อาณาจักรโบราณ แอตแลนติส (Atlantis)
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
ธันวาคม 04, 2024, 12:07:02 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อาณาจักรโบราณ แอตแลนติส (Atlantis)  (อ่าน 8031 ครั้ง)
EMOSECTION
Full Member
member
**

คะแนน20
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 453


เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้เป็น


อีเมล์
« เมื่อ: ธันวาคม 22, 2007, 09:10:06 pm »

 Sad เก็บมาให้อ่านกันครับ น่าสนใจมาก

ย้อนอดีตไปเมื่อ 2,300 ปีก่อนนี้ได้มีนักปราชญ์ชาติกรีกผู้ยิ่งใหญ่ ท่านหนึ่งชื่อ Plato ท่านได้เรียบเรียงบทสนทนาไว้สองบทชื่อ Timaeus และ Critias บทสนทนานี้ได้กล่าวถึง Critias ผู้เป็นทวดของ Plato ว่าปู่ของท่านซึ่งมีนามว่า Critias the Elder ได้ยินนิทานที่พ่อของท่านที่ชื่อ Dropides เล่ามาอีกต่อหนึ่งว่าเพื่อนของท่านที่ชื่อ Solon ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ. 10 ได้ยินได้ฟังมาจากพระชาวอียิปต์แห่งวิหาร Sais ในประเทศอียิปต์ว่า มีอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมาก ชื่อ Atlantis อาณาจักรนี้ตั้งอยู่บนเกาะๆ หนึ่งกลางมหาสมุทรแอตแลนติก และเกาะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมากแต่ในเวลาต่อมาเหตุการณ์แผ่นดินไหวได้ทำลายเกาะ และเกาะถูกคลื่นยักษ์ในทะเลไหลท่วมทับจมหายไปในทะเลอย่างไม่มีใครคนใดพบเห็นเกาะอีกเลย และในบทสนทนาที่ชื่อ Critias นั้น Plato ได้เล่าถึงอาณาจักร Atlantis ว่าประชาชนของอาณาจักรนี้เป็นลูกหลานของเทพ Poseidon แห่งทะเล บนเกาะมีภูเขา มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีป่าไม้ แร่และสัตว์ป่าเช่น ช้าง มากมาย อาณาจักรนี้มีกษัตริย์ปกครองถึง 10 พระองค์ ซึ่งทุกองค์เป็นบุตรที่ถือกำเนิดจากนาง Cleito และเทพ Poseidon และทุกๆ 5 ปี กษัตริย์ที่กำลังปกครอง Atlantis จะล่าวัวศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปถวายเป็นเทพบูชาแด่ Poseidon Plato ยังเล่าอีกว่าในเมืองหลวงของอาณาจักร Atlantis มีบ่อน้ำร้อนสำหรับการอาบน้ำในฤดูหนาว และบ่อน้ำเย็นสำหรับการอาบน้ำในฤดูร้อนอีกด้วย ซึ่งสถานอาบน้ำเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็นระดับๆ สำหรับคนในวรรณะต่างๆ เช่น สำหรับกษัตริย์ คนธรรมดา และม้า ตัวเกาะ Atlantis ซึ่งมีกำแพงล้อมรอบนั้นยังถูกแบ่งออกเป็นวงแหวนที่เรียงซ้อนกัน 5 วง โดยมีสะพานเชื่อมโยงระหว่างวงเหล่านั้นและเรือเดินสมุทรสามารถลอยลำเข้าไปได้ถึงใจกลางเมือง นอกจากนี้ชาวเมือง Atlantis ยังมีการศึกษา มีความสามารถด้านการทำสงครามและมีศีลธรรมสูง

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วอายุคน ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร Atlantis ก็ได้เริ่มสลายจากความเป็นอารยะ ชาว Atlantis ได้เปลี่ยนเป็นคนกักขฬะที่กระหายและอำนาจ เทพเจ้า Zeus จึงได้ตัดสินพระทัยลงโทษอาณาจักร Atlantis ทันที แต่เมื่อบทสนทนา Critias กล่าวถึงตรงนี้ Plato ได้ตัดสินใจจบการเล่าเรื่องอย่างฉับพลันทันใด

50 ปีหลังจากที่ Plato ได้เสียชีวิตลง ในปี พ.ศ. 202 อนุชนรุ่นหลังและเหล่าศิษยานุศิษย์ก็ได้พยายามหาคำตอบว่า อาณาจักร Atlantis ของ Plato อยู่ที่ใดบนโลก และอาณาจักรนี้มีหรือไม่

Aristotle ผู้เป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของ Plato คิดว่า Atlantis คืออาณาจักรในจินตนาการของ Plato ที่ไม่มีตัวตน และแม้แต่ในยุคของ Pliny the Elder ผู้เป็นนักประวัติศาสตร์โรมันที่มีชื่อเสียงราวปี พ.ศ. 620 ความเชื่อและความไม่เชื่อในเรื่องของ Atlantis ก็ยังคงปรากฏอยู่ โดยพวกที่เชื่อเรื่องนี้มักจะอ้างว่า Plato เป็นนักปราชญ์ที่มีคุณธรรม ดังนั้น ในการเขียนบทประพันธ์ใดๆ ท่านย่อมเขียนอย่างมีเหตุผล และกลั่นกรองว่ามีความถูกต้อง ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็มีมากมายเพราะอ้างว่าถ้า Atlantis มีจริง น่าจะมีคนพบเห็นซากของอาณาจักรบ้าง แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้แสดงให้เห็นตลอดเวลากว่า 2,000 ปีนี้ ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการเห็น Atlantis เลย

ถ้า Atlantis มีจริง อาณาจักรนี้ควรตั้งอยู่ ณ ที่ใด

Plato ได้เขียนไว้ว่า Atlantis ตั้งอยู่เลย Pillars of Hercules ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน Pillars คือช่องแคบ Gibraltar ดังนั้น Atlantis จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักดีเพราะแอตแลนติกเป็นพื้นน้ำที่ยังไม่มีใครกล้าข้าม ดังนั้นเกาะสวรรค์ต่างๆ ที่ปรากฏในนวนิยายกรีกยุคนั้นจึงมักจะถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอนแลนติกทั้งสิ้น

ในปี พ.ศ. 2096 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ Columbus ได้พบทวีปอเมริกาแล้ว 50 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวสเปนท่านหนึ่งชื่อ Francesco Lopes do Gomara ได้เสนอแนะว่าหมู่เกาะ West Indies และทวีปอเมริกาคือ Alantis แต่ไม่นานความคิดที่ว่าอเมริกาคือ Atlantis ก็เริ่มหมดความเชื่อถือ แต่คนหลายคนที่ยังคลั่งไคล้ในมนต์เสน่ห์ของ Atlantis ก็ได้คิดต่อไปว่า อาณาจักรนี้น่าจะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกมากกว่าที่หมู่เกาะ Azores หรือ Madeiras หรือ Canaries แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักร Atlantis มาก่อนเลย เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักร Atlantis ก็ได้หันมาพิจารณาคำของ Plato ที่ว่า Pillars of Hercules นั้นจริงๆ แล้ว Plato น่าจะหมายถึงช่องแคบ Dardanelles ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ Gibraltar ดังนั้น การค้นหา Atlantis จึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเล Mediterranean แทน
 
ในปี พ.ศ. 2443 เมื่อ Sir Arthur Evans แห่งอังกฤษได้ขุดพบพระราชวัง Knossos ของอารยธรรม Minoan บนเกาะ Crete ในทะเล Mediterranean หนังสือพิมพ์ The Times ได้พาดหัวข่าวว่า Evans พบ Atlantis แล้ว

แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ เพราะการสำรวจทางโบราณคดี และทางธรณีวิทยาที่กระทำในเวลาต่อมาได้แสดงให้เห็นว่า เกาะ Crete ไม่เคยจมลงใต้ทะเลเลย และอีก 30 ปีต่อมา เมื่อ S. Marinastos นักโบราณคดีชาวกรีกได้ขุดพบวัตถุโบราณและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ของอารยธรรม Minoan บนเกาะ Crete เขาได้พบว่าวัตถุเหล่านี้ถูกฝังอยู่ภายใต้ฝุ่นภูเขาไฟ ที่ได้ระเบิดบนเกาะ Thera เมื่อ 4,000 ปีก่อนนี้ และฝุ่นได้ลอยไกลจากเกาะ Thera มาตกปกคลุมเกาะ Crete ซึ่งอยู่ไกลกันถึง 96 กิโลเมตร ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2482 Marinators จึงได้เสนอความคิดว่า อารยธรรม Minoan บนเกาะ Crete ต้องล่มสลาย เพราะได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ของภูเขาไฟ บนเกาะ Thera (ซึ่งปัจจุบันเรียกเกาะ Santorini) เหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างรุนแรงในครั้งนั้นได้ทำให้พระราชวัง Knossos และเมืองต่างๆ ของอาณาจักร Minoan พังทลาย และเถ้าถ่านและฝุ่นละอองจากภูเขาไฟได้ถล่มถมทับสิ่งปรักหักพังเหล่านี้จนหมดสิ้น เมื่อ Marinatos ได้ขุดพบหลักฐานทาง โบราณคดีที่สนับสนุนความคิดนี้ ที่เมือง Akrotiri ซึ่งอยู่ทางใต้ของเกาะ Thera เขาก็ได้พบถนนหนทาง เครื่องใช้ เช่น เครื่องปั้นดินเผามากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Akrotiri ก็เคยเป็นดินแดนหนึ่งของอารยธรรม Minoan บนเกาะ Crete เช่นกัน
 
ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่าอารยธรรม Minoan เป็นอารยธรรมโบราณที่เคยรุ่งเรืองในแถบทะเล Mediterranean เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนนี้ และอาณาจักรนี้มีจุดศูนย์กลางของความเจริญอยู่ที่เกาะ Crete ชาว Minoan มีอารยธรรมสูง มีกฎหมายใช้ มีเทคโนโลยีการถลุงแร่ รู้จักขุดคลอง อุโมงค์ และสร้างท่าเรือ นอกจากนี้ชาว Minoan ยังรู้จักสร้างบ้านที่มีที่ระบายอากาศ และสร้างห้องน้ำที่มีชักโครกอีกด้วย ส่วนในเรื่องค้าขายนั้นชาว Minoan ชอบค้าข้าวสาลี ทองแดง ตะกั่วและเครื่องปั้นดินเผากับผู้คนจากที่ไกลๆ อาณาจักร Minoan มีเมืองท่าสำคัญอยู่บนเกาะ Thera แต่เมื่อราว 3,500 ปีมานี้เอง อาณาจักร Minoan ก็ได้สลายมลายสูญไปทำนองเดียวกับ Atlantis ของ Plato

การศึกษาของ Marinatos ในเวลาต่อมาได้ทำให้เรารู้ว่าเมื่อ 1,520 ปีก่อนคริสต์กาลนั้น ภูเขาไฟบนเกาะ Thera ได้ระเบิด 3 ครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น พลังระเบิดของภูเขาไฟที่สูงถึง 1,600 เมตรมีความรุนแรงมากยิ่งกว่าการระเบิดของภูเขาไฟ Krakatoa ในอินโดนีเซียที่ระเบิดเมื่อปี พ.ศ. 2462 ถึง 5 เท่า เสียงภูเขาไฟระเบิด ในครั้งนั้นสามารถได้ยินไปไกลถึง 3,000 กิโลเมตรของเกาะ Thera ให้ทรุดจมลงใต้ทะเล ฝุ่น ควันและเขม่าภูเขาไฟได้พุ่งขึ้นฟ้าบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่ 400 ตารางกิโลเมตรในบริเวณรอบๆ ภูเขาไฟเปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน เถ้าถ่านและลาวาที่หนาถึง 30 เมตรได้ทับถมอารยธรรม Minoan บนเกาะ Thera จนมือสนิท และอีก 40 ปีต่อมา การยุบตัวของปล่องภูเขาไฟบนเกาะ Thera ได้ทำให้ทะเลบริเวณรอบเกาะปั่นป่วน คลื่นยักษ์ (tsunami) ที่มีความสูงถึง 30 เมตรได้ไหลพุ่งเข้าถล่มเกาะ Crete มีผลทำให้อารยธรรม Minoan ถึงจุดจบ แล้วอารยธรรม Mycenean ก็ได้เข้ามาแทนที่ทันที


เหตุการณ์ปฐพีถล่มล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น อธิบายชะตากรรมของ Crete ได้อย่างสมบูรณ์และ Marinatos เองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้อธิบายการสูญสลายของ Atlantis ด้วยทฤษฎี Crete-Thera จึงเป็นทฤษฎี Atlantis ที่ผู้คนยอมรับกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณ 20 ปี ความเชื่อในทฤษฎีนี้ก็เริ่มคลอนแคลนอีก

เพราะนักประวัติศาสตร์ ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมว่าภูเขาไฟบนเกาะ Thera ได้ระเบิดก่อนที่พระราชวัง Knossos บนเกาะ Crete จะถูกถล่มถึง 150 ปี

ในหนังสือชื่อ Mysteries of the Ancient World ซึ่งมี J. Flanders เป็นบรรณาธิการ และถูกพิมพ์วางตลาด เมื่อเดือนธันวาคม 2541 J. Westwood ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ Atlantis ว่า

Plato เป็นบุคคลเดียว ที่ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ และตั้งแต่นั้นมาใครก็ตามที่พูดถึง Atlantis ต่างก็จะอ้าง Plato ทั้งสิ้น จากเอกสารและหลักฐานทั้งหลาย ที่ปรากฏไม่มีใครรู้อย่างมั่นใจ 100% ว่า Plato ได้ตั้งใจเขียนเรื่อง Atlantis ขึ้นมาเพื่อลวงโลก หรือไม่คนบางคนคิดว่าปราชญ์ Solon ที่ Plato อ้างว่าได้ยินเรื่อง Atlantis จากพระชาวอียิปต์นั้นได้นำ "ข่าว" นี้มาบอกต่อๆ กันไปจากปากหนึ่งสู่อีกปากหนึ่ง แต่วิธีการถ่ายทอดข้อมูลลักษณะนี้ มักจะทำให้เนื้อหาของเรื่อง ผิดเพี้ยนไปเสมอ และถ้า Atlantis มีจริงดังที่ Plato เขียนไว้ เหตุใดพระอียิปต์ จึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ Herodotus นักประวัติศาสตร์ชาติกรีก ที่ได้เคยไปเยือนอียิปต์เมื่อ 450 ปีก่อนคริสต์กาลฟัง และถ้าข้อมูล Atlantis มาจากพระอียิปต์แต่เพียงแห่งเดียว จริงและข้อมูลนั้นมีเรื่องที่เกี่ยวกับกรีกด้วย เราก็ไม่สามารถจะมั่นใจได้ว่า ข้อมูลของชาวอียิปต์ ที่เกี่ยวกับเรื่องราวของชาวกรีกเมื่อ 4,000 ปีก่อนนั้นเป็นเรื่องราวที่ถูกต้อง 100%

ประเด็นเหล่านี้ทำให้นักวิชาการ ปัจจุบันส่วนใหญ่เชื่อว่า Aristotle คิดว่าถูกที่ว่า Atlantis คืออาณาจักรนิยายที่ไม่มีตัวตน และ Plato ได้เขียนเรื่อง Atlantis ขึ้นมาเพื่อสอนใจ โดยใช้ข้อมูลภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์มาประกอบอย่างค่อนข้างสมจริงตามแนวหนังสือชื่อ The Republic ของ Plato เอง นักวิชาการเหล่านี้ ได้ชี้ให้เห็นว่านิทานเรื่อง Atlantis มีเนื้อหาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับประวัติศาสตร์ของสงคราม Peloponnesian ที่เกิดขึ้นเมื่อ 431-404 ปีก่อนคริสต์กาล โดย Plato ได้สมมติให้ Atlantis แทน Athens และ Athens คือ Sparta อนึ่ง ในสงครามครั้งนั้นได้มีคลื่นยักษ์พุ่งเข้าถล่มป้อมปราบของฝ่าย Athens บนเกาะ Atalante จนราบเรียบเช่นกัน

ถึงแม้ Plato จะเขียนเรื่อง Atlantis ขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากหลายแห่งก็ตาม แต่ก็มีคนอีกหลายคนที่มิได้คิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นนิยาย คนเหล่านี้มีความรู้สึกอยากจะให้ Atlantis มีจริง และอยากจะเห็น Atlantis อีกครั้ง โดยอยากจะเห็นการผจญภัยในการค้นหา Atlantis ใต้ทะเล เหมือนเช่นที่ตอนกัปตัน Nemo ได้ใช้เรือดำน้ำชื่อ Nautilus ลงไปสำรวจใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ในนวนิยายเรื่อง Twenty Thousand Leagues Under the Sea ของ Jules Verne และกัปตัน Nemo ได้เห็นซากปรักหักพังของเมืองเห็นซากกำแพงเมืองและเสาหินต่างๆ ใต้ทะเล และที่ประตูเมืองนั้นมีคำจารึกว่า ATLANTIS ครับ

 Sad


แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีป ๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา


คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก



เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า



...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดิน
รัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก

ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติส
เป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ
ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาาพอย่างดียิ่ง
มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง
รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรม
และสถาปัตยกรรมด้วย

โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น
เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์
และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้
รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม
รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต
คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน
มหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง
ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ
ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล
เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่า
ความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์
ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน
แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ

วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนา
ตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา
เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์
และเทพเจ้า

วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติส
หายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติ
ครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิด
สั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไป
ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังน้นเมื่อ
ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็
หายไปจากโฉมหน้าของโลก

เคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์
มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ
ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก
จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง
หรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆ

มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญ
ก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเรา
สมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า
มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอา
พลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์

ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน
ที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผล
ทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของ
มหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลก
ได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซี
ทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตก
ของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ
บริเวณหมู่เกาะบาฮามา

ในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่า
คำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริง
คือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆ
หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต
ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม
และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่
พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว
ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม
ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้
เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น

เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่า
ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้
มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่
ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้
ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

เคย์ซีกล่าวว่า
ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ
10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรม
เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง
ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติส
อยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมา
จนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่
ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไป
คือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-
900000 ปี

นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ
เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเรา
ย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี
ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้น
ต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลก
ปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต


อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ที่ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหา จาก บทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลง และถูกคลื่นยักษ์ กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรม จนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้า จึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็น เพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้

แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสา หินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษา ทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติส มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมาย ถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน

โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริตกาล จึง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ ้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหาร แห่งเมืองแอตแลนติส

แต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปี ีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา

ก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสี เหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น เพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครอง นครแอตแลนติส ซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับ การขุดพิสูจน์แต่อย่างใด

แอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

บทแปลต่อไปนี้ เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟัง

มีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส

เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี

ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส เป็นเชื้อสายของ เทพโพซีคอน ที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราช วงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก

ชาวแอตแลนติส ไม่เพียงแต่สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อ คือ โอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำ และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง

นครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพซีดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง

ณ ตำแหน่งใจกลางนคร คือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพซีดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร ลากด้วยม้ามีปีกหกตัว ล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเล เป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา

และในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็น สำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร

ที่ราบรอบนครล้อมรอบด้วยภูเขา และคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ

เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ

แล้ว ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน

ดังนั้น กองทัพแห่งแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่น ๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส

แต่แล้วก็เกิดมหันตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม



บันทึกการเข้า

สิ่งที่ดีที่สุด คือการให้ แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คือการเห็นแก่ตัว
(ปัญหาทุกอย่าง มีทางแก้เสมอ อยู่ที่เราจะแก้มันด้วยวิธีใหน แต่สุดปัญญาทน สุดท้ายต้อง วิชามาร)

หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!