธอต่างหาก
สตรีอีกคนหนึ่งวัย 56 แห่งเมืองมิด-แลนด์ ต้องสูญเสียงานในบริษัทประกันภัย เนื่องจากนักบวชเอ็กซอร์ซิสม์ประจำท้องถิ่น ระบุว่า เธอถูกวิญญาณปิศาจถึง 100 ตนคุกคาม

“ดิฉันถูกกักขังพร้อมกับคนอื่นๆ และโดนตวาดตะคอกให้วิญญาณออกจากตัว จนดิฉันประสาทเสีย”
หรือสตรีวัย 50 อีกคนหนึ่ง ซึ่งถูกระบุว่าวิญญาณปิศาจเข้าสิง
“ดิฉันถูกเขาพยายามล้างสมอง เขาให้ ดิฉันดูโทรทัศน์เฉพาะ บางรายการ อ่านได้แต่ หนังสือบางเล่ม มิฉะนั้นจะถูกปิศาจเล่นงาน”

เธอต้องไปพบจิตแพทย์และ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานถึง 5 สัปดาห์

ไทยเราก็มีวิธีไล่ผีแบบโหดๆ ช่นกัน คนไข้ที่มีลักษณะคล้ายผีปอบเข้าสิง อาจถูกน้ำมนต์ เย็นๆ รดจนหนาวสะท้าน (ยิ่งแสดงถึงอาการถูกผีเข้าจริงๆ) หรือโดนแส้ เฆี่ยนตีจนระบมตายไปเลย

เรื่องของภูตผีวิญญาณตลอดจนอำนาจลึกลับนั้น เป็นสิ่งพิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ พวกเราจึงต้องพิจารณาให้ รอบคอบ ไม่หลงเชื่ออย่างงมงาย แต่ก็ไม่ควรลืมถ้อยคำอมตะไว้ด้วย

"ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่"
ขอมูลจาก http://board.palungjit.com/showthread.php?t=168578
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: มกราคม 28, 2009, 05:23:27 pm »

