พ ญ า ว า น ร
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 23, 2024, 05:51:29 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พ ญ า ว า น ร  (อ่าน 5508 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13886


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: มิถุนายน 12, 2008, 11:29:08 am »

สมุนไพรชนิดหนึ่งมาจากประเทศเวียดนาม ชื่อ ฮว่านง็อก และมีชื่อไทยเรียกกันว่า พญาวานร

ลักษณะ:
เป็นพันธุ์ไม้เตี้ย ๆ สูงประมาณ 1 เมตรกว่า ๆ แต่ก็ไม่ใช่ไม้ล้มลุก ดู ๆ เป็นพันธุ์ไม้ธรรมดา ๆ จึงไม่เป็นที่สนใจกับคนทั่ว ๆ ไป
 ฮว่านง็อกเข้ามาเมืองไทยทางภาคอีสานแถว ๆ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา
 เป็นพันธุ์ไม้ใบอ่อนสีเขียว ปลายใบแหลม แตกกิ่งก้านสาขามาก ออกตามโคนง่ามใบ ใช้เคี้ยวใบสด ๆ
 ก่อนรับประทานอาหารวันละ 4-7 ใบ มากน้อยแล้วแต่ชนิดของโรค กินสด ๆ ง่าย ๆ ไม่มีรสฝาดเฝื่อนแต่ประการใด
ว่าจริง ๆ แล้ว แปะตำปึงที่ว่าน่ากินกว่าจินฉี่เหมาเยี่ย แต่ฮว่านง็อกหรือพญาวานรน่ากิน กว่าแปะตำปึงเสียอีก
 ทั้งคุณค่าทางสมุนไพรจะเหนือกว่าด้วยซ้ำไป และไม่มีศัตรูพืชเหมือนแปะตำปึง คือ เพลี้ยแป้งที่เกาะอยู่ตามใต้ใบ
 ตามส่วนยอด ทำให้ยอดและใบหงิก แต่แก้ไขง่าย ๆ โดยตัดส่วนยอดทิ้งเสีย ยอดอ่อนจะแตกใหม่ตามโคนง่ามใบ ไม่ควรใช้ยาปราบศัตรูพืช ฉีดพ่น เพราะจะเป็นอันตรายถึงผู้ที่เก็บใบไปกิน

คุณค่าทางสมุนไพรเป็นที่ยอมรับกับผู้ที่ใช้มาแล้ว
นอกจากเบาหวานได้ผลอย่างดีแล้ว ยังรักษาโรคมะเร็ง ไข้หวัด อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย อาการทางเดินอาหารไม่ปกติ โรคกระเพาะอาหาร เลือดออกตามลำไส้ ตับอักเสบ ไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือดหรือขุ่นข้น โรคตาทุกชนิด รักษาอาการ มดลูกหย่อนยานของสตรีที่คลอดลูกใหม่ ๆ โรคความดันโลหิตสูง-ต่ำ
ใช้กับสัตว์ก็ได้ เช่น ไก่เหงาเป็นอหิวาต์ เป็นนิวคาสเซิล หรือจากการชนไก่ โดยให้กิน 2-3 ใบ ส่วนการขยายพันธุ์ฮว่านง็อกทำได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกับแปะตำปึง คือ ตัดลำต้นเป็นข้อ ๆ นำไปปักชำ รากใหม่จะงอกออกมาภายใน 7-10 วัน
 ฮว่านง็อกเป็นพันธุ์ไม้ที่ขึ้นง่าย โตเร็ว โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยช่วยแต่อย่างใด เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มหรือแดดรำไร
สมุนไพรฮว่านง็อก (Hoan Ngoc) เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเวียดนาม ผู้นำเข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นกลุ่มทหารผ่านศึกสมัยสงครามเวียดนาม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ว่านลิง, พญาวานร –ตอนนี้วางขายกันต้นละ 100 บาท
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Pseuderatherum Platiferum
Family : Acanthaceae
ประเทศเวียดนามระบุสรรพคุณไว้ว่า รักษาอาการท้องเดิน(Diarrhoea),เจ็บคอ(sore throat)
ส่วนที่ใช้ : ใบสดเคี้ยวกินหรือคั้นกรองเอาน้ำ
สรรพคุณ : รักษาอาการปวด ต้านการอักเสบ ลดความดัน โรคเบาหวาน
ตัวยาสำคัญ อยู่ในใบสด มีฤทธิ์แก้ปวด ต้านการอักเสบได้ดี
รสใบจะจืด เคี้ยวๆไปจะเหมือนเป็นวุ้น เลี่ยน ถ้าทนได้รีบเคี้ยวแล้วดื่มน้ำตาม หรืออีกวิธีหนึ่งคือนำใบมาคั้นกับน้ำสะอาด หรือนำมาปั่น แล้วกรองเอาแต่น้ำข้นๆดื่ม
 การใช้ใบสดๆจะได้ตัวยาดีกว่านำไปต้มหรือผ่านความร้อน
มีคนสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทางวิชาการของฮว่านง็อกมาเยอะ
 อยากจะบอกว่าปัจจุบันในไทยยังไม่มีข้อมูล ได้ความว่าเนื่องจากเป็นสมุนไพรของเวียดนาม...
บริษัทยาในญี่ปุ่น อเมริกา คว้าไปแล้ว สำหรับคนที่ต้องการความแน่ใจทางวิชาการและใช้ในรูปยาแผนปัจจุบันคงต้องอดใจรออีก หลายๆปี กว่าจะทำมาให้เราซื้อ
สำหรับประเทศไทยไม่หวังอะไรหรอก
 ดูจากเปล้าน้อย กวาวเครือขาว ไม่เห็นจะเข็ดกันสักที ตื่นตูมช่วงนึ่งแล้วเรื่องก็เงียบ
รัฐบาลไม่เห็นความสำคัญในการแก้ปัญหา วัวหายล้อมคอก
ไม่มีการสนับสนุนการวิจัยอย่างแท้จริง(เงินทุน) คนไทยเราเก่ง แต่โง่ ไม่ทันเกม
 บุคคลากรมีความสามารถ แต่ ตัวใครตัวมัน
การวิจัยต้องใช้เวลา เงินทุน และอุปกรณ์ที่พร้อม ทันสมัย
คำถาม รัฐบาลไทยสนุบสนุนตรงนี้หรือเปล่า?
บริษัทยาต่างประเทศเค้าทุนหนา ถึงได้วิจัยแล้วจดสิทธิบัตรไปไง เราก็อ้าปากหวอ ดูเค้าเอาไปกอด แล้วมาเต้นแร้งเต้นกาทีหลัง เปล่าประโยชน์ครับ มีตั้งนานไม่ทำไม่เห็นความสำคัญ คนไทยก็ควักกระเป๋าซื้อยาเค้ามาใช้
ที่เขียนมายืดยาวคือจะอธิบายว่าทำไมไม่มีข้อมูลวิชาการสนับสนุน แต่ทางมหาวิทยาลัยอาจจะมีการศึกษาบางส่วน
สรรพคุณของต้นสมุนไพร (จากเอกสาร ฮานอย 2-9-1995 ถ่ายทอดจากต้นฉบับจริง)
1.   รักษาคนสูงอายุ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ทำงานหนัก เกิดประสาทหลอน
2.   รักษาไข้หวัด ความดันโลหิตสูง ท้องไส้ไม่ปกติ
3.   รักษาบาดแผล เคล็ดขัดยอก กระดูกหัก
4.   รักษาอาการทางเดินอาหารไม่ปกติ
5.   รักษาอาการโรคกระเพาะอาหาร โรคเลือดออกในลำไส้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
6.   รักษาอาการคอพอก ตับอักเสบ
7.   รักษาอาการไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่นข้น
8.   รักษาอาการโรคมะเร็งปอด อาการปวดต่างๆที่ไม่ทราบสาเหตุ ให้รับประทานต่อไป 100-200 ใบ อาการจะหายขาด
9.   รักษาโรคตาทุกชนิด เช่น ตาแดง ตาต้อ ตาห้อเลือด
10.   รักษาอาการมดลูกหย่อนของหญิงคลอดบุตรใหม่ ให้ผลดี ช่วยให้มดลูกเข้าอู่
11.   รักษาโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ โรคประสาทอ่อนๆ
12.   สามารถใช้กับสัตว์ได้ จากเอกสารระบุว่าใช้กับไก่ชนหลังจากชนไก่แล้วต้องการให้ไก่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ให้ไก่กินใบของต้นสมุนไพร จะฟื้นตัวได้เร็ว
รายละเอียดในการใช้รักษาแต่ละโรค
1.   โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล รับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง รับประทานติดต่อกันไปจนครบ 50 ใบ
2.   โรคเลือดออกในลำไส้ รับประทานใบสด 7-13 ใบ หรือคั้นเอาน้ำ วันละ 2 เวลา
3.   โรคเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่ เป็นบิด รับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง รับประทานติดต่อกันไปประมาณ 100 ใบ
4.   โรคตับอักเสบ คอพอก รับประทานครั้งละ 7 ใบ วันละ 3 ครั้ง รับประทานติดต่อกันไปจนครบ 150 ใบ
5.   โรคไตอักเสบ ปวดเป็นประจำ รับประทานครั้งละ 3-4 ใบ วันละ 3 ครั้ง รับประทานไปจนครบ 30 ใบ
6.   อาการท้องไส้ไม่ปกติ รับประทาน 7-14 ใบ 2 ครั้ง หาย
7.   ปวดเมื่อยตามร่างกาย รับประทาน 7-14 ใบ 2 ครั้ง หาย
8.   อาการปัสสาวะแสบ ปัสสาวะเป็นเลือด รับประทาน 14-21 ใบ โดยการคั้นเอาน้ำข้นๆรับประทาน
9.   โรคตาแดง รับประทาน 7 ใบ และบด 3ใบ ปิดที่ตาเวลานอน 1 คืน จะหาย
10.   โรคความดันโลหิตสูง จะลดทันทีเมื่อรับประทาน 5 – 9 ใบ
11.   แก้โรคเบาหวาน ผู้ชายรับประทาน วันละ 7 ใบ ผู้หญิงรับประทานวันละ 9 ใบ ภายใน 90 วัน หาย
12.   ใช้กับสัตว์ เช่น ไก่เหงา เป็นอหิวาต์ หรือ นิวคาสเซิ่ล ให้ไก่กิน 2-3 ใบ ไก่ชนหลังจากการชนแล้วให้กิน 2-3 ใบ
13.   สตรีหลังคลอด รับประทานวันละ 1 ใบ ทุกวัน จะทำให้ฟื้นตัวได้เร็ว
* ข้อมูลอ้างอิงจาก เล่าขานตำนานว่าน ลำปาง ปาซิโร หนังสือ เทคโนโลยีชาวบ้าน
หมายเหตุ- ควรใช้ใบสด สีเขียวไม่เหลือง ไม่อ่อนหรือแก่จนเกินไป
               - ต้นกล้าที่จำหน่าย ย้ายปลูกลงกระถางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น รดน้ำเช้าเย็น ต้นไม้ชอบที่ร่มไม่ชอบแสงแดด ปลูกต่ออีกประมาณ 2 เดือน จึงนำใบมาใช้ได้
ตอนนี้ ทางญี่ปุ่นและสหรัฐได้ทำการวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ข้อมูลถูกเก็บเป็นความลับ เพื่อทำการทดลองทางคลีนิค และจดสิทธิบัตร
 ก่อนจะออกมาเป็นยาให้พวกเราซื้อใช้กัน
อยากจะแนะนำว่าเรามีต้นไม้ ใช้ใบสดประหยัดและคุ้มค่า
 แนะนำกินเป็นผักแนมน้ำพริกสำหรับโรคทั่วๆไป หรือปั่นใบเอาน้ำดื่ม สำหรับโรคมะเร็ง
(เพราะใช้ทีเป็น100ใบ) ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เป็นคำสอนที่ใช้ได้ดีในทุกยุคทุกสมัย
               การกินเราใช้ใบสด เขียวๆ สีเหลืองไม่เอา มาเคี้ยวกิน3-4ใบ เช้า-เย็น
จากประสพการณ์ เคี้ยวแล้วมันเลี่ยน เมือกๆ คนกินยากๆพาลจะอ้วกเอาง่ายๆ
เลยลองเอาใบฮว่านง็อกมากินกับน้ำพริกดู  ได้ผลแฮะ น้ำพริกดับความเลี่ยนได้
เลยกินได้ตามเป้า อีกวันลองกินกับลาบ อ่าฮ๊า ใช้ได้เหมือนกัน
ผู้เขียนเลี่ยงที่จะใช้คำว่ารักษา เพราะยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยังยันว่า รักษาได้
 ผู้เขียนอ้างอิงจากการใช้ในผู้ป่วยจริง
 และจากข้อมูลวิชาการที่มีการศึกษาแล้วบางส่วน พอสรุปได้ดังนี้
การใช้ในผู้ป่วยมะเร็ง ผล อาการปวดทุเลา คุณภาพชีวิตดีขึ้น
การใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลเน่าเปื่อยตามขา หรือทั่วร่างกาย
ผลแผลแห้ง แผลดีขึ้น
 ผู้ป่วยที่ขาบวม อาการบวมลดลง ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
(อันนี้ต้องมีการศึกษาทางวิชาการยืนยัน) โดยรวม ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
การใช้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง อาการปวดหัวหนักหัว หายไปหลังจากกินฮว่านง็อก
(ก็ต้องศึกษาทางวิชาการอีก)
ผลเกี่ยวกับการฆ่าเชื้อลดอักเสบ อันนี้เป็นการวิจัยจากเวียดนามที่เค้าใช้ในการรักษาโรคท้องเดิน เจ็บคอ
เจตนาผู้เขียนเสนอให้เป็น 1 ทางเลือก
ไม่ใช่ให้ใช้แทนยาแผนปัจจุบัน แนะนำให้ใช้คู่กันดังเช่น ใช้อาหารเป็นยา
 ผู้เขียนไม่สนับสนุนยาหม้อ ยาผีบอก ยาครอบจักรวาล แต่มันก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนที่จะเลือกใช้   กำลังใจ ความหวัง เป็นสิ่งสำคัญ
อาการแพ้ที่เกิดจากสมุนไพร สมุนไพรมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับยาทั่วไป คือมีทั้งคุณและโทษ บางคนใช้แล้วเกิดอาการแพ้ได้
แต่เกิดขึ้นได้น้อยเพราะสมุนไพรมิใช่สารเคมีชนิดเดียวเช่นยาแผนปัจจุบัน
 ฤทธิ์จึงไม่รุนแรง (ยกเว้นพวกพืชพิษบางชนิด)
 แต่ถ้าเกิดอาการแพ้ขึ้นควรหยุดยาเสียก่อน ถ้าหยุดแล้วอาการหายไป อาจทดลองใช้ยาอีกครั้งโดยระมัดระวัง
 ถ้าอาการเช่นเดิมเกิดขึ้นอีกแสดงว่าเป็นพิษของยาสมุนไพรแน่
 ควรหยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาอื่น หรือถ้าอาการแพ้รุนแรงควรไปรับการรักษาที่สถานีอนามัยและโรงพยาบาล
•   อาการที่เกิดจากการแพ้ยาสมุนไพร มีดังนี้
1.   ผื่นขึ้นตามผิวหนังอาจเป็นตุ่มเล็กๆ ตุ่มโต ๆ เป็นปื้นหรือเป็นเม็ดแบนคล้ายลมพิษ อาจบวมที่ตา (ตาปิด) หรือริมฝีปาก (ปากเจ่อ) หรือมีเพียงดวงสีแดงที่ผิวหนัง
2.   เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน (หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง) ถ้ามีอยู่ก่อนกินยาอาจเป็นเพราะโรค
3.   หูอื้อ ตามัว ชาที่ลิ้น ชาที่ผิวหนัง
4.   ประสาทความรู้สึกทำงานไวเกินปกติ เช่นเพียงแตะผิวหนังก็รู้สึกเจ็บ ลูบผมก็แสบหนังศีรษะ ฯลฯ
5.   ใจสั่น ใจเต้น หรือรู้สึกวูบวาบคล้ายหัวใจจะหยุดเต้น และเป็นบ่อยๆ
6.   ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเหลืองและเมื่อเขย่าจะเกิดฟองสีเหลือง (เป็นอาการของดีซ่าน) อาการนี้แสดงถึงอันตรายร้ายแรงต้องรีบไปหาแพทย์



บันทึกการเข้า

jokerzero
member
*

คะแนน1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 23, 2010, 04:57:37 pm »

หมอเตือนอายุ 35 ขึ้นไปควรตรวจโรคเบาหวาน
สถาบันโรคเบาหวานนานาชาติ เผยเบาหวานคุก คามประชากร 190 ล้านคนทั่วโลก คาดอีก 20 ปีมีผู้ป่วยมากกว่า 330 ล้านคน ระบุคนไทยป่วยนับล้านคน แต่กว่าครึ่งไม่รู้ตัวหมอแนะนำอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป หมั่นตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก ๆ 3-6 เดือน ศ.พอล ซิมเม็ท ผอ.สถาบันโรคเบาหวานนานาชาติ (IDF) กล่าวในงานสัมมนา ระบาดวิทยาของโรคเบาหวาน : ความท้าทายในการรักษาและค่าใช้จ่ายทางสุขภาพที่เพิ่มสูง ขึ้นในเอเชีย ตอนหนึ่งว่าปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิด ที่ 2 ซึ่งเกิดจากร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสมประมาณ 190 ล้านคน คาดว่าในปี 2568 จะมีผู้ป่วยกว่า 330 ล้านคน โดย 60% จะเป็นผู้ป่วยในเอเชีย ด้าน ศ.เกียรติคุณ น.พ.เทพ หิมะทองคำ กล่าวว่า โรคเบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินไม่เพียงพอพบได้น้อยไม่ถึง 1% ผู้ป่วยโรคเบาหวานของไทยส่วนใหญ่เป็น ชนิดที่ 2 ตัวเลขขณะนี้มีประมาณ 1 ล้านคน โดยผู้ใหญ่อายุเกิน 35 ปี พบได้ประมาณ 9.6% อายุเกิน 65 ปีขึ้นไปพบประมาณ 17% และในเด็กอ้วนน้ำหนักเกิน พบประมาณ 22% ทั้งนี้ผู้ป่วยกว่าครึ่งที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวาน ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น คนที่อ้วนมีน้ำหนักมาก อายุ 35 ปี ขึ้นไป ควรไปตรวจร่างกายทุก ๆ 3-6 เดือน  การคัดกรองที่ดีที่สุด คือ การเจาะเลือดเพื่อตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าอยู่ที่ประมาณ 100-120 ถือว่าปกติ แต่ถ้าเกิน 200 ขึ้นไปถือว่าผิดปกติ แต่ถ้าอยู่ในช่วง 140 แต่ไม่เกิน 200 จะต้องตรวจซ้ำ โดยบ่อยครั้งที่โรคเบาหวานไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบจนกว่าจะได้พบแพทย์ ด้วยอาการป่วยของโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งนี้อาการของโรคเบาหวานที่พบทั่วไป คือ กระหายน้ำมากขึ้น ปัสสาวะบ่อย เหนื่อยล้า การติดเชื้อซ้ำซ้อนหรือรักษาหายช้า ตาพร่ามัว และอาการชาตามมือและเท้า ศ.เกียรติคุณ น.พ.เทพ กล่าวอีกว่าผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติควรงดอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมัน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ในคนอ้วนต้องลดน้ำหนัก เนื่องจากค่าใช้จ่ายทางด้านสังคมและเศรษฐกิจในการรักษาโรคเบาหวานและโรคที่เกี่ยวเนื่องกับเบาหวาน ในช่วงเวลา 20-30 ปีข้างหน้า จะสร้างความกดดันอย่างมากให้กับงบประมาณทางด้านสุขภาพทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งประเทศไทย.

สนับสนุนเนื้อหา
 
คำที่เกี่ยวข้อง :  โรคเบาหวาน  สุขภาพ   รอบรู้เรื่องสุขภาพ   มะเร็ง   เมื่อยคอ   ปวดหลัง   เชื้อโรค
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!