"ผมทำได้ ผมช่วยชีวิตลูกสาวของผมได้"
หลี่หยางชายในวัย ๔๐ ปีแบกร่างลูกสาว
ออกมาจากซากปรักหักพัง
ของโรงเรียนเป่ยชวน กว่าสิบชั่วโมง
ด้วยมือเปล่าเพียงลำพัง เขาขุดและขุด
แผ่นดินยังไหวเป็นระยะ
เจ้าหน้าที่ตะโกนให้เขาออกมาหลบภัย
แต่หลี่หยางไม่ฟัง
เขายังใช้มือเปล่าที่ชุ่มไปด้วยเลือด
ขุดและขุดมันต่อไป
"the apple of one's eye" เป็น สำนวน (idiom)
มีความหมายว่า "สิ่งอันเป็นที่รัก"
เนื่องจากดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย
เเละจะสูญเสียไปไม่ได้ คนสมัยโบราณ
จึงใช้สำนวนนี้ เปรียบเทียบกับ คนหรือสิ่งของที่มีค่า
(ในสำนวนภาษาไทยจะใช้คำว่า "แก้วตาดวงใจ")
สำนวนนี้ ยังปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล
ที่กล่าวไว้ว่า พระเจ้าจะปกปักรักษาเรา
เหมือนเป็น Apple of his eye คือ
ดั่งแก้วตาดวงใจหรือสุดที่รักของพระองค์
ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เหวินชวน
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๐๐๘
เป็นวันที่คนทั้งโลกต้องจดจำ ในวันนั้น
สถานที่ต่างๆบริเวณ เหวินชวน และเป่ยชวน
ในเสฉวน ประสบกับแผ่นดินไหวที่รุนแรง
เป็นวงกว้างที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งประเทศจีนใหม่
ชีวิตนับไม่ถ้วนหายไปในทันที
และบ้านเรือนจำนวนนับไม่ถ้วนก็พังทลายลง
เป็นซากปรักหักพังในทันที ในความทุกข์ทรมานที่สุด
มืดมนที่สุดก็ยังคงมีแสงสว่างและเรื่องราวดีๆมากที่สุดเช่นกัน
ย้อนไปในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๐๐๘
หลี่หยาง กำลังยุ่งอยู่ในสำนักงานของหน่วยของเขา
ทันใดนั้น พื้นก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
และโต๊ะและเก้าอี้ก็เริ่มสั่นอย่างไม่มั่นคง หลี่หยางตกใจ
และรู้ทันทีว่าเป็นแผ่นดินไหว! เขารีบวิ่งไปที่มุมหนึ่ง
ของสำนักงานเพื่อหลบภัยและโทร
ไปยังหมายเลขโทรศัพท์บ้านของเขา
แต่ไม่มีใครตอบรับ
ในขณะนั้น หัวใจของเขาดูเหมือนจะถูกก้อนหินหนักทับลง
เพราะเขารู้ว่าลูกสาวของเขา หลี่เจียฉิน
กำลังอยู่ที่โรงเรียนเป่ยชวน มิดเดิ้ล
ซึ่งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวมาก
ในขณะที่รออย่างใจจดใจจ่อ
จนกระทั่งแผ่นดินไหวลดลงเล็กน้อย
หัวใจของหลี่หยางรู้สึกเหมือนถูกเผาไหม้ด้วยเปลวไฟ
เมื่อแผ่นดินไหวลดลง เขาจึงรีบขับรถ
ไปที่โรงเรียนมัธยมเป่ยชวนทันที
ระหว่างทางหัวใจของเขาเต้นแรง
อธิษฐานขอให้ลูกสาวของเขาปลอดภัย
ภาพของลูกสาวของเขายังคงแวบขึ้นมาในใจของเขา
และความทรงจำอันอบอุ่นเหล่านั้น
ทำให้เขาตั้งใจมากขึ้นที่จะตามหาลูกสาวของเขา
เมื่อหลี่หยางรีบไปโรงเรียน
ภาพตรงหน้าเขาทำให้เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
วิทยาเขตที่ครั้งหนึ่งเคยพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
กลายเป็นซากปรักหักพัง มีทั้งอาคารเรียนที่พังทลาย
ต้นไม้หัก อิฐและหินกระจัดกระจาย...
ทุกสิ่งดูรกร้างราวกับเกิดโศกนาฏกรรม
เขาตะโกนชื่อลูกสาวเสียงดัง
แต่คำตอบเดียวคือเสียงสะท้อนจากรอบข้าง
และเสียงร้องแผ่วเบาเพื่อขอความช่วยเหลือ
ภายใต้ซากปรักหักพัง ในขณะนั้นหัวใจของเขาเต้นรัว
เขาอยากจะตามหาลูกสาวของเขา
แต่เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน
ในขณะนี้ เขาสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหว
อยู่ใต้แผ่นหินขนาดใหญ่ เขานำแผ่นหินออกอย่างระมัดระวัง
และพบช่องว่างเล็กๆ ด้านล่าง และดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่ข้างใน
เขาขุดอิฐและแท่งเหล็กที่อยู่รอบๆ ทันทีด้วยมือของเขา
โดยหวังว่าจะช่วยเหลือคนที่ติดอยู่ได้โดยเร็วที่สุด
มือของเขาถูกหิน กรวด หล็กเส้น บาดจนมีเลือดหยดเต็มฝ่ามือ
แต่เขาไม่สนใจเขายังคงขุดและขุดต่อไป
ทีมงานกู้ภัยเริ่มมาถึงแล้ว คนประสบภัยคนแล้วคนเล่า
ได้ถูกช่วยเหลือโดยหลี่หยาง
แต่เขาก็ยังไม่เจอลูกสาวของเขาเลย
เมื่อเวลาผ่านไปอาฟเตอร์ช็อกยังคงเกิดขึ้น
สร้างความยากลำบากอย่างมากให้กับงานกู้ภัย
ทีมกู้ภัยตะโกนให้หลี่หยางลงมาหลบในที่ปลอดภัย
รอให้อาฟเตอร์ช็อกสงบก่อน แต่หลี่หยางไม่ฟัง
เขายังคงขุดและขุดต่อไปด้วยมือเปล่าของเขา
แม้ทางกู้ภัยจะให้ถุงมือ แต่หลี่หยางไม่สวมมัน
เพราะว่าความเจ็บปวดที่มือของเขามันทำให้เขาไม่หลับ
แม้เหนื่อยล้าแค่ไหน หลี่หยางก็หลับไม่ได้
จนกว่าเขาจะได้เจอลูกสาว
เขาเชื่อมั่นว่าตราบใดที่ยังมีความหวังแม้จะริบหรี่
เขาก็ไม่สามารถยอมแพ้ได้
เขาให้กำลังใจตัวเองและลูกสาวอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้ซากปรักหักพังนั้นมีหัวใจอันยิ่งใหญ่
ของคนเป็นพ่อที่ยังสว่างไสวด้วยความหวัง
จะช่วยชีวิตลูกสาวของเขาให้ได้
ในระหว่างกระบวนการขุดค้น
หลี่หยางประสบปัญหามากมาย
บางครั้งเขาจะพบกับแผ่นหินหรือแท่งเหล็กขนาดใหญ่
ที่ต้องใช้กำลังทั้งหมดในการเคลื่อนย้าย
บางครั้งเขาจะพบกับพื้นที่แคบและจำเป็นต้องมุด
เข้าไปในความมืดอย่างระมัดระวังเพื่อขุดต่อไป
แต่เขาไม่ยอมแพ้ เขาเชื่อมั่นว่าตราบใด
ที่เขายังพยายามเขาจะได้พบลูกสาว
ของเขาอย่างแน่นอน
กว่าสิบชั่วโมงที่หลี่หยางขุด
เขาตะโกนเรียกชื่อลูกสาวจนเสียงแหบแห้ง
เขาหยุดพักและกำลังจะ
หลั่งน้ำตาก่อนที่จะได้ยินเสียงจากสวรรค์
พ่อ นั่นใช่พ่อหรือเปล่า?
นี่น่าจะเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดที่
หลี่หยางเคยได้ยินหลังจากเสียงร้องจ้าของลูกสาวตอนแรกเกิด
นั่นคือเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหลี่ เจียฉิน ลูกสาวของเขา!
ทันใดนั้นหลี่หยางก็มีพลังและเร่งความเร็วการขุด
เขาขุดอิฐและดินก้อนสุดท้ายด้วยมือของเขา
และในที่สุดก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยและซีดเซียวของลูกสาวของเขา
เมื่อ หลี่เจียฉินได้รับการช่วยเหลือ
เธอก็กอดพ่อของเธอแน่นและหลั่งน้ำตา
หลี่หยางแบกร่างลูกสาวออกจากซากปรักหักพังของโรงเรียน
เมื่อเขาเจอนักข่าวที่เบื้องนอก เขาก็ตะโกนด้วยความดีใจว่า
"ผมทำได้ ผมช่วยชีวิตลูกสาวของผมได้"
เรื่องราวของหลี่หยางเป็นแรงบันดาลใจ
ให้ผู้คนนับไม่ถ้วนและทำให้เราเชื่อว่าเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก
ตราบใดที่เรามีศรัทธาและความเพียรพยายาม
เราจะสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้
ในใจของหลี่หยาง เขารู้สึกเสมอว่าเขาเป็นเพียงพ่อธรรมดา
ที่ทำในสิ่งที่เขาควรทำ เขาไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นฮีโร่
เขาแค่อยากให้ลูกสาวของเขาปลอดภัย
หลี่หยางให้ความสำคัญกับช่วงเวลาร่วมกับลูกสาวมากขึ้น
พวกเขามักจะนึกถึงวันที่ยากลำบากเหล่านั้นร่วมกัน
และแบ่งปันความรู้สึกและประสบการณ์ของกันและกัน
ในเวลาเดียวกัน หลี่หยางยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมสวัสดิการสาธารณะต่างๆ
และใช้เวลาและกำลังของเขาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ
สำหรับหลี่เจียฉิน เธอเข้าใจถึงความเปราะบาง
และความล้ำค่าของชีวิต
จึงทะนุถนอมชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น
เธอเรียนหนักเพื่อที่จะเป็นหมอ
และหวังว่าจะใช้ความรู้และความสามารถของเธอตอบแทนสังคม
ในเวลาเดียวกัน เธอก็ระลึกถึงพระคุณในการช่วยชีวิตของพ่อเธออยู่เสมอ
และรู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เขาทำเพื่อเธอ
สำหรับหลี่หยาง ความปรารถนาสูงสุดของเขาคือ
การอยู่เคียงข้างลูกสาว มองการเติบโต และความสุขของเธอ
ในปี ๒๐๐๘ ทางมาเวล สตูดิโอ
ได้สร้างภาพยนตร์เรื่องแรกคือ Iron Man มหาประลัยคนเกราะเหล็ก
เปิดจักรวาลภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีไร่
เมื่อเด็กหญิงนั่งดูหนังเรื่องกับพ่อของเธอ
และถามเขาว่า การเป็นซูปเปอร์ฮีโร่ได้นั้นต้องมีอะไรบ้าง
บางครั้งการเป็นซุปเปอร์ฮีไร่นั้น ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเลย
หลี่หยางมีเพียงแค่สองมือ
และหัวใจที่รักลูกสาว
เท่านี้เขาก็เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ได้แล้ว
เพราะว่า หลี่เจียฉิน ลูกสาวของ หลี่หยางนั้น.....
YOU ARE THE APPLE OF MY EYE
ที่มา : เพจเก้ากระบี่เดียวดาย