 Sad ปฏิบัติธรรมกันไปทำไม  Sad


ทุกวันนี้ใครๆก็พากันกล่าวถึงการปฏิบัติธรรม ไม่เฉพาะผู้อาวุโสที่อาจถึงเวลาที่ภารกิจเบาลงจึงมีเวลาเข้าวัด แต่ยังแพร่หลายไปในกลุ่มคนวัยทำงาน เยาวชน แม้แต่อาชีพบันเทิงเช่นดาราก็ยังแสดงตนว่าได้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
แต่ละคนก็มีเหตุผลต่างๆกันในการใฝ่ธรรม เหตุปัจจัยอาจประกอบส่งให้จนถึงมีศรัทธาที่นำไปสู่การไปลงมือศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่ออบรมจิตของตนอย่างจริงจัง
การที่เราสามารถ ควบคุมจิตให้อยู่ภายใต้อำนาจของตนได้ และอบรมฝึกฝนจิตให้มีพลัง ก็จะสามารถละกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามหลักของศาสนาพุทธ การเจริญวิปัสสนาภาวนาเป็นแนวทางที่ทำให้ละกิเลสต่างๆได้ เพราะกุศลจะมีกำลังมากกว่าอกุศล ถ้าอกุศลมีกำลังมากกว่า เราคงต้องตกเป็นทาสของความ รัก โลภ โกรธ หลง ถูกอวิชชาหรือความไม่รู้ครอบงำอยู่เสมอ
หลายคนคิดว่าการไปปฏิบัติธรรมคือการปลีกวิเวก ขจัดกิเลสของตนเอง เพื่อความสุข เพื่อสร้างกุศลของตนเอง ละทิ้งสังคมที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา หรือพูดง่ายๆว่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว เอาตัวรอดคนเดียว ใครจะเป็นทุกข์ ยากเข็ญ เดือดร้อนเพียงใดไม่ได้อยู่ในการรับรู้ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ผู้ที่ประสงค์ปฏิบัติธรรมอย่างหลุดพ้นทางโลกทั้งทางกายและใจ คือการเป็นนักบวช ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นคำสอนทางพุทธศาสนาที่นำผู้นับถือทุกคนให้มุ่งไปในทิศทางนั้น และแม้เป็นนักบวชก็ยังสามารถทำประโยชน์แก่สังคมได้มหาศาล หาใช่การมุ่งตัดตนจากสังคม
ผู้ที่ยังต้องเป็นคนธรรมดา ประกอบสัมมาชีพ มีครอบครัว มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมนี่แหละเป็นผู้สมควรปฏิบัติธรรมเพื่อความสุขสงบแห่งตนเองและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นคือการเจริญปัญญา ทำให้เราทำงานและอยู่ร่วมกับผู้คนอย่างใช้ปัญญา ไม่ใช่ใช้กิเลสและอารมณ์ขับเคลื่อนชีวิต
ผู้เขียนพบว่าการปฏิบัติธรรมทำให้มองเห็น เข้าใจกิเลสทั้งของตนเองและผู้อื่น และต้องการพัฒนาจิตใจของตนเองให้เข้มแข็งต่อสิ่งที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นความรัก โลภ โกรธ หลง การค่อยๆฝึกฝนขัดเกลา ทำให้จากการเป็นคนโกรธง่ายและมักแสดงอารมณ์ ทั้งยังทนไม่ได้กับความไม่เอาไหนของคน(อัตตาสูงมาก) กลายเป็นคนที่เมื่อโกรธปุ๊บ จะรู้ตัวและรีบทิ้งอารมณ์โกรธ กลับเข้าสู่ความเป็นปกติ เมื่อหลุด คือความโกรธครอบงำ ทำให้ใช้วาจาแสดงอารมณ์ในบางครั้ง ก็จะมองเห็นทุกข์ที่โกรธ เกิดความละอายมาก และยิ่งมีความพยายามที่จะปรับปรุงตนเอง  นอกจากนั้นยังสามารถคิดอย่างมีเมตตาต่อผู้ที่ทำผิดพลาดและผู้ที่ยังมีความหนาอยู่ด้วยกิเลส โดยเห็นว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง” ทำได้แค่นี้ก็ภูมิใจในตัวเองพอสมควร ไม่นึกว่าตัวเองจะเป็นคนอย่างปัจจุบันนี้ได้
เคยได้ยินได้ฟังเหมือนกันที่ผู้ปฏิบัติธรรมได้เห็นสวรรค์วิมานบ้าง รู้สึกตนว่ามีอิทธิฤทธิ์บ้าง หรือเห็นนิมิตต่างๆนานา แล้วภูมิใจว่าวาสนาดี ทำวิปัสสนาได้สำเร็จ ครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้รู้จริงๆท่านจะเตือนว่า แนวทางปฏิบัติที่ไปหมกมุ่นทางนั้นไม่ใช่ทางแห่งการพ้นทุกข์
พระราชวุฒาจารย์ หรือหลวงปู่ ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่ปรากฏเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้น จะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก” และท่านยังได้ชี้ว่า “ที่เห็นนั้นเขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง”
ผู้จะปฏิบัติธรรม อบรมจิตจึงต้องหาครูบาอาจารย์ดีๆที่จะสอนและชี้แนะแนวทางที่นำไปสู่ปัญญาแห่งการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ไม่ไปเสียเวลากับนิมิตพิสดาร หรือแม้แต่ไม่ไปติดอยู่กับภาวะปีติสุขที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติธรรม
บันทึกการเข้า
drdr61♥
ซุปเปอร์ วีไอพี
member
*

คะแนน292
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2663


ดูสิ่งที่มากระทบใจ อย่าเอาจิตไปปรุงแต่ง


อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: มกราคม 28, 2009, 08:02:53 pm »

 การปฏิบัติธรรมทำให้มองเห็น เข้าใจกิเลสทั้งของตนเองและผู้อื่น และต้องการพัฒนาจิตใจของตนเองให้เข้มแข็งต่อสิ่งที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นความรัก โลภ โกรธ หลง การค่อยๆฝึกฝนขัดเกลา ทำให้จากการเป็นคนโกรธง่ายและมักแสดงอารมณ์ ทั้งยังทนไม่ได้กับความไม่เอาไหนของคน(อัตตาสูงมาก) กลายเป็นคนที่เมื่อโกรธปุ๊บ จะรู้ตัวและรีบทิ้งอารมณ์โกรธ กลับเข้าสู่ความเป็นปกติ เมื่อหลุด คือความโกรธครอบงำ ทำให้ใช้วาจาแสดงอารมณ์ในบางครั้ง ก็จะมองเห็นทุกข์ที่โกรธ เกิดความละอายมาก และยิ่งมีความพยายามที่จะปรับปรุงตนเอง  นอกจากนั้นยังสามารถคิดอย่างมีเมตตาต่อผู้ที่ทำผิดพลาดและผู้ที่ยังมีความ หนาอยู่ด้วยกิเลส โดยเห็นว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง” ทำได้แค่นี้ก็ภูมิใจในตัวเองพอสมควร ไม่นึกว่าตัวเองจะเป็นคนอย่างปัจจุบันนี้ได้
  หากท่านกำลังมองหาที่ ๆ สงบ เพือ่ใช้ ปฏิบัติธรรม  ผมเคยบวชอยู่วัดแห่งหนึ่ง เป็นเกาะกลางน้ำ เป็นป่าดงดิบที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง
ชื่อ"วัดดอนธาตุ" อยู่อำเภอ พิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ที่นั่นมีความสงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การภาวนา มาก
เป็นวัด สุดท้ายที่ หลวงปู่ เสาร์ กนตสีโล (เป็น พระอาจารย์ ของ หลวงปู่ มั่น ภูริทตโต )ได้สร้างขึ้นเป็นวัดสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะ มรณะภาพ
เดินทางผ่าน ไปแวะ  ชม เจดีย์ หลวงปู่เสาร์ ได้ครับ 
บันทึกการเข้า

คนเราต่างที่มา ต่างที่ไป ย่อมคิดและทำอะไรที่ต่างกัน ยอมรับและเข้าใจ  จะสงบสุข
ขายอุปกรณ์ไวเลส และสายอาศไวเลส wifi
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: มีนาคม 01, 2009, 06:15:17 pm »

การแก้กรรมแบบ “ผู้ครองเรือน”

--------------------------------------------------------------------------------


 
ยุภาวรรณ ปัทมสนธ์

 
หากผู้เขียนจะบอกว่า... “เจ้ากรรมนายเวร” นั้นมีจริง คุณผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ ?
แน่นอนว่า เหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ที่บอกเล่ากันมาปากต่อปากนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่เหลวไหล งมงาย ของคนที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน แต่หากเมื่อใดที่ใครประสบกับตัวเอง ก็จะต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง

และหากใครที่เชื่อเรื่อง “กรรม” ก็จะเข้าใจเรื่องของ “พลังจิต” ว่า...มีจริง
เรื่องของพลังจิตนี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษากันมานานว่า ทำไมสมณะพระคุณเจ้า และบรรดาพระเกจิทั้งหลายที่ตั้งมั่นอยู่ในสมถกรรมฐาน จึงเกิด “ปัญญา” จนกระทั่งระลึกรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า และเหตุการณ์ในอดีตชาติที่ผ่านมาได้ หรือแม้แต่บุคคลธรรมดา หากศึกษาและฝึกจิตให้มีพลังแล้ว ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่หยั่งรู้ได้ ทั้งจิตยังมีอานุภาพ คือมีเดชและบารมี เพราะจิตของคนผู้นั้นใสกระจ่างและสงบ เรียกว่ามี “จิตตานุภาพ” รวมทั้งยังมีความสามารถที่จะนำ “พลังจิต” นั้น มาแก้กรรมให้ตัวเองได้อีกด้วย

