ตำนานมหาเทพ
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานมหาเทพ  (อ่าน 42326 ครั้ง)
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2008, 10:05:05 am »

เทพแห่งความรู้ทั้งมวล     เทพผู้ขจัดอุปสรรคทั้งปวง
 ประวัติพระพิฆเนศวร

     ความหมาย  พระพิฆเนศวร   หรือ   พระพิฆเนศ     

ทรงมีรูปร่าง   พระเศียรเป็นช้าง  พระกรรณกว้างใหญ่   งวงยาว   ทรงมีร่างกายเป็นมนุษย์    มี  4 , 6   หรือ  8  กร แล้วแต่พระภาค

       การบูชา     นมสด  หรือ  นมเปรี้ยว   น้ำสะอาด   ผลไม้   อ้อยควั่น   ขนมหวาน   ดอกไม้สด  หรือ  พวงมาลัย

     คาถาบูชา  ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ  ระลึกถึงองค์พระพิฆเนศวร

สวด   3 / 9 จบ            โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา

หรือ                           โอม ศรี คเณศายะ นะมะหะ


ยกตัวอย่าง :  อธิษฐานจิต  (บอกชื่อ - สกุล)

   ข้าพเจ้า ฯ   ขอองค์พระพิฆเนศทรงประทานความรู้  ความสามารถ  ความสำเร็จ ในหน้าที่การงาน (การเรียน)  การเงิน  ความรัก   พร้อมทั้งขจัดปัญหาอุปสรรคที่ข้าพเจ้าประสบอยู่   หรืออุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าให้หมดสิ้นไปด้วยเทอญ   

หรือข้าพเจ้าฯ   ขอองค์พระพิฆเนศทรงประทาน...........(สิ่งที่ปรารถนา , ความสำเร็จ)

หมายเหตุ   ท่านใดสวดขอพรเป็นประจำทุกวัน   ชีวิตเริ่มดีขึ้นหรือสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา     ท่านควรทานมังสวิรัต  สัปดาห์ละ 1 วัน   เช่นวันเกิดของตัวเอง (เกิดวัน  จันทร์  อังคาร  พุธ  พฤหัส ....)   เพื่อถวายให้องค์ท่านและเสริมสร้างบารมีให้กับตัวท่านเอง      ทั้งนี้อย่าลืม...!  อุทิศให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว  เจ้ากรรมนายเวร  เจ้าที่เจ้าทาง  สัพพเวสี   วิญญาณจรทั้งหลาย ฯลฯ

ถ้าท่านใดที่ประสพปัญหาและทุกข์ต่างๆ     และกำลังต้องการมองหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์   เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจหรือชีวิตท่าน     

ท่านลอง...ลอง...ตั้งจิตบูชาอธิษฐานถึง "องค์พระพิฆเนศ"   ถ้าท่านยังไม่มีองค์ท่านก็ไม่เป็นไร   ตั้งจิตให้เป็นสมาธิคือสิ่งสำคัญ   เมื่อถึงเวลาพระองค์ท่าน  จะมาอยู่กับท่านตามจิตที่ปรารถนา

โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา   ชะยาคเณศะ   ชะยาคะเณศะ   ***ข้าพเจ้าฯขอบรามีองค์พระพิฆเนศวร   โปรดประทานพรให้กับทุกท่านประสบความสำเร็จในสิ่งที่ท่านพึงปรารถนาทุกประการ

อ.แอนลัคกี้  เป็นคนหนึ่งที่นับถือและศรัทธา องค์พระพิฆเนศ  นานแล้ว

 



บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:02:58 am »

กำเนิดพระพิฆเนศวรเทพแห่งความสำเร็จ

เชื่อกันว่า ลัทธิการบูชาพระคเณศนั้น น่าจะมาจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งเป็นลัทธิการบูชาสัตว์ หรือลัทธิแห่งชัยชนะเหนือธรรมชาติ ชนพื้นเมืองของอินเดีย เชื่อกันว่าหนูเป็นสัญลักษณ์ของความมืด พระคเณศทรงขี่หนูจึงหมายถึงชัยชนะของแสงอาทิตย์ที่ขจัดความมืดให้สิ้นสุดลง

พระคเณศอาจจะมีต้นกำเนิดมาจากการเป็นเทพประจำเผ่าของคนป่า ที่อาศัยอยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่ของอินเดีย คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับฝูงช้างอันน่ากลัวจึงเกิดการเคารพในรูปของช้างชึ้น เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองและพัฒนาต่อมาเป็นเทพชั้นสูงของชาวอารยัน

ต่อมาได้พัฒนาเป็นเทพผู้ขจัดซึ่งอุปสรรค มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าของเทพที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งหลาย จนกระทั่งมีการรจนาปกรณ์ให้เป็นโอรสของพระศิวะเทพและพระนางปราวตีในเวลาต่อมา

แต่ในแง่ของคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์ได้บรรยายจุดกำเนิดของพระคเนศไว้หลากหลายตำนานตามความเชื่อในแต่ละลัทธิ พอจะสรุปเป็นหลักๆได้ดังนี้

ตำนานที่ 1. วิฆเนศวรปราบอสูรและรากษส
อสูรและรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะจนได้คำพรจากพระศิวะหลายประการ ยังให้เหล่าอสูรกลุ่มนี้ฮึกเหิมก่อความเดือดร้อนเป็นอันมาก พระอินทร์จึงทรงนำเทวดาทั้งหลายไปเข้าเฝ้าอ้อนวอนต่อพระศิวะ ขอให้พระองค์สร้างเทพแห่งความขัดข้องขึ้น เพื่อขัดขวางความพยายามของอสูรและรากษส พระองค์จึงทรงแบ่งส่วนกายหนึ่งให้เกิดบุรุษร่างงามจากครรภ์ของพระนางปราวตีและตั้งพระนามว่าวิฆเนศวร เพื่อทำหน้าที่ขวางทางอสูร รากษส และคนชั่วมิให้ทำการบัดพลีเพื่อขอพรจากพระศิวะ ทั้งยังเป็นผู้เปิดทางอำนวยความสะดวกต่อเทวดาและคนดีเพื่อเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ

ตำนานที่ 2. ปราวตีนำเหงื่อไคลปั้นเป็นลูก
ครั้งหนึ่ง ชยาและวิชยา พระสหายของนางปราวตีได้แนะนำว่าปกติพระนางมักจะต้องใช้บริวารของพระศิวะอยู่เป็นประจำ ถ้าหากพระนางจะมีบริวารเป็นของตนเองก็คงจะดีไม่น้อย พระนางเห็นด้วย จนวันหนึ่งขณะที่ทรงสรงน้ำอยู่ตามลำพังก็ทรงนึกถึงคำพูดของพระสหายจึงได้นำเอาเหงื่อไคลออกมาสร้างบุรุษรูปงาม สั่งให้ไปยืนเฝ้าทวาร มิให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นอย่างนี้มาหลายเพลา จนวันหนึ่งพระศิวะได้เสด็จมา ฝ่ายลูกก็ป้องกันแข็งขัน โดยไม่รู้ว่านั่นคือพ่อพระศิวะโกรธก็เลยสั่งให้ภูติและคณะของตนเข้าสังหารทวารบาลพระองค์นั้น บ้างก็ว่าพระศิวะพุ่งตรีศูลตัดเศียรลูก บ้างก็ว่าพระวิษณุเทพที่มาช่วยรบนั้นใช้จักรตัดเศียร ความทราบถึงพระนางปราวตีจึงเกิดศึกใหญ่ระหว่างเทพและเทพีขึ้นบนสวรรค์
ฝ่ายฤาษีนารอดอดรนทนไม่ได้ จึงได้เป็นทูตสันติภาพขอเจรจากับนางปราวตีเพื่อสงบศึก นางบอกว่าจะสงบศึกก็ต่อเมื่อลูกของนางฟื้นเท่านั้น
พระศิวะจึงสั่งให้เทวดาเดินทางไปทิศเหนือให้เอาศีรษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่พบมาต่อกับโอรสของนางปราวตี ปรากฏว่าเทวดาได้เศียรของช้างซึ่งมีงาเพียงข้างเดียวมา เมื่อพระคเณศฟื้นขึ้นมา ทราบความจริงว่า พระศิวะคือพระบิดาก็ตรงเข้าไปขอโทษเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระศิวะพอใจมากประสาทพรให้พระคเณศมีอำนาจเหนือภูติผีทั้งหลายและทรงแต่งตั้งให้เป็นคณปติ

ตำนานที่ 3. ขวางทางคนชั่วไปเทวาลัยโสมนาถและโสมีศวร
พระนางปราวตีทรงเอาน้ำมันที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมกับเหงื่อไคลปั้นเป็นรูปคนแต่มีเศียรเป็นช้างจากนั้นได้เอาน้ำจากพระคงคาปะพรมให้มีชีวิตขึ้น เพื่อทำการขัดขวางแก่คนชั่วที่จะไปบูชาศิวะลึงค์ที่เทวาลัยโสมนาถและเทวาลัยโสมีศวรเพราะคนเหล่านี้หวังจะไปล้างบาปเพื่อมิให้ตกนรกทั้งเจ็ดขุม ด้วยเหตุนี้ การที่วันคเณศจาตุรถี นิยมเอารูปปั้นพระคเณศมาจุ่มน้ำหรือนำเทวรูปปูนชิ้นเล็ก ๆมาทิ้งตามแม่น้ำคงคา ชะรอยจะมาจากความเชื่อที่ว่าน้ำจากแม่พระคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง

ตำนานที่ 4. พระคเณศ กฤษณะอวตาร
พระนางปราวตีมเหสีของพระศิวะไม่มีโอรส พระศิวะจึงทรงแนะนำให้พระนางทำพิธีปันยากพรต (พิธีบูชาพระวิษณุเทพ ในวันขึ้น 13 ค่ำเดือนมาฆะ) มีระยะเวลากำหนด 1 ปีเต็มและเมื่อครบกำหนด พระนางจะได้โอรสซึ่งเป็นพระกฤษณะอวตารไปจุติ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามคำตรัสของพระศิวะ ทวยเทพทั้งหลายมาร่วมอวยพรในกลุ่มเทพเหล่านี้มีพระศนิ (พระเสาร์) รวมอยู่ด้วย เมื่อพระศนิเหลือบมองพระกุมารทันใดนั้นเศียรกุมารก็ขาดจากพระศอกระเด็นไปยังโคโลกซึ่งเป็นวิมานของพระกฤษณะพระวิษณุจึงเสด็จไปยังแม่น้ำบุษปุภัทรเห็นช้างนอนหัวไปทางทิศเหนือจึงตัดเศียรช้างกลับมาต่อให้กับเศียรกุมารที่หายไป ตำนานนี้เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่สร้างโดยกลุ่มที่นับถือพระกฤษณะเป็นใหญ่

ตำนานที่ 5 ศิวะ-อุมาแปลงกายเป็นช้างเข้าสมสู่
ครั้งหนึ่งพระศิวะและพระนางปราวตีได้เสด็จมายังแถบภูเขาหิมาลัยได้เห็นช้างสมสู่กันก็บังเกิดความใคร่ พระศิวะจึงได้แปลงเป็นช้างพลาย ส่วนนางปาราวตีแปลงกายเป็นช้างพังร่วมสโมสรจนมีลูกเป็นพระคเณศ

 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:03:40 am »

ฤทธิ์แห่งปัญญา

มีตำนานที่กล่าวถึงความมีสติปัญญาและไหวพริบของพระคเณศไว้หลายตอน อย่างเช่นกรณี ที่ท่านเป็นผู้ลิขิตมหากาพย์ภารตะ

ครั้งหนึ่ง มหาฤาษีวยาสะมีความต้องการที่จะเขียนมหากาพย์ภารตะ แต่เกรงว่าตนจะทำเองไม่สำเร็จ จึงไหว้วานให้ผู้อื่นช่วย แค่ไม่มีใครกล้าอาสาที่จะรับผลงานชิ้นนี้ ฤาษีนารอดเห็นว่าพระคเณศองค์เดียวเท่านั้นที่จะเขียนมหากาพย์ชิ้นนี้ได้ ในที่สุดฤาษีวยาสะจึงต้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระคเณศ

พระคเณศบอกว่า จะเขียนตามที่ฤาษีบอก แต่ทันทีที่ฤาษีหยุดบอกจะหยุดเขียนทันที ฝ่ายฤาษีบอกว่า สิ่งที่พูดออกไปจากปากของเราต้องตีความให้ถ่องแท้ก่อนที่จะลงมือเขียน ฉะนั้นเมื่อฤาษีต้องใช้การคิดสำหรับโศลกต่อไปก็จะบอกศัพท์ยาก ๆเพื่อให้พระคเณศตีความเสียก่อนเพื่อเป็นการประวิงเวลา

พระคเณศจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดอัจฉริยะในฐานะที่เป็นผู้ลิขิต มหาภารตะ ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์มหากาพย์สุดยอดของฮินดู

อย่างไรก็ตาม เรื่องมหากาพย์ภารตยุทธ์นี้ แน่นอน คงไม่มีใครเชื่อว่ามาจากฝีมือพระคเณศแน่ แต่นั่นเป็นภูมิปัญญาของปราชญ์โบราณที่ต้องการจะบอกกับคนในยุคสมัยต่อไปว่า การบูชาครูเพื่อขอดวงปัญญาในการทำงานให้ลุล่วงนั้น เป็นสิ่งสำคัญในลำดับแรก โดยเฉพาะการรจนางานในเชิงพระคัมภีร์ เหมือนเช่นพระมหาธีรราชเจ้า มักจะประพันธ์อักขระเพื่อถวายบูชาต่อพระคเณศก่อนที่จะเริ่มงานประพันธ์ทุกครั้ง


มีอยู่หลายกรณี หลายเหตุการณ์ที่ท่านทรงแสดงความเป็นเทพแห่งปัญญาที่แท้จริง แต่กรณีที่เด่นๆก็อย่างเช่น กรณีเดินทางรอบโลกเพื่อผลมะม่วง

ในคราวหนึ่ง พระนางอุมาได้นำเอาผลมะม่วงมาถวายกับพระศิวะผลหนึ่ง ปรากฏว่าลูกทั้งสองคนคือ พิฆเนศวรและขันธกุมาร ต่างก็อยากจะเสวยมะม่วงผลนี้ด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้พระศิวะจึงอยากรู้ว่า ลูกทั้งสองคนนี้ใครจะเก่งกว่ากัน

โดยตั้งโจทย์ว่า ใครก็ตามหากเดินทางรอบโลกถึงเจ็ดรอบและกลับสู่วิมานปาวตา(วิมานของพระศิวะและพระนางอุมา) ก่อนผู้นั้นจะได้ผลมะม่วงลูกนี้

ว่าแล้วฝ่ายขันธกุมารก็ไม่รอช้า รีบขี่นกยูงตระเวนท่องโลกทันที ฝ่ายพิฆเนศแทนที่จะเอาอย่าง กลับเดินประทักษิณรอบบิดาเจ็ดรอบ และกล่าวว่า

"ข้าแต่พระบิดา พระองค์คือจักรวาล และจักรวาลคือพระองค์ พระองค์ผู้สร้างโลก และทรงเป็นบิดาแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทำประทักษิณพระบิดาเจ็ดรอบ ถือว่าได้กุศลเท่ากับเดินทางรอบโลกเจ็ดรอบ"
มหาเทวะศิวะเทพยินดีในคำตอบและชื่นชมในสติปัญญาจึงมอบผลมะม่วงให้กับพระพิฆเนศวรทันที

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:04:07 am »

วิธีการพิชิตศัตรู

พระพิฆเนศนั้นเป็นเทพที่มีลักษณะโดดเด่นกว่าเทพพระองค์อื่น นอกเหนือจากเรื่องมีพระเศียรเป็นช้างแล้ว นั่นคือ การนิยมการนำศัตรูเอามาเป็นพวก พระคเณศนั้นไม่นิยมที่จะล้างผลาญศัตรูให้ตายไปเหมือนเทพพระองค์อื่น แต่มักจะใช้ปัญญาที่มีอยู่เป็นทุนเดิมในการดำเนินกุศลโลบาย เพื่อให้ศัตรูมีโอกาสกลับใจมาเป็นคนดี หรือเรียกง่าย ๆก็คือ เมื่อยอมสวามิภักดิ์แล้วก็จะให้เป็นเทพบริวารไล่เรียงกันไป

บรรดาเหล่ารายชื่ออสูรที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระคเณศประกอบด้วย

มัตสระ (ที่มาของคเณศปางวักระตุณฑะ)
มะทะ เกิดจากฤาษีโจวะนะสร้างขึ้น (ที่มาของปางเอกทันตะ)

ยานาริลูกของอสูรทุระพุทธ (ที่มาของปาง ปุระณานันมโหกระซึ่งอวตารมาเป็นลูกพระลักษมี)

โลภาสูร กำเนิดจากความโลภของท้าวกุเบธ(ที่มาของปางคชนันท์)

โกรธาสูร เกิดจากความลุ่มหลงของพระศิวะที่เห็นพระวิษณุแปลงรูปเป็นสาววัย 16 (ที่มาของปางลัมโพทระ)

กามาสูร เกิดจากความลุ่มหลงของวิษณุเทพต่อชายาอีกพระองค์หนึ่ง ชื่อ พระแม่วฤนทา (ที่มาของปางวิกฎะ)

มมตาสูร เกิดจากเสียงหัวเราะของพระนางอุมา (ที่มาของวิฆนราช)

อหัมอสูร เกิดจากเสียงจามของสุริยเทพ (ที่มาของปางธูมรวรรณ)

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:04:49 am »

การอภิเษกสมรส
อันที่จริงเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่เสริมแต่งให้ความเป็นพระพิฆเณศวรมีความสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้นเอง เพราะพระชายาทั้งสองพระองค์ซึ่งเป็นธิดาของประชาบดีอิศวรรูปนั้นแทบจะไม่บทบาทอะไรเลยนอกจากคอยอยู่ปรนนิบัติพัดวี นวดแขน เกาขาไปตามเรื่อง พระชายาทั้งสองมีโอรสกับพระคเณศด้วย นางพุทธิให้กำเนิดลาภะ ส่วนนางสิทธิให้กำเนิด เกษม ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพุทธิ สิทธิ ลาภะ เกษม แต่ตำนานที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือ พระคเณศเป็นเทพที่ถือพรหมจรรย์

เรื่องการอภิเษกนั้น เรื่องราวดำเนินละม้ายคล้ายกับการชิงผลมะม่วง เพราะเมื่อถึงวัยที่โอรสทั้งสองพระองค์ของศิวะเทพและนางปราวตีเจริญเติบโตพอที่จะมีเหย้ามีเรือน แต่มีเงื่อนว่า พระศิวะจะจัดพิธีวาหะให้ต่อเมื่อลูกคนใดคนหนึ่งสามารถผ่านการเดินรอบโลกได้เจ็ดรอบด้วยเวลาอันรวดเร็ว

พระคเณศก็ทรงใช้การประทักษิณรอบพระศิวะเจ็ดรอบ แล้วให้คำอธิบายเหมือนกับเหตุการณ์ในตอนที่แย่งชิงผลมะม่วงกับพระขันธกุมาร

พระศิวะพอใจในคำอธิบายของพระคเณศมาก และตรัสสรรเสริญในภูมิปัญญาของโอรสในพระองค์ว่า

"โอ…ลูกรักเจ้าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมยอดและมีปัญญาเป็นที่สุดสิ่งที่เจ้าได้กล่าวมาเป็นจริงทั้งสิ้น ถ้าบุคคลหนึ่งได้มีปัญญาเป็นคุณสมบัติติดตัว แม้เมื่อโชคร้ายมาถึงเขา ความอับโชคนั้นย่อยถูกกำจัดด้วยปัญญา"

ว่าแล้วในคราวนั้น พระคเณศจึงได้พระชายาคราวเดียวกันถึง 2 คนคือนางพุทธิและสิทธิอย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น

 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:05:31 am »

เหตุแห่งการเสียงามีหลายตำนานมาก พอจะแบ่งได้ดังนี้

ตำนานแรก ปรศุรามใช้ขวานจาม
ปรศุรามนั้นเป็นอวตารของวิษณุเทพ กล่าวว่า ปรศุรามได้ยืมขวานจากพระศิวะไปทำลายเหล่ากษัตริย์ เมื่อเสร็จภารกิจจะเข้าเฝ้าที่เขาไกรลาส ระหว่างนั้นบริเวณพระที่นั่งชั้นใน พระศิวะมหาเทพกำลังสนทนาอยู่กับนางปราวตี พระคเณศไม่ยอมให้ปรศุรามเข้าพบ ปรศุรามโมโหเลยใช้ขวานของพระศิวะขว้างไปยังพระคเณศ พระองค์จำใจต้องใช้ใช้งาข้างซ้ายรับขวานนั้น ด้วยเหตุที่ท่านทรงมีความกตัญญูเป็นอย่างยิ่งในบิดา ครั้นจะต่อสู้กันไปก็อาจทำได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรกับการทำลายฤทธิ์เดชของอาวุธซึ่งเป็นของบิดาตนเอง

ตำนานสอง ได้เศียรช้างงาเดียว
เมื่อคราวที่พระศิวะได้ทำพิธีโสกัต์และพระวิษณุเทพพลั้งเผลอเปล่งวาจา ยังผลให้เศียรของกุมารหายไปนั้น ได้มีเทวโองการให้หาเศียรของมนุษย์ที่เสียชีวิตมาต่อให้ แต่ปรากฏว่าในวันอังคารนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดถึงฆาต มีเพียงช้างงาเดียวที่นอนตายอยู่ทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรมาต่อให้

ตำนานสามโดนพระศิวะใช้ขวานจาม
เมื่อคราวที่กุมารน้อยถือกำเนิดใหม่ ๆและเฝ้าปากทวารห้องสรงน้ำของพระแม่ปราวตีนั้นพระศิวะไม่ทราบว่าเป็นลูก เลยเกิดการต่อสู้กันพระศิวะโมโหจึงใช้ขวานขว้างไปโดนงาของพระคเณศหัก

ตำนานสี่ งาถอดได้เองตามธรรมชาติ
เมื่อคราวที่พระคเณศต่อสู้กับอสูรอสุรภัค พระคเณศแสดงเดชโดยการถอดงาของตัวเองขว้างไปที่อสูร

 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #6 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:05:52 am »

ความหมายของหนูกับช้าง

หนูกับช้างเป็นสัญลักษณ์ของการพึ่งพาและปรองดอง ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจและความมีชัยของฝ่ายที่อยู่เหนือกว่า

ในทางมนุษยวิทยาแล้วมีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า

หนูกับช้างเป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าสองกลุ่ม เผ่าที่มีชัยเหนือกว่าอาจจะเป็นชนกลุ่มที่นับถือช้างอยู่แต่เดิม จึงได้สร้างและยึดเอาประเพณีการนับถือช้างเป็นเทพเจ้ามาเป็นตัวแทนกลุ่ม

หรืออีกอย่างที่เป็นไปได้คือ คนสมัยดั้งเดิมนั้นประกอบอาชีพทางด้านกสิกรรม และแน่นอน หนูย่อมเป็นศัตรูอันร้ายกาจของไร่นา ภาพที่แสดงออกในรูปของช้างและงูที่เป็นสังวาลนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ทำลายหนูอันเป็นศัตรูสำคัญของผลิตผลทางการเกษตรอย่างชัดเจน ทั้งการนำหนูมาเป็นบริวารนั้น เนื่องจากหนูขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วเพราะหนูได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่มีความฉลาดและกัดทุกอย่างให้ขาดได้ ดังนั้นจึงเป็นความเหมาะสมสำหรับการเป็นพาหนะของเทพเจ้าแห่งปัญญา อันมีคุณสมบัติในการขจัดซึ่งอุปสรรค

 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #7 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:06:40 am »

ปางพระคเนศ

แม้ว่าพระคเณศจะมีพระนามมากมายถึง 108 พระนามไปจนถึง 1008 พระนาม แต่ในแง่เทวประติมานั้นมีอยู่เพียง 8 ถึง 9 ปางเท่านั้นที่คนนิยมบูชา โดยการบูชาในแต่ละปางก็ให้คุณที่แตกต่างกันออกไป เชิญเลือกบูชาได้ตามอัธยาศัยเลยครับ

ปางพาลคเณศ
เป็นพระคเณศในวัยเด็กรูปลักษณ์ที่เห็น มักจะเป็นพระคเณศยังคลานอยู่กับพื้น หรือยังอยู่ในอิริยบถไร้เดียงสาอย่างเด็ก ๆ ถ้าโตขึ้นมาหน่อย จะนั่งขัดสมาธิเพชรบนดอกบัวมี 4 กร ถือขนมโมทกะ กล้วย รวงข้าว ซึ่งหมายถึงความเป็นสุขภาพดีของเด็ก ๆในครอบครัวรวมความหมายถึงให้เด็ก ๆได้ระลึกถึงการเคารพรักในบิดา มารดา ปางนี้นิยมบูชากันในบ้านที่มีเด็กเล็กและเด็กในวัยเรียน

ปางนารทคเณศ
ปางนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระคเณศมักจะอยู่ในอิริยาบถยืน มี 4 กร ในคัมภีร์และหม้อน้ำกมัลฑลุ ไม้เท้า และร่ม ซึ่งถ้าเป็นศาสนาพุทธแล้ว คงเปรียบได้กับพระสีวลี ซึ่งเป็นพระธุดงค์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ผู้มีลาภมาก แต่สัญลักษณ์ของพระคเณศนั้น หมายถึงการเดินทางไกล แต่มักจะเป็นการเดินทางไปเพื่อการศึกษาต่อ หรือเป็นปางที่เหมาะสมกับวิชาชีพของคนที่เป็นครูบาจารย์เท่านั้น

ปางลักษมีคเณศ
ปางนี้พระคเณศจะประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นมี 6 กร และพระหัตถ์หนึ่งโอบพระลักษมีเทวีไว้ การบูชาปางนี้เสมือนหนึ่งได้บูชาเทพทีเดียวกันถึง 2 พระองค์ในลักษณะของทวิภาคี (คเณศ -ลักษมี) กล่าวคือ ลักษมีคเณศ ย่อมมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ พูนสุข ความมั่งคั่ง มั่งมีอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้

ปางวัลลยภาคเณศ
ปางนี้พระคเณศจะอุ้มพระชายาทั้ง2 ไว้บนตักทั้งซ้ายและขวา ซึ่งชายาทั้งคู่คือคือนางพุทธิและสิทะ ดังที่ตำนานได้กล่าวไว้ ปางนี้ให้ความหมายในลักษณะของความสมบูรณ์ของการเป็นครอบครัวมีทรัพย์สินและบริวารมากมาย

ปางมหาวีระคเณศ
เป็นพระคเณศที่มีจำนวนของพระกรมากเป็นพิเศษ อาจจะ 12,14,16, กรแต่ละพระหัตถ์นั้นถือศาสตราวุธหลากหลายชนิดแตกต่างกันไปอาทิลูกศร คันธนู ดาบยาว ตะบอง ขวาน จักร บ่วงบาศ งูใหญ่ หอก ตรีศูล ปางนี้ถือกันว่าเป็นปางออกศึกเพื่อปราบศัตรูหมู่อมิตรทั้งหลาย ดังนั้นจึงเป็นความเหมาะสมพิเศษกับบรรดานักรบ แม่ทัพนายกอง ทหาร ตำรวจและข้าราชการ

ปางเหรัมภะคเณศ
เป็นปางพระคเณศที่ห้อยพระบาทอยู่บนพญาราชสีห์ พระคเณศปางนี้จะมีอยู่ห้าเศียร หรืออาจจะเป็นเศียรตามปกติก็ได้ เพราะสัญลักษณ์ที่แท้จริงของปรางค์นี้ก็คือ สิงโตเท่านั้น เพราะสิงโตเป็นเจ้าป่า ดังนั้นจึงเหมาะสมที่ผู้ใหญ่ที่ต้องมีบริวารในการปกครองมาก นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ที่บรรดดากษัตริย์ทั้งหลายแต่โบราณนิยมบูชากัน เรียกว่าเป็นสุดยอดปางของพระคเณศก็ว่าได้

ปางสัมปทายะคเณศ
เป็นพระคเณศที่เราพบเห็นกันบ่อยคือ มีอาวุธอยู่ในสองพระหัตถ์บน ส่วนพระหัตถ์ล่างด้านซ้ายนั้นถือขนม และด้านขวาอยู่ในท่าประทานพร ซึ่งความหมายของปางนี้คือ การอำนวยพรให้ประสบความสำเร็จนั่นเอง

ปางตรีมุขคเณศ
เป็นพระคเณศที่มี 3 พระพักตร์ 4 กร บ้างก็ว่ามีความหมายถึง 3 โลก บ้างก็ว่าหมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา

ปางปัญจคฌณศ
บางคนเรียกปางนี้ว่า พระคเณศเปิดโลก

ปางวิชัยคเณศ
เป็นปางที่พระคเณศทางขี่หนูเป็นพาหนะมี 4 กร พระหัตถ์ขวาด้านล่างอยู่ในท่าประทานพร ซึ่งมีความหมายถึงการอยู่เหนือบริวารนั่นเอง

 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #8 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:07:34 am »

การบูชาในโอกาสต่างๆ

ในพิธีคเณศจตุรถี จะต้องใช้ใบไม้และดอกไม้ต่างๆถึง 21 ชนิดนำมาบูชาเรียงรายตามลำดับไปทั้ง 21 วัน ตลอดเทศกาลพร้อมทั้งกล่าวคำบูชาไปด้วย (โดยไม่ซ้ำกัน) ดังต่อไปนี้

๑. ใช้ใบมาจีบัตร หรือ ใบมาจี ซึ่งมีชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Imprerata Cylindrica ตรงกับต้นหญ้าคาของไทย พร้อมกับคำบูชาว่า

"สุขุมาย นมะ มาจีปตรํ ปูชยามิ "

๒. บูชาด้วยใบพฤหตี ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Carissa Carandas ตรงกับชื่อภาษาไทยว่า หนามแดง มะนาวไม่รู้โห่ หนามขี้แฮด หนามพรหม อยู่ในประเภทของมะเขือพวงหรือมะแว้ง มีสรรพคุณแก้ไอ บรรเทาเจ็บคอและแก้โรคเบาหวาน และมีคำกล่าวบูชาว่า

" คณาธิปาย นมะ พฤหตีปตรํ ปูชยามิ"

๓. บูชาด้วยใบพิลว คือใบมะตูม มีคํากล่าวบูชาว่า

"อุมาปุตราย นมะ พิลวตรํ ปูชยามิ "

๔. บูชาด้วใบทูรวา ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Cynodon Daetylon คือหญ้าแพรก คำกล่าวบูชาว่า

"คชานนาย นมะ ทูรวายุคมํ ปูชยามิ"

๕. บูชาด้วยใบทุตูระ ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Stramonium คือต้นลำโพง หรือ ชุมเห็ดเทศ ใช้แก้พิษแมลงกัดต่อยได้ดี คำกล่าวบูชาว่า

"หรสูนเว นมะ ทุตตูรปตรํ ปูชยามิ "

๖. บูชาด้วยใบพทรี คือใบพุทรา มีคำกล่าวบูชาว่า

"ลบโพทราย นมะ พทรีปตรํ ปูชยามิ"

๗. บูชาด้วยใบอปามารค ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Achyrantus Aspera คือต้นพันธุ์งู ใช้รักษาพิษจากสัตว์กัดต่อย โดยใช้ใบมาคั้นน้ำ มีคำกล่าวบูชาว่า

" คุหาครูชาย นมะ อปามารคปตรํ ปูชยามิ "

๘. บูชาด้วยใบตุลสี คือใบกระเพรา มีคำกล่าวบูชาว่า

"คชกรณาย นมะ ตุลสีปตรํ ปูชยามิ"

๙. บูชาด้วยใบมะม่วง มีคำกล่าวบูชาว่า

"เอกทนตาย นมะ จูตปตรํ ปูชยามิ"

๑๐. บูชาด้วยใบกรวีระ ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Thevetia Nerifolium คือต้นรำเพย หรือ ยี่โถฝรั่ง มีคำกล่าวบูชาว่า

"วิกฏาย นมะ กรวีรปตรํ ปูชยามิ"

๑๑. บูชาด้วยใบวิษณุกรานตะ ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Evolvulus Alisnoides มีคำกล่าวบูชาว่า

"ภินนทนตาย นมะ วิษณุกรานตปตรํ ปูชยามิ "

๑๒. บูชาด้วยใบทาฑิมิ คือใบทับทิม มีคำกล่าวบูชาว่า

"วฏเว นมะ ทาฑิมีปตรํ ปูชยามิ"

๑๓. บูชาด้วยใบเทวมารุ ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Cedrus Deodora ใบเล็กกลมมีกลิ่นหอมป้องกันยุงและแมลงได้ดี มีคำกล่าวบูชาว่า

"สรเวศวราย นมะ เทวทารุปตรํ ปูชยามิ"

๑๔. บูชาด้วยใบมรุวก หรือ มทนา ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Origanum Vulgra กล่าวคำบูชาว่า

"ผาล จนทราย นมะ มรุวกปตรํ ปูชยามิ"

๑๕. บูชาด้วยใบสินธุวาร คือใบคนทีเขมา มีคำกล่าวบูชาว่า

"เหรมทาย นมะ สินธุวารปตรํ ปูชยามิ"

๑๖. บูชาด้วยใบชาชี คือใบจันทร์เทศ มีคำกล่าวบูชาว่า

"ศุรุกรุณาย นมะ ชาชีปตรํ ปูชยามิ"

๑๗. บูชาด้วยใบคันฑาลิ มีดอกสีขาว มีคำกล่าวบูชาว่า

"สุราครชาย นมะ คณฑาลิปตรํ ปูชยามิ"

๑๘. บูชาด้วยใบสมี มีคำกล่าวบูชาว่า

"อภิวกตราย นมะ สมีปตรํ ปูชยามิ"

๑๙. บูชาด้วยใบอัศวัตถ หรือ อัสสัตถ คือไม้โพ มีคำกล่าวบูชาว่า

"วินายกาย นมะ อศวตปตรํ ปูชยามิ"

๒๐. บูชาด้วยใบอรชุน ตรงกับไม้ไทยว่า ต้นสลักหลวง ต้นสลักป่า ต้นยอป่า มีคำกล่าวบูชาว่า

"สุรเสวิตาย นมะ อรชุนปตรํ ปูชยามิ"

๒๑. บูชาด้วยใบอรก คือต้นรักของไทยเรา มีคำกล่าวบูชาว่า

"กปิลาย นมะ อรปปตรํ ปูชยามิ"

http://www.geocities.com/thaiganesh/p19.html
บันทึกการเข้า
พรเทพ-LSV team♥
รับติดตั้งจานดาวเทียม ลาดพร้าว บางกะปิ
Senior Member
member
*

คะแนน1453
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12125

091-091-9196 ID LINE : tv59


เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:37:06 am »

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
การทำตัวให้ดี คิดดี ชีวิตก็จะดี

ในทางกลับกัน

ถ้าทำตัวเลว คิดเลว คิดชั่ว ชีวิตก็ต้องไม่ดีเป็นแน่แท้

อีกอย่องหนึ่ง เทพเทวดาที่ไหนจะช่วยเราได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเราเอง

*** เราเป็นชาวพุทธ เรามี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่ตั้งและเคารพ เรามีศีล5
และมีการภาวนา ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการใช้สร้างบุญสร้างความสำเร็จและเป็นสิ่งที่สูงสุดด้วย
 ถ้าคุณทำได้ตามนี้ ชีวิตคุณต้องดีแน่ ไม่ใช่ดีแค่ชาตินี้นะ ดีต่อไปชาติหน้าด้วย
  และชาวพุทธเราสอนให้เราเป็นผู้ให้ ไม่ได้สอนให้เราเป็นผู้ขอ  ดังนั้นเราต้องสร้างบุญเมื่อเรามีบุญเราก็มีความสำเร็จ
และเราก็ยังสามารถจ่ายบุญให้ผู้อื่นด้วย แทนที่เราจะมานั่งขอผู้อื่น
บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #10 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 09:58:13 am »

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
การทำตัวให้ดี คิดดี ชีวิตก็จะดี

ในที่กลับกัน

ถ้าทำตัวเลว คิดเลว คิดชั่ว ชีวิตก็ต้องไม่ดีเป็นแน่แท้

อีกอย่องหนึ่ง เทพเทวดาที่ไหนจะช่วยเราได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเราเอง

*** เราเป็นชาวพุทธ เรามี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่ตั้งและเคารพ เรามีศีล5 และมีการภาวนา ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นการใช้สร้างบุญสร้างความสำเร็จและเป็นสิ่งที่สูงสุดด้วย ถ้าคุณทำได้ตามนี้ ชีวิตคุณต้องดีแน่ ไม่ใช่ดีแค่ชาตินี้นะ ดีต่อไปชาติหน้าด้วย  และชาวพุทธเราสอนให้เราเป็นผู้ให้ ไม่ได้สอนให้เราเป็นผู้ขอ  ดังนั้นเราต้องสร้างบุญเมื่อเรามีบุญเราก็มีความสำเร็จและเราก็ยังสามารถจ่ายบุญให้ผู้อื่นด้วย แทนที่เราจะมานั่งขอผู้อื่น
THANK!!    THANK!!
บันทึกการเข้า
watchareeya
member
*

คะแนน175
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 495



อีเมล์
« ตอบ #11 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 10:19:44 am »

แน่แท้จริงใจ คือผู้ใหญ่สอนเรา ตามรอยพระพุทธศาสนา ผู้ให้ย่อมเป็นสุข มากกว่าผู้รับ จร้า แต่ในเชิงช่างก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ยกย่องพระพิฆเนศร์ว่าเป็นครูช่างของชาวศิลปากร ในขณะที่เด็กเพาะช่างอย่างครูนับถือพระวิษณุว่าเป็นครูชั้นเทพ ส่วนพระพุทธเจ้าคือสิ่งสูงสุดในชีวิตประจำวันที่ใช้ในการดำรงชีวิตจ้า
บันทึกการเข้า
พรเทพ-LSV team♥
รับติดตั้งจานดาวเทียม ลาดพร้าว บางกะปิ
Senior Member
member
*

คะแนน1453
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 12125

091-091-9196 ID LINE : tv59


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: มกราคม 04, 2009, 10:27:10 am »

การเคารพว่าเป็นครูช่างหรือเคารพด้วยเหตุใดก็ตามก็ดีทั้งนั้นละครับ

แต่เคารพและบูชาเพื่อขอและหวังต่างๆนาๆ โดยเฉพาะความสำเร็จ คงไม่ดีแน่ 
บันทึกการเข้า

Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #13 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 02:35:04 pm »

พระแม่คงคา เทพผู้รักษาสายน้ำ


พระแม่คงคานั้น เป็นราชธิดาของพระหิมวัตและนางเมนกา ซึ่งพระนางก็คือพี่สาวของพระแม่อุมาเทวีนั้นเอง พระนางเป็นผู้ดูแลรักษาสายน้ำคงคา ซึ่งถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากสวรรค์ ซึ่งในอินเดียนั้นมีแม่น้ำหลายสายเช่น


แม่น้ำสรัสวตี (เชื่อว่าไหลมาจากพรหมโลก)
แม่น้ำซันโตชี(พระแม่ซันโตชีธิดาของพระพิฆเนศเป็นผู้ดูแล)
แม่น้ำคงคา(พระแม่คงคาเป็นผู้ดูแล)
แม่น้ำยมุนาหรือยมนา(เชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของพระวิษณุเทพ)
น้ำจากคงคานั้นถือว่าเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ ซึ่งแม่น้ำที่ใช้ชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่สองสายคือ


แม่น้ำคงคาตลอดสาย
แม่น้ำยมนา
บริเวณต้นน้ำที่เขายาดาคีรีของ ท่านฤาษียาดาชี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ลักษมีนาราซิมฮา แม่น้ำคงคานี้เมื่อจะประกอบพิธีต่างๆ จะต้องนำน้ำจากพระคงคานี้ไปร่วมในพิธีด้วย

โดยปกติแล้วบรรดาฤาษีในอินเดียจะมีหม้อน้ำติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะบรรจุน้ำจากแม่น้ำคงคา บริเวณที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ "ตริเวนี" หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งมีแม่น้ำคงคาและยมนาใหลมาบรรจบกัน และเชื่อว่ามีแม่น้ำสรัสวตีไหลมาจากใต้ดินมาบรรจบกันที่นี่ด้วย ชาวฮินดูนิยมที่จะตักน้ำจากแม่น้ำคงคาไปใช้ในการสรงน้ำเทวรูปและอาบกิน

ตามตำนานว่าแม่คงคานั้นไหลเวียนอยู่ที่นิ้วเท้าของพระวิษณุ เหตุที่พระคงคาต้องใหลลงมาที่โลกมนุษย์นั้น ก็เพราะว่าท้าวสักราชได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่คงคา ให้ลงมาส่โลกมนุษย์สืบต่อมาหลายชั่วคนจึงสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรถ แต่ด้วยความแรงของพระแม่คงคา ซึ่งอาจจะทำให้โลกล่มสลายไปได้ พระศิวะเจ้าจึงได้รองรับแม่คงคาด้วยมวยพระเกศก่อน แล้วจึงปล่อยลงมาสู่โลกมนุษย์



อีกตำนานว่า เดิมทีโลกมนุษย์นั้นบังเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ซึ่งเกิดจากการที่พระแม่คงคา ไม่ยอมปล่อยน้ำลงมาสู่โลกมนุษย์แล้วเสด็จหนีไป จึงทำให้มนุษย์และสัตว์ล้มตายมากมาย บรรดาเทวะเห็นดังนั้นจึงไปกราบทูลเชิญพระศิวะเจ้าให้ทรงจัดการเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงออกตามหาพระแม่คงคากลับมา แล้วให้พระแม่คืนสายน้ำให้มนุษย์ แต่พระแม่ไม่ยอมพระองค์จึงทรงใช้พระเกศรัดพระแม่คงคาจนพระนางยอมปล่อยสายน้ำออกมา

บางตำนานก็ว่าพระศิวะเจ้าทรงได้พระแม่เป็นภรรยาลับๆ ด้วยความกลัวพระแม่อุมารู้แล้วจะทรงพิโรธ จึงซ่อนพระแม่ไว้ในมวยพระเกศ ให้พระแม่ปล่อยน้ำออกมาจากพระเกศของพระองค์เพื่อล้างบาปที่พระองค์ได้ทรงทำด้วย



เทวะลักษณะของพระแม่นั้น โดยทั่วไปจะวาดมีสี่กร และทรงจระเข้เป็นพาหนะ มีตรีศูลย์เป็นอาวุธ มีหม้อกลาฮัม และหม้อน้ำ บางครั้งก็จะวาดมีสองกร และทรงอาวุธตรีศูลย์ แต่ส่วนมากที่จะได้เห็นกันก็คือ จะแสดงองค์เป็นสตรีที่ยื่นหน้าออกมาจากมวยพระเกศของพระศิวะเจ้า และมีสายน้ำพ่นออกมาจากปาก

การบูชาแม่คงคา โดยทั่วไปในอินเดียการบุชาแม่คงคาจะกระทำการเหมือนเทพองค์อื่นๆคือ จะบูชาด้วยการอารตี และสวดมนต์พระเวทย์ ซึ่งเครื่องบูชาในถาดอารตีจะประกอบด้วย

การบูชาพระแม่คงคา

ดอกไม้สีส้มหรือสีเหลืองและดอกบัว
ผลไม้ที่มีรสหวานเท่านั้น 5 ชนิด
น้ำนม
ตะเกียงน้ำมัน
กำยาน
ขนมหวานและจะทำการบูชาแม่คงคาที่ริมแม่น้ำคงคา(ในอินเดีย) แต่ถ้าเป็นในต่างเมืองเช่นเมืองไทย อาจจะทำการบูชาต่อหน้ารูปแม่คงคา หรือที่แม่น้ำใหญ่ และลอยเครื่องบูชาบางส่วนไปกับสายน้ำ เว้นไว้แต่ตะเกียงกับกำยาน เครื่องบูชาที่เหลือก็จะนำมาเก็บไว้รับทานเพื่อเป็นมงคลหรือแจกจ่ายเพื่อทำทานต่อไป

แต่ถ้าเป็นการบูชาของไทยนั้นเครื่องบูชาจะประกอบด้วย
ผ้าแพร 3 สี
ข้าวตอก
น้ำนม
ดอกไม้สีเหลืองหรือส้ม
พวงมาลัยดอกดาวเรือง
ขนมหวาน 7 ชนิด
ผลไม้รสหวาน 5 ชนิด
รูปปั้นพระแม่คงคา (เทวรูป)
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก: http://www.mahathep.com


 




 


 

บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #14 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 02:45:40 pm »

ประวัติพระพรหม
พระพรหม พระบิดามหาพรหม
ผู้สร้างโลก ผู้บันดาล ผู้ลิขิตชะตามนุษย์
และคุ้มครองมวลมนุษย์



กำเนิดพระพรหมคัมภีร์มานวธรรมศาสตร์กล่าวไว้ว่าครั้นเมื่อโลกยังไม่ปรากฏสิ่งใดๆ(มีความว่างเปล่า) พระอาตมภูหรือพระพรหม(ผู้เกิดเอง)ประสงค์จะสร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก จากนั้นจึงสร้างน้ำขึ้นมาก่อนแล้วจึงนำพืชโปรยลงบนพืนน้ำพอเวลาผ่านไปพืชนั้นกลายเป็นไข่ทองคำและกำเนิดขึ้นมาเองเป็นพระพรหม มีพระนามว่า"หิรัณยครรภ์ หลังจากนั้นพระพรหมจึงแบ่งร่างกายเป็นชาย-หญิงเพื่อสร้างโลกและมนุษย์ต่อมา..อีกตำนานหนึ่ง
ในคัมภีร์มนัสนปุรณะเล่าว่าพระพรหมหรือที่เรียกว่า"อาปวะ
หลังกำเนิดขึ้นแล้วพระองค์แบ่งเป็น2ภาคซึ่งภาคหนึ่งเป็นชายคนแรกของโลกส่วนอีกภาคหนึ่งแบ่งเป็นหญิงคนแรกของโลกมีนามว่า"ศตรูปา"หรือสรัสวดี ต่อมาช่วยกันสร้างโลก มีเทวดา มนุษย์ อสูร และสรรพสัตว์สรรพพืชพันธุ์ในโลก

 เหตุที่ทำให้พระพรหมมีถึง๕ เศียร เรื่องมีอยู่ว่าพระองค์ทรงหลงรักและหวงแหนพระมเหสี (พระสุรัสวดีพระมเหสีของพระองค์มีหลายพระนาม อาทิ สรัสวดี ศตรูปา สาวิตรี คายตรี พราหมณี) เพื่อคุ้มครองพระมเหสีองค์นี้ด้วยว่าไม่ว่าจะเสด็จที่ใดก็ตาม พระองค์จะทรงใช้ตาที่เศียรทั้ง ๕ เศียรของ พระองค์เฝ้าติดตามไม่ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นก็ตามจะได้ช่วยทันทุกเวลา

ในอินเดียสมัยโบราณ พระพรหมเป็นเทพ(ผู้สร้างโลก) ได้รับการยกย่องโดยพวกพราหมณ์เชื่อว่า"พระพรหมเป็นฤาษีองค์แรกของศาสนาพราหมณ์และเป็นมหาเทพที่มีบุญบารมีสูงส่งกว่าเทพและเทวดาทั่วไป และวิวัฒนาการทางความเชื่อทางศาสนา และศิลปกรรมของอินเดียมีการ เปลี่ยนแปลง ตามแคว้นต่าง ๆ เสมอรวมถึงการเปลี่ยนแปลงตามประเพณีความเชื่อในช่วงสมัยนั้น ๆ โดยมีการนับถือตามนิกายต่าง ๆ ของความ เชื่อที่มีอยู่นั้น เช่น นิกายไศวะ หรือไศวะนิกาย และไวษณพนิกาย หรือไวษณวนิกาย ทั้ง ๒ นิกายให้ความเคารพนับถือเทพ คือพระศิวะ และ พระวิษณุเป็นพิเศษ จึงลดความศรัทธาความเชื่อถือพระพรหมลง และเมื่อเวลาผ่านถึง ค.ศ. ที่ ๑๐ ชาวฮินดูจึงหันมาให้ความเคารพ นับถือพระพรหมจากที่นิกายไศวะ และไวษณพนิกาย ซึ่งมีการแข่งขันกันทางด้านความเชื่ออยู่ พระพรหมจึงกลายเป็นเทพองค์สำคัญขึ้นมาใหม่ โดยมีการสร้างเทวาลัย และรูปปั้นไว้เป็นจำนวนมาก พระพรหมได้รับการนับถือบูชาในฐานะที่พระองค์เป็นผู้สร้างของทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดขึ้นบนโลก พระองค์ทรงเป็นผู้ให้ที่สำคัญ และเป็นผู้กำหนดโชคชะตาของมนุษย์ พระนาม ที่เรียกขานกันมีมากมายนอกเหนือจากพระพรหม หรือ พระพรหมธาดา เป็นต้นว่า ราชคุณ หมายถึง ความมี กิเลสและความปรารถนา และมูลเหตุของการสร้างโลกทั้งปวง สวายัมภู หมายถึง ผู้เกิดเอง กมลสาส์น และปัทมสาส์น หมายถึง ผู้นั่งบนดอกบัว ซึ่งเกิดมาจากสะดือของพระวิษณุ คัมภีร์ฤคเวท ปรากฏพระนาม ปชาบดี คัมภีร์รามายณะ ปรากฏพระนามอื่นๆ คือ ปรเมศวร วิธิ-เวธาส อทิกวี สนัต ชาตริวิชาตริ ปิตามหะ ทรุหิณ-สราษฎริ โลเกศ ลักษณะทางศิลป์ รูปเคารพของพระพรหมที่พบในปัจจุบันมีรูปเคารพ ๔ ปาง ๕ พระนาม ซึ่งมีลักษณะทางศิลป ดังนี้ ปางประชาบดี พระพรหม พระวรกายสีขาว สวมอาภรณ์หนังกวางสีดำพาดบ่า มี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือช้อน แจกัน และการทำปางประทานพร ด้านขวาของพระพรหม มีรูปเทพธิดาสรัสวดี ด้านซ้ายของพระพรหม มีรูปเทพธิดาสาวิตรียืนประทับอยู่ พาหนะคือ หงส์ ปางโลกบาล พระพรหมมี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือลูกประคำ หนังสือ ดอกบัว และแจกัน ด้านข้างมีนางสาวิตรี (๔ พักตร์) ประทับยืนด้วย ปางวิศวกรรม พระพรหมมี ๔ พักตร์ ๔ กร ถือ ช้อน หนังสือ แจกัน และลูกประคำ ปางกามลักษณะ ปางปิตมหา
พระพรหมมี ๔ พักตร์ พระเกศามุ่นขมวด มี ๔ กร ถือ หนังสือ แจกัน หม้อ และช้อน

มเหสีของพระพรหม:พระสุรัสวดี สาวิตรี คายตรี (คือองค์เดียวกันหมด)
วันประจำพระองค์คือ วันพฤหัสบดี พาหนะบริวารคือ สุวรรณหงส์
เครื่องบวงสรวง: อาหารมังสวิรัติ นมสด มะพร้าวอ่อน ผลไม้มงคลต่างๆ พวงมาลัย ดอกมะลิ-ดอกกุหลาบ
คาถาบูชาพระพรหม:โอม สะระเวภะโย พรหมมา เนพะโย นะมะฮา

  พระแม่สุรัสวดี[มเหสีของท้าวมหาพรหม]


ตำนานการกำเนิดของ(พระนางคายตรีมนตรา)

 บางตำนานได้กล่าวไว้ว่าพระแม่สุรัสวดีกับเทพีสาวิตรีคือองค์เดียวกัน บางตำนานกล่าวไว้ว่าเมื่อครั้นพระแม่สุรัสวดีได้มีพิธีเล่งด่วนและได้ไปเป็นองค์ประชุมร่วมกับพระแม่ลักษมี,พระแม่อุมาเทวี จากนั้นในขณะที่พระพรหมได้มีการทำพิธีซึ่งขาดสตีคู่กันมิได้ หลังจากพระแม่สุรัสวดีได้เร่งรีบกลับมาทันพิธีแต่ด้วยความรักสวยรักงามของพระองค์บวกกับพระแม่ต้องแต่งองค์ให้สง่างามที่สุดก็เพราะเป็นพิธีจักวาลท่านจึงแต่งทรงช้าไปหน่อยเพื่อให้สมเกียรติแด่องค์สวามีแต่ก็ทันเวลาพอดี แต่ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับมานั้นองค์พรหมได้มีพระทัยร้อนไปหน่อยกลัวพระแม่สุรัสวดีจะกลับมาทำพิธีสำคัญไม่ทันจึงให้ทหารองค์รักและพรอินทร์เพื่อจัดตาม หาหญิงที่มีคุณสมบัติดีงามจากนั้นพระอินทร์ได้ไปพบหญิงสาวที่สวยงามเลี้ยงวัวอยู่จึงได้นำพานางมาทำพิธีแทนพระมเหสี(พระแม่สุรัสวตี)จากนั้นพระแม่สุรัสวดีได้แต่งองค์เสร็จและกลับออกมาได้เห็นพระสวามีท่านได้พาหญิงมานางหนึ่งแทนที่พระองค์ด้วยเกีรติและศักดิ์ศรีของพระแม่ท่านจึงไม่ยอม พระแม่จึงทนไม่ไหวถึงได้ลืมพระองค์จึงได้แปลงภาคเป็นองค์สีดำ(พระแม่มนต์ตราปางสาป)และท่านได้สาป กลาดไปทั่วสวรรค์ที่อยู่ในพิธีกรรมนั้นโดยเฉพาะเทวดาที่รู้เห็นเป็นใจ ส่วนพระพรหมต้องคำสาปว่า"ขอให้ไม่มีผู้ใดจะประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิืเพื่อบูชาท่านต่อแต่นี้ไป จะไม่มีวัีดไหนทำพิธีบูชาท่าน ในหนึ่งปีจะมีเพียงแค่วันเดียวที่จะมีคนทำพิธีศาสนาให้ท่าน ท่านจะไม่มีวัีดเป็นของตนเองพระองค์จะต้องได้อยู่ตามลำพังและเป็นที่เคารพบูชาแค่เหล่ามนุษย์(เราจึงได้เห็นพระพรหมเต็มไปหมดบนโลกมนุษย์) พระนารายณ์ พระศิวะและเทวดาองค์อื่นๆได้ถูกสาปเช่นกันส่วนองค์อื่นๆทนพลังแห่งความแรงและพลังอนุภาพของพระแม่ร้อนไปทั่วสวรรค์จึงได้รุจหนีไปก่อน ส่วนใครที่หนีออกไปไม่ทันก็ต้องคำสาปพระนางเพราะพระนางถือว่าทุกพระองค์ที่ร่วมงานนี้ได้รู้เห็นเป็นใจให้พระพรหมมีหญิงนางอื่น มาแทนที่พระนาง หลังจากที่พระแม่ได้สาปไปแล้วนี้"เหล่ามหาเทพได้ประชุมกันร้องขอให้พระแม่เปลี่ยนภาคกลับคืนมาแต่พระแม่ยังถือทิฐิและหนีไปอยู่อย่างสันโดษ องค์พระพรหมจึงได้ขอให้พระนางอวตารมาเป็นพระนางสาวีตรีและเชิญธาตุทั้ง๔มารวมกันบางตำนานว่าด้วย(มีพระนางกายตรี,พระแม่สุรัสวตี,พระแม่ธรณี,พระแม่คงคา,พระแม่ลักษมี,พระแม่อุมาเทวี)เป็นพระแม่๕ภาค
(ภาคกายตรีมนตรา แก้คำสาป)เพื่อถอนคำสาปที่พระนางสุรัสวตีได้สาปไว้ และองค์พรหมก็ได้มีพระชายาเพิ่มขึ้นมาคือพระแม่กายตรีมนตราหรือเรียกอีกพระนามว่าพระแม่สาวิตรีก็คือพระแม่สุรัสวดีอีกภาคหนึ่ง
ตำนานอาจจะดูซับซ้อนไปหน่อยแต่ก็ลงตัวด้วยความปิติสุขมีทั้งพระแม่สุรัสวตีภาคสาปและภาคถอนคำสาป
เพื่อความสมดุลแห่งโลก

ตำนานกำเนิดพระพรหม
จากคัมภีร์และตำนานมากมายที่กล่าวถึงการกำเนิดของพระพรหม กล่าวไว้ อาทิ คัมภีร์วารหปุราณะ และมหากาพย์มหาภารตะ กล่าวไว้ว่า พระพรหมเกิดจากดอกบัวที่พุดขึ้นจากสะดือของพระวิษณุ ที่บรรทมหลับอยู่บนหลังพระยาอนันตนาคราชที่เกษียรสมุทร

คัมภีร์ปัทมปุราณะ
 คัมภีร์ปัทมปุราณะ กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งพระวิษณุต้องการสร้างโลก จึงแบ่งภาคออกเป็น ๓ ภาค โดยพระพรหม เกิดจากสีข้างเบื้องขวา พระวิษณุ (พระองค์) เกิดจากสีข้างเบื้องซ้าย พระศิวะ เกิดจากบั้นกลางพระองค์คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ กล่าวไว้ว่าในครั้งเมื่อโลกยังไม่ปรากฏสิ่งใดๆ (ว่างเปล่า) พระอาตมภู (ผู้เกิดเอง) ประสงค์จะสร้างทุกสิ่งจึงสร้างน้ำขึ้นมาก่อน แล้วนำพืชโปรยลงน้ำ เวลาผ่านไปพืชนั้นกลายเป็นไข่ทองและกำเนิดพระพรหมปรากฏขึ้น นามว่า หิรัณครรภ์ หลังจากนั้นพระพรหมจึงแบ่งร่างเป็นชาย-หญิง เพื่อสร้างโลกและมนุษย์ต่อมา ช่วงนี้ขอเล่าถึงตำนานพระเศียรของเทพเจ้าผู้สร้างโลกนามพระพรหม บางส่วนของตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อแรกพระพรหมทรงมี ๕ เศียร เรื่องมีอยู่ว่าพระองค์ทรงหลงรักและหวงแหนพระมเหสี (พระมเหสีองค์มีหลายพระนาม อาทิ สรัสวดี สาวิตรี พราหมณี) เพื่อคุ้มครองพระมเหสีองค์นี้ด้วยว่าไม่ว่าจะเสด็จที่ใดก็ตาม พระองค์จะทรงใช้ตาที่เศียรทั้ง ๕ เศียรของ พระองค์เฝ้าติดตามไม่ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นก็ตามจะได้ช่วยทันทุกเวลาต่อมาเศียร ๑ ใน ๕ เศียรได้ถูกพระศิวะเผา เพราะว่าเศียรที่๕นั้นได้มีอิทธิฤทธิ์ อนุภาพร้อนแรงมากจึงทำให้สวรรค์ร้อน เทวต่างอยู่ไม่ไหวด้วยแรงแห่งความร้อน จากนั้นเหล่าเทวดาได้ปรึกษาประชุมกันว่าจะทำอย่างไร จึงได้มีกลอุบายไปร้องขอความช่วยเหลือจากพระศิวะ เพราะท่านมีดวงตาที่๓เป็นดวงตาแห่งบัลลัยกัล สามารถเผาผลาญทุกอย่าง จากนั้นพระศิวะจึงได้ใช้ดวงตาที่๓เพื่อเผาเศียรพระพรหม ต่อจากนั้นทุกอย่างก็ดีขึ้น

พระนางคายตรี ที่มี 5 พระพักตร์นั่นคือองค์อวตารของพระนางสรัสวตี เพราะว่า การที่พระนางมี 5 พระพักตร์นั้นก็เพื่ออวตารเป็นคู่บุญคู่บารมีองค์ของพระพรหมผู้เป็นสวามี เพราะสมัยก่อนจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้นพระพรหมมี 5 พระพักตร์ แต่ด้วยพระพักตร์ที่ 5 นี้เอง ที่มีความพิเศษคือจะเป็นพระพักตร์ที่จดจำคัมภีร์พระเวททั้ง 4 ไว้หมด จึงมีรัศมีเรืองรอง เหล่าเทพไม่สามารถทนต่อความร้อนแรงของรัศมีได้ จึงทูลพระศิวะให้ทรงช่วยเหลือ พระศิวะจึงตัดเอาเศียรของพระพรหมพระพักตร์ที่ 5ออก(บางตำราว่าถูกไฟจากตาที่สามทำลาย)

 
ตำนานกล่าวว่าพระพรหมสร้างมนุษย์ จากอวัยวะของพระองค์ ซึ่งได้เกิดเป็นวรรณะต่างๆ ดังนี้


 วรรณะพราหมณ์ เกิดจากเศียรของพระองค์
วรรณะกษัตริย์ เกิดจากบ่าของพระองค์
วรรณะแพศย์ เกิดจากส่วนท้องของพระองค์
วรรณะศูทร เกิดจากเท้าของพระองค์

บางตำรากล่าวถึงเริ่มแรกทรงเนรมิตมนุษย์มีขาข้างเดียว แต่ก็เห็นว่าเดินไม่สะดวก จึงสร้างมนุษย์มี ๓ ขา ดูเหมือนจะไม่พอพระทัยเพราะว่าเกะกะเกินไปไม่สวยงาม จึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่อีกครั้งให้มี๒ขาที่ปรากฏจนทุกวันนี้
 
 
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #15 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 02:52:12 pm »

ประวัติพระศิวะ

พระอิศวร หรือ พระศิวะ (ภาษาอังกฤษ : Shiva, Mahesh) (ภาษาฮินดี: शिव) หรือชาวจีนเรียกว่า พระยกอ๋องซ่งเต เป็นเทพตามความเชื่อของชาวฮินดู มีพาหนะ คือ โคเผือก ชื่อว่า อุศุภราช พระอิศวรเป็นมหาเทพแห่งการทำลาย มีกายสีขาว แต่พระศอเป็นสีดำเพราะเมื่อตอนที่พระนารายณ์และเหล่าเทวดา อสูร ทำพิธีกวนสมุทรโดยใช้พญานาคเป็นตัวฉุดเขาพระสุเมรุนั้น ใช้เวลากวนนานมาก พญานาคจึงคลายพิษออกมาปกคลุมไปทั่วโลก พระศิวะ จึงว่าเกรงจะเป็นภัยต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในโลกจึงได้สูบเอาพิษเหล่านั้นไว้จึงทำให้ คอของพระศิวะเป็นสีดำนั้นเอง มีพระเนตรถึง ๓ ดวง ดวงที่ ๓ อยู่กลางพระนลาฎ ซึ่งตามปกติจะหลับอยู่ เนื่องจากพระเนตรดวงที่ ๓ นี้ มีอานุภาพร้ายแรงมาก หากลืมขึ้นเมื่อใดจะเผาผลาญทุกอย่างให้มอดไหม้ ประทับอยู่ ณ เขาไกรลาส อันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล มีมเหสีคือ พระแม่อุมา รูปลักษณ์ของพระอิศวร โดยมากจะปรากฏให้เห็นเป็นชายผมยาว มีพระจันทร์เป็นปิ่นปักผม มีลูกประคำหรือกะโหลกมนุษย์เป็นสังวาล มีงูเห่าพันรอบพระศอ นุ่งห่มหนังเสืออันเป็นเครื่องนุ่งห่มของฤๅษี การบูชาพระอิศวรจะกระทำได้โดยการบูชาต่อศิวลึงค์อันเป็นสัญลักษณ์แทนตัวพระองค์นั่นเอง


พระอิศวรมีท่าร่ายรำอันเป็นการร่ายรำของเทพเจ้า เรียกว่า "ปางนาฏราช"(nataraja) เมื่อแปลงกายลงไปปราบฤๅษีที่ไม่ประพฤติตนอยู่ในเพศดาบส ซึ่งต่อมาชาวฮินดูได้ถือเอาท่าร่ายรำนี้เป็นต้นแบบของการร่ายรำต่าง ๆ มาตราบจนปัจจุบัน

พระอิศวรยังถือว่าเป็นเจ้าแห่งผีอีกด้วย โดยมีพระนาม
เรียกว่า "ปีศาจบดี"

พาหนะ



โคที่มีนามว่า อุศุภราช คือ โคเผือกที่เป็นพาหนะประจำขององค์พระศิวะ
ในบางคัมภีร์นั้นก็กล่าวถึงประวัติการกำเนิดของโคนนทิราชนี้แตกต่างออกไปด้วยกล่าวว่าแต่เดิมนั้นโคนนทิราช หรือ โคอุศุภราชนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ซึ่งเทพบุตรองค์นี้ก็มีนามว่านนทิ มีหน้าที่เป็นเทพที่คอยคุ้มครองดูแลบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆ กับเขาไกรลาส

และเทพนนทิที่เป็นเทพที่ครองสัตว์จัตุบาททั้งปวงนั้นก็มักจะนิรมิตองค์เองให้กลายเป็นโคเผือก เพื่อให้พระศิวะได้เสด็จประทับไปยังแห่งหนต่าง ๆจนเป็นเสมือนพาหนะประจำพระองค์ไปโดยปริยาย

ตำนานกำเนิดพระศิวะ

ยุคพระเวท
เรื่องก็มีอยู่ว่าพระพรหมนั้นเกิดความรำคาญอกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งนักที่พระเสโทหรือเหงื่อผลุดซึมทั่วพระวรกายและยังไหลรินย้อยลงทั่วบริเวณพระพักตร์อีกด้วย ในวันอันร้อนอ้าวเช่นนั่น พระพรหมทรงบำเพ็ญภาวนา เพิ่มตบะบารมีให้แกร่งกล้าอย่างมุ่งมั่นเมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยเหงื่อเช่นนั้นก็จึงได้นำเอาไม้ไปขูด ๆที่บริเวณพระขนงหรือคิ้ว โดยมิได้ระมัดระวังองค์นัก คมของไม้นั้นจึงได้บาดบริเวณพระขนงของพระองค์จนกระทั่งปรากฏพระโลหิตผลุดซึมออกมาและหยาดหยดลงบนกองเพลิงเบื้องหน้าของพระองค์นั้นเอง

ทันทีที่พระโลหิตหยาดหยดลงในเปลวเพลิงก็พลันเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง จุติขึ้นมาในเปลวเพลิงนั้น ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมาเบื้องหน้าพระองค์เทพบุตรผู้งดงามองค์นี้ก็ได้ร้องไห้ พลางขอให้พระองค์ประทานชื่อให้แก่ตน ซึ่งพระพรหมได้ประทานชื่อให้ถึง 8 ชื่อ ด้วยกันดังนี้

ภพ สรรพ ปศุบดี อุดรเทพ มหาเทพ รุทร อิศาล อะศะนิ

หลังจากนั้นเทพองค์นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นับถือของมนุษย์ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วบรรดามวลมนุษย์จะนับถือบูชาเทพบุตรองค์นี้ในนามของพระรุทรอันเป็นชื่อ ๆหนึ่งใน 8ชื่อนี้ ซึ่งนามรุทรนี้มีความหมายแปลได้ว่า ร้องไห้ แต่สำหรับชื่ออื่น ๆ อีก7 ชื่อนั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก

ว่ากันว่าพระรุทรเทพบุตรที่มีชื่ออันแปลว่าร้องไห้นี้เป็นมหาเทพที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีอำนาจบารมีค่อนข้างสูงนักในยุคพระเวทนี้ และยังเป็นเทพที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามนิยมนับถือบูชากันอย่างจริงจังทั่วไปโดยนับถือให้พระรุทรเป็นเทพผู้ทำลายล้าง คือทำลายสิ่งที่เลวร้ายให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หรือหมายถึงการทำลายสิ่งเลวให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นใหม่



ยุคมหากาพย์ มหาภารตะ
ในยุคนี้มีความเชื่อกันในเรื่องกำเนิดพระศิวะว่า พระองค์นั้นทรงจุติออกมาจากพระนลาฏ หรือหน้าผากของพระพรหมจึงเท่ากับว่าพระศิวะก็เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของพระองค์มหาเทพ

ยุคไตรเภท
คัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะว่า ทรงประสูติจากพระนางสุรภี และพระบิดาก็คือพระกัศยปะเทพบิดร



พระมเหสี

พระศิวะทรงมีเอกอัครมเหสีคือ พระแม่อุมามหาเทวี หรือชาวฮินดูนิยมเรียกกันว่าพระนางปาราวตี ซึ่งเป็นอิตถีเทพ ที่งดงามเป็นยิ่งนัก และยังเป็นเทพเทวีที่มีผู้คนนิยมบวงสรวงบูชามากมายว่าเทพนารีองค์อื่นองค์ใด

พระแม่ปราวตีหรือพระแม่อุมามหาเทวีนี้นั้น เป็นมเหสีคู่พระทัยของพระศิวะ ซึ่งปรากฏอยู่ในทุกคัมภีร์ทุกตำราเลยทีเดียว ด้วยเพราะพระศิวะนั้นไม่ปรากฏว่าจะมีพระชายาอีกมากมายดังมหาเทพองคือื่น ๆ



พระศิวะมีเพียงพระคงคาและพระนางสนธยาเท่านั้นที่เป็นพระชายาคู่บารมีอีก 2 พระนาง พระแม่คงคานั้นแต่เดิมก็เป็นพระชายาองค์รอง ๆของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ ซึ่งเมื่อได้มีเรื่องมีราวขัดแย้งบาดหมางกันระหว่างบรรดาพระชายาพระวิษณุ จนก่อเหตุให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจ พระวิษณุจึงได้นำพระแม่คงคามาถวายให้เป็นพระชายาของพระศิวะ

และพระแม่คงคานั้นโดยแท้จริงแล้วเป็นพระพี่นางของพระแม่อุมาอัครมเหสีของพระศิวะอีกด้วย

ส่วนพระนางสนธยานั้นเป็นธิดาของพระพรหม มหาเทพอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีความผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนเป็นเหตุให้พระพรหมผู้เป็นบิดาทรงกริ้วนัก และปรารถนาที่จะลงโทษพระธิดาสนธยาอย่างหนัก ซึ่งพระธิดาก็เกรงกลัวที่จะถูกลงโทษทัณฑ์ จึงได้แปลงกายเป็นนางเนื้อหลบลี้หนีพระบิดาไปเสีย

พระพรหมเองก็ไม่ยอมลดละ ด้วยความกริ้วถึงกับนิรมิตองค์เป็นกวางตามนางเนื้อไปในทันที พระศิวะได้ทรงบังเอิญมาพบเห็นเข้า ก็จึงได้มีความเห็นใจพระธิดาสนธยา ครั้นจะห้ามปรามพระพรหมผู้เป็นบิดาของพระนางสนธยาก็ดูจะกระไรอยู่ จึงได้ยับยั้งความกริ้วของพระพรหมในครั้งนั้นด้วยการแผลงศรไปถูกเศียรกวางขาดกระเด็น

เมื่อพระพรหมกลับคืนมาสู่ร่างเดิม ก็จึงได้คลายความโกรธ และพระศิวะก็ได้พูดคุยกับพระพรหมให้ยกโทษให้กับพระธิดา และการขออภัยโทษแก่พระนางสนธยานั้นคงจะไม่เป็นการสำเร็จโดยง่าย พระศิวะจึงได้ใช้วิธีทูลขอพระนางสนธยามาเป็นพระชายา
ด้วยความเกรงอกเกรงใจกัน พระพรหมจึงได้ยินดียกพระธิดาให้ไปเป็นพระชายาของพระศิวะ ด้วยเหตุนี้เองที่พระธิดาสนธยาจึงไม่ต้องถูกพระบิดาลงโทษ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่มีพระชายาเพิ่มขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นเพราะพระศิวะออกไปแสวงหาด้วยความมากรักหลายใจแต่อย่างใด



พระโอรส

พระศิวะทรงเป็นพระบิดาของพระพิฆเนศวรและพระขันธกุมาร พระโอรส 2 พระองค์นี้ประสูติจากพระนางปาราวตี หรือพระแม่อุมา อัครมเหสีคู่บารมี ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าพระศิวะจะทรงมีโอรสธิดากับพระชายาอื่น ๆอีกหรือไม่

                         พระพิฆเนศวร

พระโอรส 2 พระองค์ของพระศิวะนั้นก็ไม่ใช่เทพธรรมดาๆแต่ทว่ามีความสำคัญต่อสวรรค์และโลกมิใช่น้อย พระพิฆเนศวรทรงเป็นมหาเทพที่มีเศียรเป็นช้างมีงาเดียว บรรดาพวกศิลปินทั้งหลายล้วนนับถือบูชาพระพินเณศวรกันเป็นที่แพร่หลายจนถึงในปัจจุบัน และกว้างขวางไปทั่วโลกด้วย แม้แต่ในบ้านเราก็สักการะบูชาพระพิฆเนศวรกันมิใช่น้อย

                พระขันฑกุมาร


ส่วนพระขันทกุมารนั้นทรงเป็นเทพแห่งสงครามมีรูปลักษณ์เป็นเทพที่งามสง่าแฝงไว้ด้วยความห้าวหาญชาญชัยในลักษณะของนักรบ ชาวอินเดียจะสัการะบูชาพระขันทกุมารในช่วงเดือน 5 ขึ้น 6 ค่ำ ซึ่งเรียกกันว่า พิธีกรรตติเกยะ อันเป็นพิธีกรรมที่มีเพียงแต่บวงสรวงบูชาและมีระบำรำฟ้อนตัวเทพการบูชาเทพองค์อื่นๆ

เพราะการบูชาพระขันทกุมารนี้จะมีการละเล่นเป็นเกมกีฬาและกรีฑาหลากหลายประเภทที่จะมุ่งเน้นการแข่งขันที่แสดงความแข็งแรงและเชี่ยวชาญทางอาวุธ เช่น การยิงธนู เป็นต้น

สำหรับพระธิดานั้น บางคัมภีร์บันทึกว่าพระศิวะไม่ได้ทรงมีลูกสาวเลยแม้แต่องค์เดียว

แต่บางคัมภีร์ระบุว่าพระศิวะมีลูกสาวองค์เดียวคือ พระนางมาริษาหรือมนสาเทวี อิตถีเทพผู้เป็นที่กล่าวขวัญกันว่างดงามเป็นยิ่งนัก

แต่ทว่าในคัมภีร์ก็กล่าวว่าพระธิดาองค์นี้จะประสูติจากพระมเหสีองค์ใดของพระศิวะก็มิอาจทราบได้ เพราะมิได้ปรากฏหลักฐานอันใด จึงมีการสันนิษฐานกันว่า อาจจุติมาจากการที่พระศิวะทรงนิรมิตเสกสรรขึ้นมาเองก็เป็นได้

และไม่มีทางที่พระนางมาริษาจะเป็นธิดาของพระศิวะที่ประสูติจากพระนางปาราวตีหรือพระแม่อุมาเพราะมีเรื่องร่ำลือกันว่า พระนางมาริษาไม่ค่อยถูกชะตากับพระอัครมเหสีของผู้เป็นพระบิดาเท่าใดนัก

พระนางมาริษากับพระนางปาราวตีมีเรื่องขัดแย้งกันบ่อย ๆจนฝ่ายอ่อนเยาว์กว่าได้ตัดสินใจเสด็จลงมาประทับบนโลกและสถิตย์อยุ่ในฐานะเทพนารีที่ประทานพรต่อมนุษย์ จึงมีผู้คนนิยมสักการะบูชากันไม่น้อยในเวลาต่อมา

โดยทั่วไปมักจะมีความเชื่อกันแต่เพียงว่า พระศิวะทรงมีลูกชาย 2 องค์เท่านั้นคือพระพิฆเณศวรกับพระขันทกุมารนั่นเอง


กำเนิดศิวลึงค์
ตามตำนานของอินเดียกล่าวว่า ศิวลึงค์สามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้

 
         

ตำนานการเกิดศิวลึงค์ในทางศาสนาสากลได้กล่าวไว้ว่า ในครั้งหนึ่งเจ้าแม่กาลีซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของพระแม่อุมามหาเทวีอัครมเหสีขององค์พระศิวะมหาเทพนั้น ได้บังเกิดความกริ้วในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งทรงบังเกิดความไม่พอใจอย่างมาก จนกระทั่งได้เกิดโรคระบาดในหมู่บ้าน ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย ลมตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งบรรดาชาวบ้านชาวเมืองได้เชื่อกันว่าภัยพิบัติครั้งนั้นเกิดขึ้นจากความกริ้วของเจ้าแม่กาลีเป็นแน่ ดังนั้นพวกพราหมณ์จึงได้ปรึกษาหารือกันแล้ว มีมติให้นำดินมาปั้นเป็นรูปอวัยวะเพศของพระศิวะ เพื่อถวายให้กับเจ้าแม่กาลี ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า พระแม่อุมาในภาคนี้นั้นค่อนข้างจะดุดันมิใช่น้อย

การปั้นเป็นรูปอวัยวะเพศให้เป็นเสมือนสัญลักษณ์ตัวแทนของพระศิวะ แล้วนำไปถวายเพื่อบูชาเจ้าแม่กาลีนั้นจึงน่าจะทำให้เจ้าแม่เกิดความพอใจและระงับความกริ้วลงได้

ซึ่งปรากฏว่าเมื่อพวกพราหมณ์ได้นำเอาศิวลึงค์หรือรูปของลับนั้นไปบูชายังเทวลัย หรือศาลเจ้าที่มีรูปเคารพของเจ้าแม่กาลีประดิษฐานอยู่ และได้มีการสวดมนตร์สรรเสริญบูชา ถวายเครื่องบวงสรวงสังเวยต่างๆพร้อมกับรูปศิวลึงค์นั้น

ปรากฏว่าเมื่อเสร็จสิ้นการบวงสรวงบูชาในพิธีกรรมนั้น บรรดาชาวบ้าน ชาวเมืองก็ได้รอดพ้นจากโรคระบาด ที่ทำให้ป่วยไข้และล้มตายกันไปอย่างน่าอัศจรรย์นัก เพราะหลังจากนั้นไม่นานโรคระบาดก็ได้หายไปไม่เกิดขึ้นอีก จึงทำให้ได้มีการสร้างรูปศิวลึงค์กันอย่างแพร่หลาย และได้มีการประกอบพิธีกรรมบูชาศิวลึงค์นั้น ควบคู่ไปกับการสักการะบูชาเจ้าแม่กาลีด้วย

นี่เป็นตำนานการเกิดศิวลึงค์อีกตำนานหนึ่ง ซึ่งยังได้ระบุว่าการที่พ่อแม่นำศิวลึงค์ขนาดเล็กๆผูกไว้กับเชือกแล้วผูกรอบเอวของเด็ก ๆก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าแม่กาลีทำร้ายเด็กได้ เด็กที่ผูกศิวลึงค์ไว้ป้องกันตัว ก็จะแข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งก็เป็นความเชื่อหนึ่งที่ยังมีให้เห็นในปัจจุบันนี้และแม้แต่ในบ้านเมืองเราก็มีปรากฏให้เห็นถึงความเชื่อนี้ด้วยเช่นกัน แต่เราจะเรียกศิวลึงค์นั้นว่า "ปลัดขิก"

ในเทวลัยบางแห่งนั้น นอกจากรูปศิวลึงค์ที่สร้างเป็นรูปแท่งอวัยวะเพสชาย จากหินบาง จากดินบ้างหรือจากไม้แกะสลักบ้างแล้วนั้น ในบางแห่งจะปรากฏว่าฐานของศิวลึงค์จะมีแท่นรองรับอีกแท่นหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แทนอวัยวะเพศหญิง เรียกกันว่า "โยนี" นั่นเอง

การที่ได้คิดสร้างโยนีเป็นแท่นรองรับศิวลึงค์นั้น ก็เพื่อให้เป็นเสมือนสัญลักษณ์แทนองค์พระแม่อุมา ที่เป็นอัครมเหสีขององค์พระศิวะมหาเทพนั่นเอง

และในความหมายอันลึกซึ่งกว่านั้น ตามคติพราหมณ์ได้เชื่อกันว่าทั้งโยนีและศิวลึงค์ ซึ่งเป็นอวัยวะเพศหญิงและอวัยวะเพศชายนั้น ก็เปรียบเสมือนสิ่งของที่จะต้องคู่กัน และมีพลังที่จะส่งเสริมกันให้มีอำนาจและมีพลังยิ่งใหญ่โดยแท้ เสมือนกับผู้หญิงที่มักจะเป็นแรงเสริมคอยผลักดันให้ผู้ชายได้มีอำนาจมีความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง อันเป็นสิ่งที่จะต้องคู่กันและเสริมกันให้เกิดความสมบูรณ์อย่างแท้จริง ในการดำเนินชีวิตของมนุษยชาติ

การบูชาศิวลึงค์
เครื่องบวงสรวงที่จะใช้ในพิธีกรรมนี้ก็ประกอบด้วยน้ำนมสดและพวงมาลัยดอกไม้สดเป็นพิเศษ นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องประกอบพิธีดังนี้

- ดอกไม้เหลือง
- ดอกไม้แดง
- ข้าวตอก
- ใบมะตูม
- หญ้าคา
- มูลโค
- มะพร้าวอ่อน
- เมล็ดธัญพืชต่าง ๆเช่น ข้าวโพดแห้ง เมล็ดข้าวแห้ง
- ธูปหอมและเทียนหอม

คาถาอัญเชิญพระศิวะ

โอม นะมัสศิวายะ
จะ นะมัสศิวารายะ
จำเปนะ เคารา นะสีธะ กายายะ
ตันตะ ปูระณะ กาวะนะสิ จะ กายอ
นะมัสศิวารายะ ยะยอ กัตตุกะรี
คิกากัง คะมะติ จัตติตา ยอเนสิ
สะกุลธะรา ยายะ นะมัสศิวาระยะ
อาระคัม สัมปุญญะยัม สีวิรุธ
ตะรัยยะเก มะเหยเต

โอม นะโม อิศศะราเม
ศิวะเทวัญ จะ ภะวันตุเม
ทุติยัมปิ นะโม อิศศะราเม
ศิวะเทวัญ จะ ภะวันตุเม
ตะติยัมปิ นะโม อิศศะราเม
ศิวะเทวัญ จะ ภะวันตุเม *

โอม นะมัส สิวายะ
จำเป นะเคารา นะสีระกายายะ
กัตตะปูระณะ กาวะนะสี จะกายอ
นะมัสสิ วายะยายะ จะนะมัสสิ วายะยอ
กัตุกรี คิกากัง คะมะติวัตติตายายะ
มะมิกุณธะลายอ นะมัสสิวายายะ จะนะมัสสิวายา
อะระคัม สัมปุญญัม สีวิรุส
ตะไรยยะเก กาเม จะมะเหยะเต

คาถาบูชาพระศิวะแบบย่อ
.....       โอม นมัช ศิวายะ.....

ขอบคุณข้อมูลจากwww.geocities.com
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 02:57:31 pm »

กำเนิดพระอินทร์


พระอินทร์ (สันสกฤต: อินฺทฺร, บาลี : อินฺท) เป็นชื่อของเทวดาในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ โดยมีตำแหน่งเทวาธิบดี เป็นประมุขแห่งเทวดาทั้งปวง มีหน้าที่ปกครองสวรรค์และอภิบาลโลก ถือกำเนิดขึ้นในสมัยฤคเวท
อินทร์" แปลว่าผู้เป็นใหญ่

 พระอินทร์ หรือ (ท้าวอมรินทร์เทวาธิราช)คือ เทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเทวาธิบดี / เทพแห่งการสงคราม และภูมิอากาศ มีกายสีเขียว มีพระเนตรถึงพันดวง ใช้วัชระ(สายฟ้า) เป็นอาวุธ  มีช้างเอราวัณเป็นพาหนะ  พระองค์มีมเหสี ๔ องค์ คือ สุจิตรา สุธรรมา สุนันทา และสุชาดา

        พระอินทร์เป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของมนุษย์โลก  ยามใดที่มีเรื่องเดือดร้อนขึ้นบนโลกมนุษย์ อาสนะของพระองค์ที่เคยอ่อนนุ่ม ก็จะแข็งกระด้าง หรือบางครั้งก็ร้อนจนไม่สามารถประทับอยู่ได้

        พระอินทร์มีชื่อเรียกอย่างอื่น เช่น ท้าวสหัสนัยน์ ท้าวโกลีย์ ท้าวสักกะ เทวราช อมรินทร์ ศักรินทร์ มัฆวาน เพชรปาณี

คัมภีร์พระเวทสมัยพุทธกาลเดิมมี 3 เรียกว่าไตรเพท คือ
1.ฤคเวท โศลกบทร้อยกรอง ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า

2.ยชุรเวท เป็นคำร้อยแก้ว ว่าด้วยระเบียบในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ

3.สามเวท เป็นคำฉันท์ ใช้สวดในพิธี ฯ

และเพิ่มมาอีก 1 คือ อาถรรพเวท เป็นที่รวมคาถา อาคม เวทมนต์ ฯ



ในบรรดาเทพเหล่านั้น พระอินทร์ก็เป็นเทพที่รู้จักกันมากตั้งแต่ยุคพระเวท ก่อนจะมีพระพรหม พระวิษณุ พระอิศวร ในคัมภีร์ฤคเวทซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดของอินเดียได้เปิดตัวพระอินทร์ไว้อย่างเกรียงไกรมาก



คัมภีร์ฤคเวทกล่าวว่า อสูรตนหนึ่งชื่อวฤตรา ได้กวาดต้อนฝูงควายสวรรค์ที่ทำหน้าที่เป็นเมฆฝนกักไว้ในป้อมของตน ทำให้เกิดความแห้งแล้งทั่ว มนุษย์จึงวิงวอนสวดขอความช่วยเหลือจากเทพ

....บิดาแห่งสวรรค์คือทยาอุสได้รวมตัวกับพระแม่ธรณีปฤถิวีสร้างพระอินทร์ขึ้นมา ทันทีที่ถือกำเนิด พระอินทร์ก็คว้าน้ำอมฤตมาดื่มจนร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยเทวอำนาจกลายเป็นพระเจ้าผู้ครองโลกทั้งสาม ดื่มเสร็จก็ฉวยสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธของทยาอุสกระโดดขึ้นรถทรงสีทองพร้อมด้วยมารุตเทพ(เทพแห่งพายุและฟ้าผ่า) และได้ไปปราบอสูรวฤตรา ภายหลังก็กลับมาฆ่าพระบิดาแล้วสถาปนาตนเองเป็นบิดาแห่งสวรรค์

คัมภีร์ฤคเวทในที่บางแห่งกล่าวว่าพ่อของพระอินทร์ได้แก่ฟ้า(ทยาอุส) แม่คือดิน(แม่พระธรณี) พอพระอินทร์เกิดมาก็เอาน้ำโสมมาดื่ม ดื่มแล้วรูปร่างก็โตใหญ่ขึ้นมาทันที โตขึ้นมากจนพ่อกับแม่ตกใจหนีกันไปคนละทาง ฟ้ากับดินเคยอยู่ร่วมกันมานานแต่ไหนแต่ไรมา ต้องมาแยกกันตอนเห็นลูกตัวโตนี่เอง


พระอินทร์เป็นเทวราชาผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งพายุฝน การเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ .....ดังนั้นจึงมีผู้คนเป็นอันมากเคารพนับถือและอ้อนวอนต่อพระองค์เพื่อหวังอย่าให้เกิดความแห้งแล้งให้มีแต่ความอุดมสมบูรณ์...
พระอินทร์เป็นเทวราชาผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งพายุฝน การเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ .....ดังนั้นจึงมีผู้คนเป็นอันมากเคารพนับถือและอ้อนวอนต่อพระองค์เพื่อหวังอย่าให้เกิดความแห้งแล้งให้มีแต่ความอุดมสมบูรณ์

พระอินทร์เป็นเทพที่รู้จักกันมาเก่าแก่ในยุคพระเวท และไตรเพทก็ยกย่องเทวดาองค์นี้มากเป็นพิเศษ สมัยพระเวททรงยิ่งใหญ่กว่าเทพองค์ไหนๆ และตอนนั้นยังไม่ปรากฏตรีมูรติ อำนาจของพระอินทร์เริ่มเสื่อมถอยลงเมื่อมีการสถาปนามหาเทพทั้งสาม หรือพระตีมูรติ


บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: เมษายน 20, 2009, 03:12:52 pm »

ประวัติพระนารายณ์

(ภาษาอังกฤษ : Vishnu , อักษรเทวนาครี : विष्णु) หรือเรียกอีกอย่างว่า พระนารายณ์
เป็น1 ใน 3 มหาเทพ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์
 รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง
 มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัวบ้าง
หรือ ไม่ถืออะไรเลยบ้าง(โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร")




โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยส่วนมากจะทรงบรรทมอยู่บนหลังอนันตนาคราช โดยมีพระชายาคือ พระลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้างๆเสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ



พระวิษณุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ"ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ

พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก
พระวิษณุ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล
พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม 

                           
อาจเป็นไปได้ว่าชาวพุทธไม่ชอบการที่ฮินดูนำพระศาสดาของพุทธ ไปเป็นอวตารปางหนึ่งของมหาเทพของเขา จึงมีการสลับปางที่ไม่สำคัญเข้ามาแทน

ปางที่ 1 วราหาวตาร (อวตารเป็นหมูเผือกเขี้ยวเพชร)
ปางที่ 2 กูรมาวตาร (อวตารเป็นเต่าทอง)
ปางที่ 3 มัตสยาวตาร (อวตารเป็นปลากรายทอง)
ปางที่ 4 นรสิงหาวตาร (อวตารเป็นครึ่งสิงห์)
ปางที่ 5 วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร (อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย)
ปางที่ 6 มหิงสาวตาร (อวตารเป็นมหิงสา หรือควาย)
ปางที่ 7 อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางฟ้า)
ปางที่ 8 รามาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์ชื่อพระราม)
ปางที่ 9 กฤษณาวตาร (อวตารเป็นพระกฤษณะ)
ปางที่ 10 กัลกยาวตาร (อวตารเป็นมนุษย์เรียกว่า วีรบุรุษขี่ม้าขาว)
คลิ๊กดูภาพประกอบ พระวิษณุอวตาร10ปางและฟังเพลง


คลิ๊กเพื่อเข้าไปอ่านอวตาร10ปาง
ปางอื่นๆที่น่าสนใจ

- อัปสราวตาร (อวตารเป็นนางอัปสร หรือ นางฟ้าผู้เลอโฉม) เพื่อหลอกล่อเหล่าอสูร เพื่อให้เหล่าเทวดาได้ดื่มน้ำอมฤตที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทร เพื่อเทวดาจะได้เป็นอมตะและมีฤทธิ์เหนืออสูร
- นารัตอวตาร (อวตารเป็นเทวฤษีนารัต)เพื่อให้ความรู้ สั่งสอน และชี้แนะแก่ มวลเทวะ มวลมนุษย์ และ หมู่มวลอสูร
 
ความเชื่อในคตินิยม

พระวิษณุ หรือคนไทยมักเรียกว่า พระนารายณ์ มี 4 กร และมีอาวุธอยู่ทั้ง 4 พระหัตถ์ ประกอบด้วย ตรี คทา จักร สังข์ เป็นเทพผู้สร้างโลก เทพผู้ถ่ายทอด สรรพวิชาช่างต่างๆ โดยได้รับพรและ พลังอันศักดิ์สิทธิ์มากมายจากพระอิศวร จึงมีฤทธิ์ไม่แพ้กัน และยังมีความเชื่อว่า ใครบูชาท่านแล้วจะได้รับความคุ้มครอง และมีโชคลาภ แต่จะต้องเป็นคนมีสัจจะ รักษาศีล รวมทั้งเจริญภาวนาเป็นที่ตั้ง


คาถาบูชา

คำบูชาพระวิษณุ (นารายณ์) โอม...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ทุติยัมปิ...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ตะติยัมปิ...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ฯ
บทอธิฐานขอพร พระนารายณ์ โอม...ศานตาการัม ภุชะคะศะยะนัม ปัทมะนาภัมสุ ุเรศัม วิศวาธารัม คะคะนะสะทฤศัม เมฆะวรรณัม ศุภางคัม ลักษมีกานตัม กะมะละนะยะนัม โยคิภีร์ ธยานะคัมมยัม วันเทวิษณุมอภะวะภะยะหะรัม สรรวะโลกัยกานาถัม ฯ
บทอธิฐานขอพร พระวิษณุ โอม...สะศางขะจักรัม สะกิริฏะ กุณตะลัม สปิตะวัสตรัม สะระสีรูเหกษณัม สะหาระวักษะสถะละ เกาสตุภะ ศริยัม นะมามิ วิษณุม ศิระสา จตุรภุซัม ฯ
บทอธิฐานขอพร พระราม โอม...นีลามพุชะ ศยามะละ โกมะลางคัมสีตา สมา โรปิตะ วามะภาคัม ปาเณา มหาสายะกะ จารุ จาปัม นะมามิ รามัม ระฆุวัมศะ นาถัม ฯ
   



บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2009, 06:39:36 pm »

การสวดบูชาพระพิฆเนศวรในประเทศ อินเดีย...... 

http://www.youtube.com/v/79qWATj-bz4&hl=en&fs=1&" type="

http://www.youtube.com/v/X0POEKc5WB0&hl=en&fs=1&" type="

ท่านใดมีเพลงบทสวดแบบนี้ หรือคล้ายๆ ตัวอย่างคลิปนี้ ผมขอหน่อยสิครับ ฟังแล้วรู้สึกเพราะดี
เป็น mp3 นะครับ....ขอบคุณล่วงหน้าครับ    THANK!!  Cheesy
บันทึกการเข้า
แวมไพร์-LSVteam♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน912
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3712


..เรียนให้รู้เป็นครูเขา.Learning by doing


« ตอบ #19 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2009, 07:01:31 pm »

รอผมแป๊บหนึ่งนะครับ กำลังโหลดครับเดี๋ยวจะอัพให้ครับ Smiley HAPPY2!!
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2009, 07:03:47 pm »

ครับผม ขอบคุณครับพี่แวมไพร์......   THANK!!  HAPPY2!!  Smiley
บันทึกการเข้า
แวมไพร์-LSVteam♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน912
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3712


..เรียนให้รู้เป็นครูเขา.Learning by doing


« ตอบ #21 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2009, 07:46:17 pm »

ลองดูครับ Smiley HAPPY2!!

บทสวดพระพิฆเนศวรคลิ๊กเลยครับ
บันทึกการเข้า
Nattawut-LSV Team
E23IUY
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน808
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3581


อีเมล์
« ตอบ #22 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2009, 08:12:40 am »

เพราะดีครับ......... 
บทสวดบูชามหาเทพ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: