เปิดที่มา กว่าจะมาเป็น ‘รีเจนซี่’ บรั่นดีไทย
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 24, 2024, 09:15:57 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดที่มา กว่าจะมาเป็น ‘รีเจนซี่’ บรั่นดีไทย  (อ่าน 1454 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13886


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: มกราคม 30, 2023, 03:33:43 pm »

เปิดที่มา กว่าจะมาเป็น ‘รีเจนซี่’ บรั่นดีไทย

เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว “ณรงค์ โชคชัยณรงค์”
คงถูกหาว่า “บ้า” ที่คิดจะสร้างบรั่นดีไทย “รีเจนซี่”
ขึ้นมาในยุทธจักรน้ำเมานี้
เพราะกระบวนการผลิตบรั่นดีเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์
ที่ถ่ายทอดกันหลายชั่วคนต้องพิถีพิถัน
ตั้งแต่คัดเลือกพันธุ์องุ่นชั้นดีที่ปลูก
เก็บเกี่ยวในภูมิอากาศเหมาะสม
และผ่านการกลั่นและบ่มรสชาติให้นุ่มนวล
เปรียบประดุจน้ำทิพย์ที่สวรรค์บรรจงสร้าง
กว่าจะได้แต่ละหยาดหยดต้องใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี
และทุกปีการระเหยระหว่างเก็บบ่มจะเกิดขึ้น
เป็นการสูญเสียที่แพงมากแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งสวนทางกับธุรกิจที่มีหลัก
การแสวงหากำไรสูงสุดในเวลาอันรวดเร็ว
เพื่อให้บรรลุจุดคุ้มทุนแต่เขาไม่เคยย่อท้อ

โชคดีเป็นของเขาเมื่อได้รู้จักกับผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง
ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในบริษัทบรั่นดีเก่าแก่ของฝรั่งเศส
เมื่อปลดเกษียณแล้วก็คิดจะตั้งโรงงานทำบรั่นดีในเวียดนาม
แต่ภัยสงครามเวียดนามที่คุกรุ่นอยู่
ทำให้แผนการของเขาต้องล้มเลิกไป
และเขาก็ได้ชายผู้รู้นี้มาวางรากฐานการผลิตบรั่นดีในโรงงาน

การผลิตบรั่นดีรีเจนซี่เริ่มต้นแรกเป็นเหล้าองุ่น
อันเกิดจากการผสมผสานขององุ่น “พันธุ์ไวท์มะละกา”
ซึ่งมีสีเขียวอมเหลือง นิยมปลูกกันมากในแถบลุ่มแม่น้ำแม่กลอง
ในเขตตั้งแต่จังหวัดสมุทรสงคราม สามพราน นครปฐม และราชบุรี
เหล้าองุ่นที่ได้จะมีดีกรี 10-12 เท่านั้น
หลังจากผ่านกระบวนการกลั่นทีละหยดในห้องกลั่น
ซึ่งประกันอัคคีภัยไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
ความรุนแรงของบรั่นดีจะเพิ่มสูงถึง 40 ดีกรี
ดังนั้นบรั่นดีที่กลั่นเพียงครั้งเดียวจะมีความรุนแรงและมีสรรพคุณเป็นยา
จึงต้องนำไปเก็บบ่มรสชาติ 2-3 ปี ให้รสชาตินุ่มนวลลงในถังไม้โอ๊กลีมูซีน
ซึ่งเป็นไม้ชนิดเดียวที่ให้กลิ่นหอมและสีทองของบรั่นดี
เหล้ารีเจนซี่เขาใช้องุ่นเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้กากน้ำตาลหรือที่เรียกว่า “โมลาส”
ขณะที่เหล้ายี่ห้ออื่นใช้เพราะต้นทุนถูกเพียงตันละ 400-500 บาท
แต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประเทศไทยไม่บังคับ
รัฐบาลสนใจจะเอาแต่ภาษีมากๆ เท่านั้น
อย่างแม่โขงกว่าจะเข้าไปขายในอเมริกา
ต้องใช้เวลาตั้งนาน ต้องมีการเปลี่ยนสูตรก่อน

ณรงค์ โชคชัยณรงค์ เกิดเมื่อปี พ.ศ.2467 มารดาชื่อ “แต้สี”
บิดาชื่อ “จินซุ้ย” ถ้าไม่มีเขา “รีเจนซี่บรั่นดี”
ก็คงไม่ได้เกิดขึ้นมาในวงการน้ำเมานี้
ชีวิตของณรงค์เริ่มต้นอย่างลำบากยากเข็ญในชีวิตวัยเด็ก
ที่เดินทางจากแผ่นดินจีนสู่ใต้ร่มเงาของแผ่นดินไทย
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
ขณะนั้นณรงค์ที่ยังคงใช้ “แซ่เฮ้ง”
เพิ่งจะมีอายุรุ่นๆเพียง 13-14 ปี เริ่มต้นชีวิตในเมืองไทย
ด้วยการทำงานเรียนรู้เป็นช่างเจียระไนเพชรพลอย
ในร้านค้าเพชรย่านตรอกหัวเม็ด จักรวรรดิ
ความมานะพยายามที่มีแววเฉลียวฉลาด ได้ส่งประกายดุจเพชรน้ำเอก
ที่ทำให้ชีวิตของหนุ่มชาวจีนได้พบรักกับ
บุตรสาวเศรษฐีเจ้าของร้านเพชร “แซ่เบ๊”

พ่อตาอย่าง “ปรีชา อัศวปรีชา” ได้ยินยอมยก “สุทธิวรรณ อัศวปรีชา”
ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนให้แก่ณรงค์ และปรีชาก็ไม่ผิดหวังในหนุ่มคนนี้
เพราะในเวลาต่อมาณรงค์ได้พิสูจน์ถึงสายเลือด
ของนักสู้ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
จนกระทั่งตัวเองประสบความสำเร็จ
เขาได้กลายเป็นตำนานของ “แจ๊คผู้หาญฆ่ายักษ์แม่โขง”
ในฐานะผู้เข้ามาใหม่ด้วยบรั่นดีรีเจนซี่
หลังจากสะสมทุนรอนมหาศาลจากกิจการค้าเพชร
และรับเหมาก่อสร้างตึกแถวที่สามย่านอันเป็นที่ทรัพย์สินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ญาติคุณณรงค์ชอบสะสมบรั่นดีคอนญัคมาก
และคุณณรงค์ก็ชอบดื่มบรั่นดี ตอนหลังเขาไม่ดื่มมากเพราะว่า
ระวังเรื่องสุขภาพตอนที่เข้ามาในวงการนั้น
คุณณรงค์ชอบและหลงเสน่ห์บรั่นดีและอันไหนที่จิบแล้วไม่ถูกใจก็ติ
คนเขาก็ว่าติมากก็ทำเองสิ…ด้วยคำท้าทายนี้เอง
เขาจึงได้ตัดสินใจทุ่มเงินทุกบาททุกสตางค์
ที่ได้จากการค้าเพชรและรับเหมาก่อสร้างไปลงทุน

ณรงค์ก้าวเข้ามาใน “ยุทธจักรน้ำเมา”
ที่เป็นธุรกิจการเมืองตั้งแต่ปี พ.ศ.2515
โดยรู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสเกิดนั้นต้องเจ็บปวดและทรมาน
ไม่มีใครยอมรับรีเจนซี่ในระยะแรก แต่ด้วยใจนักสู้ที่ถือเอาความสุจริตใจ
เป็นที่ตั้งบวกกับสายสัมพันธ์ทางการเงินที่มี “ธนาคารกรุงเทพ”
หนุนหลังเต็มที่ ก็ทำให้ณรงค์กล้าก้าวเข้ามาเป็นผู้ผลิตบรั่นดี
ด้วยเจตนาที่ยึดถือคุณภาพเป็นจุดแข็งทางการขายและการตลาด

เดิมณรงค์ดื่มเหล้าไม่เป็น แต่ตอนที่รีเจนซี่รุ่นแรกๆ ขายไม่ได้เลย
แกเลยกินของแกเอง จนหน้าแดงก่ำ คิดดูสิ กว่าจะติดตลาดนี่ยาก
เพราะต้องทำโฆษณาการตลาดต่อเนื่อง
แต่ณรงค์แกเป็นคนโฆษณาไม่เป็น พูดแต่ว่าของผมดีๆ
แล้วใครจะไปรู้ล่ะ…ผู้ใหญ่ในกรมสรรพสามิตเล่าให้ฟัง
ด้วยเหตุนี้ในปี พ.ศ.2534 เขาจึงทุ่มงบโฆษณาวาระครบรอบ 20 ปี
ของรีเจนซี่บรั่นดี ทางสื่อมวลชนทุกแขนง
เพื่อสร้างภาพพจน์สินค้าที่ผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทย

ณรงค์มีความเป็นคนจีนที่เป็นคนไทยยิ่งกว่าคนไทยบางคนเสียอีก
ชีวิตที่ได้รับโอกาสการทำมาหากิน
สายสัมพันธ์ธุรกิจกับผู้หลักผู้ใหญ่อาทิ “พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์”
อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พิศมัยการจิบบรั่นดี
และต้องการช่วยเหลือชาวไร่องุ่นที่ประสบปัญหาผลผลิตราคาตกต่ำ
ทำให้การขอรับการส่งเสริมโรงงานของเขาในเวลาต่อมา
ได้รับการสนับสนุนอย่างดีทั้งจากหน่วยราชการและกรมสรรพสามิต

“แกเป็นคนไม่โกงภาษี ถึงไม่มีเงินเพราะขายของไม่ได้
แกก็ไปกู้มาให้” ผู้บริหารในกรมสรรพสามิตเล่าให้ฟังถึงอดีต
แต่ปัจจุบันบริษัทได้จ่ายภาษีสรรพสามิตทั้งสิ้นปีละเกือบพันล้านบาท
เพราะเหล้าขายดีมีรายได้มหาศาล
การรู้จักใช้ความกตัญญูรู้คุณที่ไปมาหาสู่มิเคยขาดในโอกาสสำคัญๆ
เช่นวันเกิด วันขึ้นปีใหม่ ทำให้เขามีวันนี้ได้
เขาไม่เคยลืมบุญคุณใคร ขนาด “พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์” หมดอำนาจไปแล้ว
เขาก็ยังไปหาอยู่บ่อยๆ หรือ “สมหมาย ฮุนตระกูล” ซึ่งเคยอนุมัติ
เพราะเห็นว่าโครงการของเขาดี ณรงค์เห็นว่าเป็นลายมือของท่าน
ก็ต้องไปหาทั้งๆที่ท่านไม่รู้ว่าเลยว่าช่วย นี่คือเสน่ห์ของณรงค์ที่ชอบไปหาคนเกษียณอายุแล้ว
เพื่อป้องกันข้อครหาว่า “ประจบสอพลอผู้ใหญ่”
แต่เหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ทำให้ณรงค์เสียใจมากก็คือ
สายสัมพันธ์อันเก่าแก่กับ “คีเซ่งเฮง” ต้องขาดสะบั้นลง
คีเซ่งเฮงเป็นเอเยนต์รีเจนซี่ในจังหวัดนครราชสีมามานาน
เถ้าแก่คีเซ่งเฮงจะรักและช่วยเหลือณรงค์มากตั้งแต่เริ่มต้นยุคบุกเบิกตลาดมาด้วยกัน
จนมียอดขายรีเจนซี่สูงสุดในประเทศ
ความนับถือที่ทั้งคู่มีให้กันเสมือนหนึ่งญาติ
แต่เมื่อเถ้าแก่คีเซ่งเฮงได้เสียชีวิตลง
ความคิดเห็นเรื่องผลประโยชน์เริ่มแตกต่างจากเดิม
ยิ่งมีเรื่องบริษัทเรียกเงินค้ำประกันหรือ “แตะเต้ย” เป็นเงิน 7 ล้านบาท
เพื่อช่วยด้านขยายกำลังผลิตทางคีเซ่งเฮงได้เป็นหัวเรือใหญ่
คัดค้านแม้ได้มีการพูดคุยกันแล้วก็ตาม
ในที่สุดคีเซ่งเฮงก็ขอเลิกเป็นเอเยนต์

นั่นเป็นเรื่องที่ณรงค์เสียใจจนถึงทุกวันนี้
และเขามักจะบ่นกับคนใกล้ชิดเสมอว่าเสียดายความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน…
ณรงค์มีบุตรธิดาทั้งสิ้น 5 คนเป็นลูกชายหัวปีท้ายปีคือ
ดิเรกและกรีติ์กนิษฐ์ และลูกสาวสามคนคือ
ศุภสร พรจันทร์ และศันสนีย์
ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ
ตั้งแต่ยังเล็กที่สิงคโปร์ และจบระดับปริญญาจากสหรัฐอเมริกา
โดยมีคุณแม่อย่างสุทธิวรรณตามไปคอยดูแล
แม้ในทางนิตินัยเธอยังคงใช้คำนำหน้าชื่อว่า
“น.ส.สุทธิวรรณ อัศวปรีชา” จนกระทั่งปัจจุบัน
ดิเรก โชคชัยณรงค์ บุตรชายคนโตของณรงค์
ที่เรียนจบด้านวิศวกรรมเคมีโรงงานจากอเมริกา
ก็ถูกวางตัวให้เป็นทายาทสืบภารกิจนี้ต่อจากพ่อ
ปัจจุบันดิเรกเป็นรองกรรมการผู้จัดการและดูแลการผลิตและด้านการตลาดด้วย,
ศุภสรหรือที่นิยมเรียกชื่อเล่นว่า “รุ้ง”
ผู้มีพื้นฐานจบจากด้านกราฟิกดีไซน์ก็ถนัดคุมงาน
การส่งเสริมด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ ,
พรจันทร์หรือ “ปาน” ดูแลด้านบัญชีการเงิน
ส่วนลูกสาวอีกคนก็ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์
และลูกชายคนเล็กก็เล่าเรียนมาทางด้านการบริหารธุรกิจการตลาด

ชีวิตทุกวันนี้ ณรงค์ทุ่มเทให้กับการทำงานมาก
จะไปโรงงานทุกวันแม้จะเดินไม่ค่อยไหว ทุกเช้า 10 โมงถึงบ่ายสี่โมงเย็น
เขาจะขลุกอยู่ในโรงงานสุราพิเศษสุวรรณภูมิที่จังหวัดนครปฐม
แม้จะล่วงเลยวัยเกษียณไปมากแล้ว
ชายร่างอ้วนใหญ่คนนี้ก็ยังหมั่นดูแลกิจการอยู่เสมอ
ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่ตราบนั้นเขาจะไม่ยอมหยุดทำงาน
จากชีวิตที่ต่อสู้ด้วยสองมือเปล่า วันนี้ชีวิต “ณรงค์ โชคชัยณรงค์” มีกำไรแล้ว…”

ปล. ที่เราดื่มทุกวันนี้ไม่เหมือนเหล้าเก่าในรูปและไม่ได้ทำจากองุ่นแล้ว

ขอบคุณข้อมูล   Thanawin Kanchanavipas


บันทึกการเข้า

ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18843


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 31, 2023, 08:58:23 am »

 THANK!! wav!!
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!