ผู้เขียนอยากจะบอกว่า คนเราสามารถแก้กรรมได้ด้วยตัวเอง ถ้าหากรู้วิธี แต่ว่าก่อนอื่นเราต้องฝึก “จิต”ของเราให้มีพลังเสียก่อน และเมื่อจิตมีพลังแล้ว เราจะสามารถตรวจกรรมของตัวเราเองได้ว่า ชาตินี้ หรือ ชาติที่แล้ว เราเคยไปทำบาป ทำเวรกับใครไว้บ้าง บางคนอาจจะเจ็บป่วย หรือมีเคราะห์ซ้ำๆ ซากๆ หรือมีแต่เรื่องทุกข์ร้อนเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป ทำอย่างไรก็ไม่หายเสียที ผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านนี้ท่านได้แนะนำว่าให้เราตรวจหากรรมของเราโดยใช้ “จิตที่เป็นสมาธิ” หรือที่เรียกกันว่า “จิตมีพลัง” นั่นแหละ ตรวจกรรมเก่าดูว่ามีอะไรแทรกซ้อนอยู่เบื้องหลังการเจ็บป่วยทางร่างกายโดยที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เราก็จะได้รู้ด้วยตัวเองว่า สาเหตุที่เกิดทุกข์ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น เกิดจาก “ดวงวิญญาณ” ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร มาทวงกรรมจากเรานั้นเป็นใคร เราเคยไปสร้างกรรมอะไรกับเขาไว้ และเขาต้องการให้เราชดใช้อะไรแก่เขา

การฝึกจิตช่วยแก้กรรมอย่างไร เรื่องนี้ผู้เขียนได้ไปฟัง...คุณยุพาวรรณ ปัทมสนธ์ ...บรรยายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิต เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2545 ซึ่งเธอได้เล่าจากประสบการณ์ที่เธอประสบมาเกี่ยวกับเรื่อง “กรรมเก่า” ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน จึงได้เก็บเรื่องราวมาฝากคุณผู้อ่าน... คุณยุพากล่าวถึงการใช้พลังจิตในการแก้กรรมในวันนั้นว่า...คนเราทุกคนเกิดมา ล้วนแล้วแต่มีกรรมติดตัวมาด้วยกันทุกคน แต่เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่ากรรมของเราที่เคยทำมานั้นเป็นอย่างไร

“ตัวดิฉันเองได้ประสบมาแล้วจึงรู้ว่า อ้อ...นั่นมันคือกรรมของเรา คือคนเราทุกคนนั้นไม่มีใครเลือกเกิดได้นะคะ เพราะทุกคนเกิดมาตามกรรม ที่เราได้กระทำมาในอดีตชาติ บางคนเกิดมารวย บางคนเกิดมาจน บางคนเกิดมาสวย บางคนก็ไม่สวย อันนี้ถือเป็นกรรม เช่นกันนะคะ ในเมือ่เราเกิดมาแล้วยังไม่ดีเท่าที่ควร เราก็ใช้จิตของเราพิจารณาว่า ทำไมเราถึงเกิดมาต่างกับคนอื่นเขา เราสามารถแก้ตรงนี้ได้ ถ้าเราสามารถแก้ตัวเองได้ รู้เองได้ วิบากกรรมของเราก็เริ่มจะหมดแล้ว “

ทีนี้ จะมีวิธีแก้อย่างไร?...คุณยุพาวรรณแนะนำว่า...
เราก็ต้องมาพิจารณาโดยการนั่งสมาธิเข้าไปถึงจิตของเรา
“การแก้กรรมในแบบของดิฉันเรียกว่า...สายครองเรือน ดิฉันก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากมาย เพียงแต่เริ่มคิดๆ ดูว่า เอ๊ะ...ทำไมเพื่อนๆ ที่อยู่รอบตัวเราเขาถึงมีชีวิตดีกว่าเราทั้งนั้น แต่ทำไมเราถึงลำบากอยู่คนเดียว ก็มานั่งคิดๆ ดู แล้วพอดีมาเจออาจารย์คนหนึ่งท่านบอกว่า... พลังจิต สามารถแก้กรรมได้ ดิฉันก็กลับมาคิดว่ามันสามารถแก้กรรมได้อย่างไร ทำไมแค่จิตของเราจึงแก้กรรมได้ ไม่น่าเชื่อ

ชีวิตคนเราพอ “อุแว๊” ออกมากรรมของเราก็เปิดแล้ว เด็กบางคนเกิดมามีพ่อแม่ที่แสนจะร่ำรวย สบาย...แต่เด็กบางคนต้องลำบาก ขอทานเขากิน เพราะพ่อแม่ไม่มีอะไรให้ ก็มานั่งพิจารณาดู อ๋อ...มันเป็นเรื่องของกรรม เสร็จแล้วดิฉันก็มานั่งวิปัสสนา แรกๆ ก็ยังไม่เห็นอะไร พออยู่ต่อมา...เมื่อทำไปเรื่อยๆ ดิฉันก็เริ่มรู้ด้วยตัวเอง”

คุณยุพาวรรณ มีเรื่องประสบการณ์ของเธอมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเรื่องนี้แม่เธอจะยืนยันว่าเกิดกับเธอจริง แต่ก็อยากจะขอให้ท่านผู้อ่าน ได้ใช้วิจารณญาณเอาเองว่าจะเชื่อหรือไม่...

“ตัวเองได้ประสบมาจากกรรมที่เกิดกับลูกชาย ซึ่งเมื่อแรกเกิดเขามีอาการครบ 32 แต่เขาเป็นเด็กดาวน์ซินโดรม สมองเขาจะช้ามาก ตอนอายุ 3 ขวบ ไอคิว 35 ไม่สามารถจะเรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง และพออยู่ต่อมาต้องเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากเขามีอาการหอบ หอบจนหมอต้องใส่ออกซิเย่นเพื่อช่วยหายใจตลอดเวลา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดิฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
จนอยู่มาวันหนึ่ง ...ตอนเช้ามีความรู้สึกว่าเราน่าจะใส่บาตรนะ แล้วโรงพยาบาลก็อยู่ใกล้วัดพอดี ก็เลยไปใส่บาตร พอใส่บาตรกลับมาก็เกิดความคิดที่ว่า...อยากจะรู้เหลือเกินว่า กรรมที่มาเกิดกับลูกชายเนี่ย เป็นอะไร

พอกลางคืนระหว่างที่เฝ้าลูก เราก็ดูหน้าลูก คิดไปด้วยความสงสารลูกว่า...ลูกหนอ เกิดมาทำไมถึงมีกรรมอย่างนี้ ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ แม่จะทำอย่างไรดีถึงจะช่วยลูกได้ ก็เลยนั่งสมาธิประมาณ 15 นาที เอาจิตตรงนั้นมาโยงที่ลูก ความที่เป็นแม่ลูกกันก็เห็นเป็นภาพว่า ระหว่างดวงจิตของเรากับดวงจิตของลูก ดวงจิตของเราอยู่สูง ดวงจิตของลูกอยู่ต่ำ ก็ถามจิตลูกไปว่า กรรมนี้มาอย่างไร ? แล้วก็เกิดความรู้สึกเหมือนมีใครมาบอกว่า ให้คิดถึงเมื่อชาติที่แล้วว่าเคยไปทำอะไรกับใครมา ถ้าพูดโโยทั่วไปแล้วใครล่ะที่สามารถนึกถึงชาติที่แล้วได้ว่าเราเกิดเป็นอะไร เพราะเราเกิดมาเขาจะไม่ให้เราจำชาติเกิดของเราได้ นอกจากคนที่มีจิตสูงจริงๆ เขาจึงสามารถระลึกชาติได้

ความจริงแล้วพลังอำนาจจิตคือความเร้นลับที่เราไม่สามารถจะพูดออกมาได้ แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ยังต้องใช้พลังอำนาจจิตในการที่จะขอให้ท่านระลึกได้ ...

พอดิฉันนั่งและได้คิดถึงท่าน ก็เกิดปิ๊งขึ้นมาว่า นี่คงเป็นกรรม อย่างน้อยลูกเราคงต้องไปทำอะไรมา ถึงได้เกิดอาการหอบไม่หยุด แล้วก็เห็นน้ำ เป็นไอขึ้นมา และเห็นคนสำลักน้ำ มันเห็นเป็นภาพได้ยังไง ยังแปลกใจอยู่ทุกวันนี้
ในวันต่อมา...เวลากลางคืนก็นั่งสมาธิเช่นเคย อยู่ๆ ก็เห็นคนนะคะ ตั้งแต่สมัยไหนไม่ทราบ เห็นคนๆ หนึ่ง แล้วก็เห็นลูกของดิฉันใช้คนๆ นั้นแบกของใส่เกวียน ลูกก็ขึ้นไปนั่งบนเกวียนให้เขาลากเกวียนไปให้ ในสมาธิเห็นผู้ชายคนนั้นไปไม่ไหว แต่ลูกก็ยังเอาไม้ตีหลังเขา ให้เขาไป เมื่อเห็นอย่างนี้ดิฉันจะช่วยอย่างไรได้ คิดไม่ออกเลยว่าจะแก้กรรมได้อย่างไร

ทีนี้ในการแก้กรรมสายผู้ครองเรือนนั้น เมื่อเราสามารถนั่งสมาธิแล้วใช้จิตของเราถามกรรมของเราเองได้ แล้ววิธีแก้กรรมก็คือ “การเขียนกุศล” เพราะในพระพุทธศานาเชื่อว่า การทำบุญกุศลจะทำให้เรารอดพ้นจากกรรม และแม้จะไม่มีเวลาไปทำบุญเราก็ใช้วิธีเขียนกุศลไว้ก่อนได้ ส่วนกุศลจะทำมากทำน้อยแล้วแต่ว่าเป็นกรรมหนักกรรมเบา

วิธีการเขียนกุศล ในการแก้กรรมสายผู้ครองเรือนนั้นคือการกรวดน้ำ แล้วอธิษฐานอุทิศผลบุญและขอขมาลาโทษต่อเจ้ากรรมนายเวรในสิ่งได้กระทำล่วงเกินลงไปในอดีตชาติ ตัวอย่างของการกล่าวคำอธิษฐานในระหว่างกรวดน้ำ มีตัวอย่างเช่น...

“กุศลที่ทำสังฆทาน 3 องค์ ครั้งนี้หากในชาติเก่าที่ผ่านมา เคยฆ่า ทำลายคนโดยมีโมหะจริตถึงแก่ความตายเอาไว้ ที่มีเป็นวิญญาณอาฆาตแค้นอยู่ ขอให้เอาเป็นกุศลนี้ไปแทน ที่มีผิดพลาดโดยตั้งใจ และ ไม่ได้ตั้งใจ ขอเป็นอโหสิกรรมกันเพียงแต่แค่นี้”
หรือ...

“กุศลที่ทำสังฆทาน 7 องค์นี้ ในชาติเก่าที่ผ่านมา เคยลักทรัพย์ ลักสมบัติของคนใด ครอบครัวใดไว้ ทำให้เจ้าของทรัพย์สมบัติถึงหมดตัวไม่มีสมบัติเดือดร้อน แค้นอยู่ ขอให้เอาเป็นกุศลนี้ไปแทน ที่มีผิดพลาดโดยตั้งใจ ขอเป็นอโหสิกรรมกันเพียงแค่นี้”

ฯลฯ
การใช้พลังจิตและการทำกุศลเพื่อแก้ตัวแก้กรรมด้วยวิธีนี้ คุณยุพาวรรณ ยืนยันว่าเห็นผลมาแล้ว คือเมื่อปฏิบัติก็จะประสบผลสำเร็จ

“โดยเฉพาะเรื่องลูกของดิฉันซึ่งหมอบอกรักษาไม่ได้แล้ว ตอนนี้ก็ดีขึ้น ไปเรียนได้แบบเด็กธรรมดา”

สุดท้าย...คุณยุพาวรรณ สรุปเรื่องกรรมว่า...ความผิดหวัง หรือ ไม่สมหวัง ล้วนเกิดจากกรรม ถ้าผู้ใดสนใจที่จะลองทำกุศลแบบนี้ดูเธอเชื่อว่าจะสมารถแก้กรรมตรงนี้ได้

“การทำกุศลก็ไม่ต้องทำอะไรยุ่งยาก ง่ายๆ ค่ะ ทำโดยสังฆทาน หรือ ทำบุญเลี้ยงพระ แต่ถ้าเราไม่มีเงิน เราก็ร่วมทำบุญได้ที่วัดทั่วๆ ไป อย่างที่วัดปากน้ำ เขาก็มีการเลี้ยงพระทุกวัน เพียงเท่านี้ดิฉันเชื่อว่าน่าจะผ่อนทุกข์ลงไปได้”

เรื่องของบาป-บุญ-คุณ-โทษ นั้นชาวพุทธส่วนใหญ่จะเชื่อว่ามีจริง แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าเราจะทำความดี และ เกรงกลัวบาปกรรม อย่างน้อยการไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันก็เป็นไม่สร้างกรรมให้เป็นผลติดตัวต่อไปในภายหน้า หรือ อาจจะเป็นชาติหน้าก็เป็นได้.


ที่มา นิตยสารหญิงไทย ฉบับที่ 665
__________________
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: มีนาคม 01, 2009, 06:20:10 pm »

  คนที่มีคุณธรรมสูง สังเกตง่ายนิดเดียว 
--------------------------------------------------------------------------------

คนที่มีคุณธรรมสูงสังเกตได้ง่ายนิดเดียวครับ คนๆนั้นจะเป็นคนที่ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ๆมีความสุขถึงแม้ว่าเค้าอาจจะไม่พูดอะไรเลยก็ตามแต่คนที่อยู่ใกล้ๆจะรู้สึกได้ว่าเวลาอยู่ใกล้คนๆนั้นเค้าจะรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกดีที่สุด
เป็นเหตุให้คนทั่วๆไปมักเข้าไปทักทายเค้าคนนั้นเสมอ ผู้ที่มีคุณธรรมสูงมักจะมีคนเข้ามาคุยด้วยหรือพยายามเข้าใกล้อยู่บ่อยๆ เพราะว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกดีแม้ว่าผู้ที่มีคุณธรรมสูงแทบจะไม่พูดอะไรเลยก็ตามแต่เค้าก็จะรู้สึกดีกับความรู้สึกดีๆยามที่อยู่ใกล้คนๆนั้น
ไม่เชื่อคุณลองสังเกตได้ เวลาคุณนั่งใกล้แล้วใครที่ทำให้คุณมีความสุขมากๆ และผู้อื่นมักจะเข้ามาหาคนๆนั้นเสมอ คนนั้นแหละครับคือคนที่มีเมตตาสูง

ขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/showthread.php?t=176556
 wav!!  wav!!  wav!!  wav!!
บันทึกการเข้า
kittanan_2589
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน630
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2363


NightBaron


เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: เมษายน 09, 2009, 08:37:08 am »

  Cheesy ขอบคุณครับที่ไห้ความรู้
 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: เมษายน 16, 2009, 07:33:26 pm »

การชำระหนี้สงฆ์

พวกเราบางคนเคยหยิบฉวยสิ่งของที่เป็นสมบัติของวัดหรือของสงฆ์ เช่น ก้อนหิน ก้อนดิน ผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ หรือบางทีทรายติดรองเท้าเรากลับออกมาจากวัด ฯลฯ แล้วเราเองก็ไม่ได้ทำบุญ บางทีเหตุการณ์เช่นนี้ อาจจะเกิดขึ้นตอนเราเป็นเด็กๆ ชอบซุกซนบ้าง เป็นต้น ซึ่งทางวัดและพระสงฆ์นั้นไม่มีเงินเดือนและไม่มีรายได้ใดๆ ทั้งสิ้น เงินที่ได้มาก็คือเงินที่พุทธศาสนิกชนและญาติโยมต่างๆ ไปร่วมทำบุญทั้งสิ้น ฉะนั้น ในบางครั้ง เราเข้าวัดและบางทีไปใช้ธูปเทียนวัดบ้างเพื่อจุดธูปไหว้พระ อาจจะดื่มน้ำมนต์และอาศัยไฟฟ้าของทางวัด เช่น พัดลม เป็นต้น แล้วลืมทำบุญ ฉะนั้นจะทำให้เราเป็นหนี้สงฆ์ทันทีโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น เพื่อไม่ให้ต้องติดหนี้สงฆ์ไปถึงภพหน้าชาติหน้า ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบว่าเราจะไปเกิดที่ใดภพใด จะมีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาหรือไม่ ฉะนั้น เพื่อเป็นการไม่ประมาทจึงควรถือโอกาสชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่วันนี้ทันทีที่มีโอกาสไปวัด เมื่อได้ไปทำบุญที่วัดใด คอยสังเกตตู้ที่ทางวัดเขาตั้งใจให้เราใส่เงินทำบุญเพื่อชำระหนี้สงฆ์ จะได้ไม่ติดค้างไปภพหน้าต่อไป 
เป็นสิ่งที่เกิดรอบตัวเราเองทั้งนั้น......................

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: