พุทธวิธีชนะความโกรธ
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธวิธีชนะความโกรธ  (อ่าน 3865 ครั้ง)
winai4u-LSV team
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน673
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3025



« เมื่อ: กันยายน 13, 2007, 03:37:56 pm »

ความบางตอนจากหนังสือ พุทธวิธีชนะความโกรธ
วัตถุประสงค์ เพื่อเสนอแนวคิดตามหลักพระพุทธศาสนาให้ผู้อ่านใช้ระงับความโกรธ
รวบรวมโดย ธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร วศบ.(จุฬา) M.S. (Computer) น.ธ.เอก
สาระโดยย่อ ลักษณะของความโกรธ ลำดับขั้นของความโกรธ สาเหตุของความโกรธ ภาษิต ข้อคิดหรือคติ สำหรับระงับหรือบรรเทาความโกรธ

แผ่นดินนี้ไม่อาจทำให้ราบเรียบเสมอกันหมดได้ฉันใด มนุษย์ทั้งหลาย จะให้คิดเหมือนกันหมดก็ไม่ได้ฉันนั้น ดังนั้นอย่าโกรธหรือเดือดเนื้อร้อนใจ เมื่อคนอื่นมีความเห็นไม่เหมือนเรา หรือทำไม่ถูกใจเรา ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ไม่เป็นไปตามใจเรา ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร ๆ ตัวเราเองแท้ ๆ ยังไม่รู้ใจ ทำไม่ถูกใจเรา แล้วคนอื่นจะรู้ใจ ทำถูกใจเราได้อย่างไร

การนินทา ไม่ใช่ของใหม่ที่เกิดขึ้น เขาทำกันมาแต่โบราณแล้ว คนนั่งนิ่งเขาก็นินทาว่า ทำไมจึงนั่งนิ่งเหมือนคนใบ้ คนพูดมากก็นินทาว่า ทำไมจึงพูดไม่หยุดอย่างกับปากเป็นหุ่นชักยนต์ คนพูดพอประมาณ เขาก็นินทาว่า ทำไมเจ้าคนนี้จึงสำคัญว่าคำพูดของตนเหมือนทองคำ พูดคำสองคำก็นิ่งเสีย แผ่นดินก็ดี พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ดี คนก็ยังนินทา แม้พระพุทธเจ้าผู้เพรียบพร้อมด้วยคุณงามความดี คนก็ยังนินทา คนไม่ถูกนินทา ไม่เคยมีมา แล้วจักไม่มีต่อไป ถึงในขณะนี้ก็ไม่มี (ธรรมบท)

อันนินทา กาเร เหมือนเทส้วม ถ้ารวบรวมรับไว้ ย่อมได้เหม็น
หากไม่รับ กลับหาย คลายประเด็น ย้อนไปเหม็นปากเน่าของเขาเอง
ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ขวัญใจโลก คนยังโขก ยังสับ งับเหยงเหยง
ถ่มน้ำลาย รดฟ้า ด่าบรรเลง ใครจะเก่ง เกินลิ้น คนนินทา (ศรีตราด)

คำพูดเป็นเพียงลมปาก เมื่อพูดแล้วคลื่นเสียงก็จางหายไปในอากาศ ไม่อาจทิ่มแทงหรือทำอันตรายร่างกายเราได้ เหมือนสายลมอ่อน ๆ ที่พัดมาต้องร่างกายเราแล้วจางหายไป คำพูดที่เขานินทาเรานั้น ได้จางหายไปในอากาศหมดแล้ว ดับสูญไปนานแล้ว ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่อีกแล้ว เหตุไฉนจึงยังเก็บเอาสิ่งที่ว่างเปล่าไร้ตัวตน ที่ล่วงไปนานแล้วมาคิดให้รกใจ ร้อนใจ ทุกข์ใจเปล่า ๆ ทำไม การกระทำอย่างนี้ โง่หรือฉลาดกันแน่
นิสัยควาย แล้วไม่วาย จะบดเอื้อง คนรื้อเรื่อง อตีตัง มาตั้งขาน
พิรี้พิไร ไม่รู้จบ งบประมาณ ก็เปรียบปาน ดังควาย น่าอายนา (อุทานธรรม)

ผู้ใดอดทนต่อถ้อยคำของคนที่ต่ำกว่าได้ นักปราชญ์กล่าวว่า ความอดทนของผู้นั้นสูงสุด ผู้มีความอดทนพึงได้ผลคือความไม่กระทบกระทั่ง เวรย่อมระงับด้วยกำลังแห่งขันติ (สรพังคชาดก)

การกล่าวร้ายหรือหมิ่นประมาท เป็นเสมือนยาพิษซึ่งศัตรูวางแก่เรา เพื่อให้เราโกรธแค้น เพื่อทำลายสมรรถภาพในการทำงาน ทำลายสุขภาพอนามัยและความสงบกายสงบใจของเรา แล้วเหตุไฉนเราจึงต้องกลืนกินยาพิษที่เขาวางไว้เพื่อประทุษร้ายเรา ( หลวงวิจิตรวาทการ)

เราอาจถูกคนด่าว่าเสียดสี หรือพูดดูหมิ่นให้เจ็บใจ แต่ถ้าเรามีความอดกลั้นพอ ไม่ตกเป็นทาสของความโกรธและความวู่วามแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็จะผ่านหายไปด้วยการทำเป็นไม่รู้เท่าทัน หรือทำเป็นไม่ได้ยินคนขนาดเราก็ไม่ได้วิเศษมาแต่ไหน จะถูกเสียดสีว่ากล่าวบ้างไม่ได้เทียวหรือ ก็คนขนาดประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอำนาจ ยังถูกด่ากันโครม ๆ แล้วเราเป็นอะไร จะถูกกระทบกระเทือนบ้างไม่ได้หรือ
บุคคลบางคนดูเหมือนจะมีเรื่องกังวลอยู่แต่การแก้เผ็ดแก้แค้น หรือพูดจาตอบโต้กับคนนั้นกับคนนี้อยู่เนืองนิตย์ ใครพูดจาแหลมมาเป็นต้องถูกตอบโต้กลับไปอย่างสาสม ถ้านึกไม่ออกในขณะนั้น ก็ต้องไตร่ตรองหาคำพูดที่จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บใจให้จงได้ บางครั้งถึงกับนอนไม่หลับ มีเรื่องเล่าว่าคนแจวเรือไปได้สองคุ้งน้ำแล้ว เพิ่งนึกคำโต้ตอบได้ อุตส่าห์แจวเรือกลับมาตอบโต้เขาอีกคำสองคำแล้วจึงจากไป ลองนึกดูก็ได้ว่าบุคคลที่ทำดังนี้จะมีความสุขได้อย่างไร (สุชีพ ปุญญานุภาพ)

คอยปลดเปลื้อง เรื่องร้าย ให้คลายออก หมั่นซักฟอก จิตใจ ให้เจิดจ้า
สิ่งสกปรก รกใจ ไม่เก็บมา ผ่านหูตา ปล่อยไป ไม่ไยดี (ก.เขาสวนหลวง)

โทษผู้อื่น แลเห็น เป็นภูเขา โทษของเรา แลไม่เห็น เท่าเส้นขน
ตดคนอื่น เหม็นเบื่อ เราเหลือทน
ตดของตน ถึงเหม็น ไม่เป็นไร (อุทานธรรม)

คนอื่นจะทำให้เราเป็นคนเลวไม่ได้ คนที่จะทำให้เรากลายเป็นคนเลวมีอยู่คนเดียวในโลก คือตัวเราเอง คนตั้งร้อยมารุมด่าเราวันยันค่ำ ก็ทำให้เรากลายเป็นคนเลวไม่ได้ แต่ถ้าเราเองพูดจาหยาบคายด่าตอบ หรือแสดงท่ายักษ์ออกมาเมื่อใด เราก็จะกลายเป็นคนเลวอย่างเขาไปด้วย การที่เขาด่าเรา เขามุ่งหมายที่จะทำให้เรากลายเป็นคนเลว เป็นบ้า เป็นหมู เป็นหมา ถ้าเราควบคุมตัวไว้ได้ ไม่ยอมเลวตาม เราก็ชนะ ถ้าเอาความเลวออกตอบเมื่อไร เราก็แพ้ ( พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์)

เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง (พุทธทาสภิกขุ)

เมื่อเขาด่า แทนที่จะคิดว่า ไอ้นี่ด่าเรา ก็ไปคิดวิจารณ์ว่า เขาด่าว่าอย่างไรแน่ อาจขอให้เขาด่าซ้ำอีกที โดยบอกเขาว่าเราฟังไม่ทัน เพราะด่ากระทันหันมาก เช่นถ้าเขาด่าเราว่า คนหมา ๆ เราก็วิจารณ์คำว่า คนหมา ๆ คือคนยังไง แล้วที่ว่า หมา ๆ น่ะ หมาไทยหรือหมาฝรั่ง ตัวผู้หรือตัวเมีย คิดแล้วไม่รู้เรื่อง ด่าสั้นเกินไป ไม่ถูกไวยากรณ์ ตกลงคำด่ายังใช้ไม่ได้ คืนเจ้าของเขาไปดีกว่า การหัดคิดในแง่ขำขันทำให้ใจเย็น โกรธช้า (พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์)

ถ้าเขาด่า ฟังให้ดี ใช่มีบ่อย
เราต้องคอย จับประเด็น จนเห็นได้
เขาด่าจบ หากว่าเรา ไม่เข้าใจ
ขอจงให้ ด่าให้ฟัง อีกครั้งเทียว
ถ้าถูกยิง ด้วยสายตา อย่าขุ่นข้อง
เราไม่ต้อง จ้องตอบโต้ โวตาเขียว
หากเขาค้อน แล้วหยุดไป ในครั้งเดียว
ขออีกเที่ยว ค้อนมา นัยน์ตางาม ( ศรีตราด)

พระพุทธเจ้าตรัสสอนพระราหุลว่า เปรียบเหมือนคนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง อุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง น้ำลายบ้าง น้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงที่แผ่นดิน แผ่นดินจะอึดอัดหรือระอาหรือเกลียดด้วยของนั้นก็หาไม่ฉันใด เธอจงทำใจเสมอด้วยแผ่นดินฉันนั้น เพราะเมื่อเธอทำใจเสมอด้วยแผ่นดิน สัมผัสที่ชอบใจและไม่ชอบใจ จักไม่ครอบงำจิตของเธอ (มหาราหุโลวาทสูตร)

ธรรมดาน้ำ ย่อมจะเย็นฉันใด ใจเราก็ควรจะเย็น ไม่โกรธ ด้วยอาศัยขันติและเมตตาฉันนั้น
ธรรมดาอากาศไม่มีใครจับยึดไว้ได้ฉันใด เราก็ไม่ควรให้ความโกรธยึดถือได้ฉันนั้น
ธรรมดาแผ่นดินย่อมรับน้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ บนโลกไว้ได้ฉันใด เราก็ควรอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้คนในโลกไว้ได้ฉันนั้น (มิลินทปัญหา จักกวัติวรรค)

พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า หากมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีมือจับทั้งสองข้างเลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้น ผู้ใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ผู้นั้นไม่เป็นผู้ชื่อว่า เป็นผู้ทำตามคำสั่งสอนของเราเพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้ (กกจูปมสูตร)

ความโกรธเกิดกับผู้ใดก็เผาใจผู้นั้นให้ร้อนเร่า ถึงเราจะโกรธแค้นปานใด ก็ไม่อาจสาปแช่งหรือแผ่ความโกรธไปเผาผู้อื่นให้พลอยร้อนใจไปกับเราด้วย ดังนั้นแม้ชื่อว่าโกรธเขา แต่ผู้ที่ร้อนใจ เจ็บใจ ทุกข์ใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็คือเราไม่ใช่เขา

ในที่บางแห่งท่านเปรียบว่า อาการที่โกรธคนอื่นก็อุปมาเหมือนกับการหยิบเหล็กร้อนแดงหรืออุจจาระ ดังนั้นการโกรธลับหลังเขาก็เหมือนกับการหยิบเหล็กร้อนแดงหรืออุจจาระแล้ว
ถือไว้เฉย ๆ เพราะไม่รู้จะไปขว้างใคร ต้องร้อนหรือเหม็นอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเลย ยิ่งโกรธบ่อย ๆ ก็ต้องร้อนต้องเหม็นบ่อย ๆ ยิ่งโกรธโดยไม่ยอมเลิกก็เหมือนเอามือกำเหล็กร้อนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย หรือเอามือขยำอุจจาระโดยไม่ยอมเลิก ลองนึกดูว่าสภาพเช่นนั้น น่าสมเพชและน่าสะอิดสะเอียนขนาดไหน เราจะยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นหรือ
แม้ชื่อว่า โกรธเขา แต่เราร้อน
เดินนั่งนอน ใจร้อนรุ่ม ดุจสุมไฟ
แล้วยังดื้อ ถือโทษ โกรธอยู่ใย
ได้อะไร เป็นประโยชน์ โปรดคิดดู (ธัมมวัฑโฒ ภิกขุ)


ข้าพเจ้าจำได้ว่า คุณครูเคยสอนให้ท่องกลอนสั้นๆบทนี้ทุกครั้ง ถ้าเราเกิดความโกรธอยู่ในใจว่า "โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่า จะได้ไม่บ้าไม่โง่"

คัดลอกมาจาก http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=12336


บันทึกการเข้า

ิbeeboy
member
*

คะแนน0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4


« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 08, 2008, 02:22:39 pm »

ขอบคุณครับ Cheesy
บันทึกการเข้า
ntt♥
กลุ่มสนับสนุนLSV+มีน้ำใจ
member
****

คะแนน287
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 848



อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 08, 2008, 10:48:24 pm »

                    โทษของความโกรธ

ปัญหา ความโกรธมีโทษอย่างไรบ้าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำให้ระงับกำจัดเสีย ?

พุทธดำรัสตอบ “.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะอาบน้ำ ไล้ทา ตัดผม โกนหนวด นุ่งผ้าขาวสะอาดแล้วก็ตาม... ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม.....
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะนอนบนบัลลังก์อันลาดด้วยผ้าขนสัตว์ ลาดด้วยผ้าขาวเนื้ออ่อน ลาดด้วยเครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด มีผ้าดาดเพดาน มีหมอนหนุนศีรษะและหนุนเท้าแดงทั้งสองข้างก็ตาม ย่อมนอนเป็นทุกข์....
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะถือเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็สำคัญว่าเราถือเอาสิ่งเป็นประโยชน์ แม้จะถือเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็สำคัญว่าเราถือเอาสิ่งไม่เป็นประโยชน์ ธรรมเหล่านี้อันคนผู้โกรธ... ถือเอาแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาล
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะมีโภคะที่ตนหามาได้ด้วยความขยันขันแข็ง สั่งสมได้ด้วยกำลังแขนอาบเหงื่อต่างน้ำ เป็นของชอบธรรม ได้มาโดยธรรม พระราชาย่อมริบโภคะของคนขี้โกรธเข้าพระคลังหลวง....
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้เขาจะมีมิตร อมาตย์ ญาติสายโลหิต เหล่านั้นก็เว้นเสียห่างไกล...
“.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว ย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ครั้นแล้วเมื่อตายไปย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาตนรก....”

โกธนาสูตร ส. อํ. (๖๑)   
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป: