ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์: คุยเรื่องโลกศาสตร์ กับ ‘Extreme Weather’ ฝนห่าใหญ่
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 21, 2024, 03:31:20 pm *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์: คุยเรื่องโลกศาสตร์ กับ ‘Extreme Weather’ ฝนห่าใหญ่  (อ่าน 1788 ครั้ง)
eskimo_bkk-LSV team♥
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม..
member
*

คะแนน1887
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13886


ไม่แล่เนื้อเถือหนังพวก


อีเมล์
« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2022, 07:30:38 am »


------------------------------------
เมื่อเมฆครึ้มหนาแผ่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า
จินตนาการได้ว่าไม่นานนักฝนคงเทพรวดลงมาห่าใหญ่
พร้อมๆ กับมวลน้ำที่เอ่อล้นตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวง
ผู้คนทุลักทุเลไปกับการปกป้องบ้านเรือนจ้าละหวั่น
รถราจอดกระจุกอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่าน ถนนทุกสายกลายเป็นอัมพาต
…มันเป็นเช่นนั้นมาหลายวัน มาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
ทิ้งไว้เพียงความโกลาหลในเบื้องหลัง

9-11 กันยายน 2565 คือ 3 วันแห่งความวิปริต
ปริมาณน้ำฝนพุ่งถึง 100 มม. ต่อชั่วโมงต่อเนื่อง
พอดิบพอดีกับน้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือจากเขื่อนเจ้าพระยา
ที่ถูกระบายออกมาถึง 1,800-2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ปริมาณน้ำฝน 100 มม. ต่อชั่วโมง
อาจเกิดขึ้นได้จาก Extreme Weather หรือ สภาพอากาศสุดขั้ว
เป็นปัจจัยหนึ่งของ Climate Crisis วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เป็นห่าฝนที่ไม่ต่างอะไรกับการเล่นไฮโล
นั่นคือ เราไม่รู้ว่าลูกเต๋าจะออกหน้าไหน
คาดเดาไม่ได้ และรับมือยาก


ลำพังเพียงน้ำเหนือและน้ำทะเลหนุน
ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์
มองว่า กรุงเทพมหานครยังพอถูไถ
ทว่าหากโชคไม่เข้าข้าง ดันพ่วงเจ้าฝนจาก  Extreme Weather
มาด้วยนี่สิเรื่องใหญ่

WAY ถือโอกาสในวันเมฆครึ้ม ชวน ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์
อาจารย์วิชาฟิสิกส์และโลกศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สนทนาในห้วงเวลาปลายฝนต้นหนาว
ถึงที่มาที่ไปของเจ้าฝนอันเกิดจาก Extreme Weather (สภาพอากาศสุดขั้ว)
ทาบทับกับโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำในประเทศไทย
ไปจนถึงเรื่อง Climate Crisis ที่ ดร.สธน ใช้เวลากว่า 30 ปีในการศึกษา
และมองหาทางออก (สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 21 กันยนยน 2565)

วิชาโลกศาสตร์คืออะไร และฟิสิกส์เกี่ยวข้องอย่างไรกับโลกศาสตร์

โลกศาสตร์ในความหมายหนึ่ง แปลง่ายๆ คือ วิทยาศาสตร์โลก
หมายถึงวิชาวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโลกและระบบของโลกทั้งหลาย
เป็นสหวิชาที่ใช้ศาสตร์หลายอย่างรวมกัน เพราะโลกศาสตร์จะแบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน คือ

ส่วนที่เป็นพื้นดินและส่วนที่อยู่ใต้พื้นดิน (ธรณีภาค)
ส่วนที่เป็นน้ำและระบบน้ำทั้งหมด (อุทกภาค) 
ส่วนที่เป็นบรรยากาศ (อากาศภาค)
ส่วนสุดท้ายคือเรื่องของสิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวข้อง (ชีวภาค)

โลกศาสตร์ จึงเป็นศาสตร์ที่ได้ใช้ความรู้ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ธรณีวิทยา
แล้วบางครั้งยังรวมถึงรัฐศาสตร์ด้วย
เพราะในเรื่องของกระบวนการที่เราเรียกว่า mitigation คือการชดเชย
หรือบริหารจัดการชุมชนที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
รวมถึงเรื่องกฎหมายด้วยว่าเราจะดูแลชุมชนอย่างไร
หรือจัดการกับความต้องการของประชาชนอย่างไร

ฝนเดือนกันยายนของทุกปีถือเป็นฤดูกาลตามธรรมชาติ
แต่เหตุใดปีนี้จึงดูหนักหน่วงผิดปกติ

ผมไม่เรียกว่าผิดปกตินะ

ทีนี้ ตำแหน่งร่องฝนในบ้านเรานั้น เคลื่อนจากศูนย์สูตรหรือจากสิงคโปร์
ขึ้นมาทางเหนือตามการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์
คือวิ่งตามตำแหน่งของดวงอาทิตย์ แสงอาทิตย์ตกตั้งฉากเมื่อไหร่
สักพักหนึ่ง ร่องฝนจะตามมา เพราะฉะนั้นในบ้านเราจะมีจังหวะ
ที่ร่องฝนเคลื่อนผ่านอยู่ 2 รอบ
รอบแรกคือ หลังจากที่ตำแหน่งของแสงดวงอาทิตย์ตกตั้งฉาก
ข้ามจากซีกโลกใต้มาซีกโลกเหนือตอนปลายเดือนมีนาคม
ฉะนั้น ประมาณเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม ร่องฝนจะค่อยๆ
เคลื่อนจากสิงคโปร์มาเข้าเขตประเทศไทยประมาณปลายๆ เดือนเมษายน
แล้วจะผ่านกรุงเทพฯ ขึ้นไปทางภาคเหนือ
กระทั่งเลยไปประเทศจีนตอนใต้ ในช่วงประมาณเดือนมิถุนายน

หลังจากเดือนมิถุนายน คือดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนที่กลับลงมาทางใต้
ร่องฝนก็จะวิ่งตามมา แล้วผ่านประเทศไทยอีกรอบหนึ่ง
ในเดือนกันยายน ฉะนั้น ร่องฝนจะผ่านประเทศไทย 2 ครั้ง ใน 1 ปี
รอบแรกคือพฤษภาคม รอบสองคือกันยายน

ผลกระทบคือ เวลาลมสองสายมาปะทะกัน มันจะลอยขึ้น
แล้วเกิดก้อนเมฆอยู่สองฟากของแนวร่อง เป็นเมฆหนาสองข้าง
ฝนที่ตกหนัก ลักษณะเด่นอันหนึ่งคือ
ถ้าร่องฝนพาดผ่านตรงไหน มันจะมีฝนตกต่อเนื่อง
อาจจะ 24 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
แต่ฝนจะมีหนักเบาเป็นช่วงๆ บางครั้งตกนาน 2-3 วันก็มี
ส่วนในบ้านเรา ถ้ายังจำได้ เดือนพฤษภาคมฝนตกเยอะ
พอเดือนมิถุนายน กรกฎาคม จะเริ่มซาลง
เหลือฝนบ้างนิดหน่อย แล้วเดือนกันยายน
ก็จะเริ่มตกหนักอีกรอบหนึ่ง

ปัจจัยที่สอง-พายุ ของเราเรียกว่า ‘พายุหมุนเขตร้อน’
มาจากมหาสมุทรแปซิฟิก ราวช่วงเดือนตุลาคมจะพัดเข้าเขตประเทศไทย
และช่วงเดือนเมษายน พฤษภาคม ก็จะมีพายุทางฝั่งอันดามัน
แต่เวลามา เขาจะไม่เข้าภาคใต้ เขาจะเข้าภาคเหนือ
คือในลาวหรือเมียนมาตอนบน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อบ้านเราเหมือนกัน

สรุปคือ เดือนกันยายนเป็นเดือนที่ฝนตกเยอะ
เพราะร่องฝนพัดผ่าน ข้อดีของฝนเดือนกันยายนคือ
มันบอกให้เรารู้ว่าหน้าหนาวกำลังจะมาถึง
หลังจากฝนตกหนักผ่านไป อากาศเย็นจะมาเยือน
ถ้าเมื่อไหร่ร่องฝนขยับลงใต้บริเวณประจวบคีรีขันธ์
ก็จะเริ่มสลายตัวแล้ว หมายความว่าลมตะวันออกเฉียงเหนือ
เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตอนนั้นกรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศเป็นฤดูหนาว
อากาศจะเย็นลง เพราะฉะนั้นกันยายนจึงเป็นช่วงฝนสุดท้ายของปี
นี่คือสภาพปกติ
หากเรามองหาความ ‘ผิดปกติ’
ในความปกติของสภาพอากาศปีนี้
เราจะเห็นอะไรบ้าง

มีคนทำสถิติเพื่อดูว่าเดือนกันยายนปีนี้มันมีปัญหาอะไร
เขาพบว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีฝนตกหนักจนกระทั่ง
มีปริมาณน้ำฝนเกิน 100 มม. ต่อชั่วโมงอยู่ 10 กว่าครั้ง
ในจำนวนนี้มี 6 ครั้ง เกิดในเดือนกันยายน 2565 นี้

เท่าที่ผมดูพบว่า ปริมาณน้ำฝน 100 มม. ต่อชั่วโมงนั้นมีอยู่ทุกปี
แต่ช่วงต้นเดือนกันยายนปีนี้มันตกหนักที่กรุงเทพฯ พอดี
มันมีความพิเศษคือ ก่อนวันที่ 9 กันยายน ร่องฝนยังอยู่แถวๆ เชียงใหม่
แต่พอตอนเช้าอีกวันกลับลงมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว
 มันวิ่งผ่านครึ่งประเทศในเวลาไม่ถึง 12 ชั่วโมง
เพราะลมตะวันออกเฉียงเหนือมีความแรงแล้วดันร่องฝนลงมาพอดี
ค้างอยู่ที่กรุงเทพฯ 3 วัน ทำให้ช่วง 3 วัน (9-11 กันยายน 2565)
เกิดฝนตกต่อเนื่อง แล้วมีปริมาณน้ำฝน 100 มม. ต่อชั่วโมง ต่อเนื่อง 3 วัน

พอวันที่ 15-18 กันยายน 2565 ร่องฝนถอยกลับขึ้นเหนือเชียงใหม่
เพราะลมตะวันออกเฉียงเหนืออ่อนลง ต้องรอจนกว่าระลอกถัดไปคือ
อากาศทางตอนเหนือมันเย็นมากกว่า ก็จะดันลงมาอีกที
ร่องฝนถึงจะขยับตัว และจากวันที่ 21 กันยายน
ลมตะวันออกเฉียงเหนือจะค่อยๆ แรงขึ้น แล้วร่องฝนก็จะถูกผลักลงไปทางใต้มากขึ้น
ในที่สุดก็จะลงใต้ไปแล้วไม่กลับขึ้นมาพาดผ่านประเทศไทยอีก

เพราะฉะนั้น ปริมาณน้ำฝน 100 มม. ต่อชั่วโมง เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น
นี่คือลักษณะหนึ่งที่เขาเรียกว่า Extreme Weather หรือ สภาพอากาศสุดขั้ว
สิ่งนี้เกี่ยวพันกับภาวะโลกร้อน เพราะภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น
ทำให้อากาศอุ้มน้ำได้เยอะ
ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดพายุหรือฝนตกหนักจะเยอะกว่าช่วง 10 ปีที่แล้ว
ที่อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่า นี่ยังไม่นับปัจจัยอื่นๆ นะครับ

เพราะฉะนั้น เราจะอธิบายฝนตกหนักถึง 100 มม. ต่อชั่วโมง
ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่อง 3 วันในกรุงเทพฯ ด้วย Extreme Weather
สภาวะนี้มันเหมือนเราทอยลูกเต๋า หมายความว่า
คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เรารู้แน่ว่า ความถี่ที่จะเกิดฝนแบบนี้มีเพิ่มมากขึ้น
ปีนี้เราอาจจะโชคร้ายที่เกิดขึ้น 3 วันติดกัน
แต่ปีหน้าอาจจะไม่เกิดเลยก็ได้ หรือปีถัดไปอาจจะเกิดแค่ครั้งสองครั้ง
แต่โดยรวมมันเกิดถี่ขึ้น

สถานการณ์ฝนเดือนกันยายนปีนี้ที่ตกหนักต่อเนื่องในกรุงเทพฯ มีความพิเศษอย่างไร

มันพิเศษตรงที่ว่า
หนึ่ง-ปริมาณน้ำฝน 100 มม. ต่อชั่วโมง ติดกัน 3 วัน
สอง-มันเกิดขึ้นในวันที่น้ำทะเลหนุนสูงสุดพอดี
และสาม-เกิดขึ้นในจังหวะที่เขื่อนเจ้าพระยาปล่อยน้ำเพิ่มขึ้นด้วย

การที่น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วมกรุงเทพฯ ขึ้นอยู่กับน้ำ 3 อย่าง คือ
น้ำเหนือ น้ำหนุน และน้ำฝน
ถ้ามาแค่น้ำเหนือและน้ำหนุน ระบบของกรุงเทพฯ ยังพอรับได้
แต่ถ้าน้ำฝนมา ปัญหาคือเราต้องสูบน้ำออก
ถามว่าทำไมต้องสูบน้ำออก น้ำไม่ไหลลงไปเองเหรอ ไม่ครับ
เพราะระดับความสูงของน้ำต่างกัน เช่น

แถวสมุทรปราการ อยู่ที่ 50 เซนติเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่อยู่ที่ไม่เกิน 2 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
นนทบุรีอยู่ที่ประมาณ 2 เมตรกว่าๆ
แต่ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา
อยู่ที่ 3 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่ากรุงเทพฯ จะจมทะเลใน 10 ปีข้างหน้า
 ผมก็จะเถียงว่า ตอนนี้มันจมอยู่แล้ว


ถ้าเราไปที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการเมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว
คนสมุทรปราการเขาจะรู้ว่าต้องออกจากบ้านกี่โมง
เพราะถ้าเขาออกมาผิดเวลา น้ำจะท่วมถนน รถไปไม่ได้
เขาต้องรอให้น้ำลงก่อนถึงจะออกจากบ้านได้
แต่ตอนหลังเราใช้วิธีสร้างเขื่อนกั้น น้ำจึงไม่ทะลักเข้ามา
ตอนนี้คุณลองนั่งรถไปที่ท่าสี่พระยาสิ เป็นตัวอย่างที่ดีมากเลย
เพราะระหว่างที่เรายืนอยู่บนบก
กับข้ามไปยืนที่โป๊ะเทียบเรือเพื่อรอขึ้นเรือ
คุณจะยืนอยู่สูงกว่าถนนเมตรกว่าๆ นี่แหละคือกรุงเทพฯ


สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน คือน้ำทะเลหนุนสูง
แล้วก่อนหน้านั้นเขื่อนเจ้าพระยาปรับการระบายน้ำ
เพิ่มขึ้นจาก 1,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 1,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ‘น้ำเหนือลง น้ำทะเลหนุน’
แล้ววันที่ 9-11 กันยายนที่ผ่านมาเกิดฝนตก
แล้วดันเป็นฝนตกหนัก 100 มม. ต่อชั่วโมงด้วย
พอน้ำทะเลหนุนสูง เราจึงไม่สามารถสูบน้ำออกจากคลองได้
คันกั้นน้ำช่วยกันน้ำเหนือกับน้ำหนุนจริง
แต่ก็เป็นอุปสรรคในการเอาน้ำฝนออกจากกรุงเทพฯ
อีกทั้งท่อระบายน้ำในกรุงเทพฯ ก็ไม่ได้มีไว้เพื่อระบายน้ำ จริงๆ
แล้วมันมีไว้เพื่อสำรองน้ำ คือเอาน้ำออกจากผิวถนนลงไปเก็บในท่อ
ให้มันเต็มแล้วสูบออก ถ้าเราเปิดประตูน้ำติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา
หรือแม่น้ำบางปะกง หรือแม่น้ำป่าสักฯ ตรงปากคลองรังสิตฝั่งนครนายก
น้ำไหลเข้ากรุงเทพฯ แน่นอน
เพราะระดับน้ำด้านนอกสูงกว่าทั้งหมด
วิธีเดียวคือต้องสูบออก

แต่เมื่อวันที่ 11 กันยายน สิ่งที่เกิดขึ้นคือระดับน้ำด้านนอกสูง ฝนตก น้ำในคลองเต็ม
แต่สูบออกไม่ได้เพราะน้ำข้างนอกสูง หากสูบออกไปอีกก็จะไปท่วมพื้นที่ข้างนอก
ฝั่งนครนายกเขาก็ไม่ยอม เพราะจะไปท่วมบ้านเรือนราษฎรแถวนั้น
ฝั่งฉะเชิงเทราก็สูบออกไปไม่ได้ น้ำจึงค้างอยู่ กทม.
จัดการได้อย่างเดียวคือสูบออกแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านทางพระโขนง กับปทุมธานี
ซึ่งถ้าเราดึงน้ำจากฝั่งประเวศไปพระโขนงอย่างที่อาจารย์ชัชชาติว่า
มันต้องดึงตั้ง 20 กิโลเมตร มันไกล น้ำจึงลดไม่เร็ว สังเกตไหมว่า
หลังจากวันที่ 11 กันยายน ฝนหยุดสองวัน น้ำแห้งสนิท
นั่นเพราะหากเราเหลือแค่สองน้ำ คือน้ำเหนือกับน้ำหนุน
เราจัดการได้ แต่ถ้าน้ำฝนมาด้วย เราจัดการไม่ได้

ดังนั้น สิ่งที่อาจารย์ชัชชาติทำคือไปคุยกับผู้ว่าฯ ปทุมธานี
เพื่อหาทางจัดการปัญหา เพราะว่าบิ๊กแจ๊ส
(พล.ต.ท.คํารณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี) จัดการไม่ได้
ต้องอาศัยผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นผู้บริหารส่วนกลาง และมีอำนาจสูงกว่านายกเทศมนตรี

อาจารย์ชัชชาติเป็นผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้งจริง
แต่ตำแหน่งเท่ากับนายกเทศมนตรีกรุงเทพฯ
บิ๊กแจ๊สเป็นนายก อบจ.ปทุมธานี แต่บิ๊กแจ๊สสั่งกรมชลประทานไม่ได้
เพราะเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น
คนที่จะสั่งกรมชลประทานได้คือผู้ว่าราชการจังหวัด
ซึ่งเขามีวาจาสิทธิ์ที่จะสั่งได้หมด


สรุปคือ ฝนเดือนกันยายนปีนี้เกิดจาก Extreme Weather
ถามว่ามันจะเกิดขึ้นอีกไหม ตอบไม่ได้ครับ เพราะมันคือการสุ่ม
จะเกิดมากน้อยแค่ไหนเราไม่รู้ แต่มันเกิดแน่ๆ
แล้วถ้าเรามองในช่วง 10 ปีข้างหน้า โอกาสที่เราจะเจอฝนจาก Extreme Weather
จะมีบ่อยครั้งขึ้น แต่ถ้าหากเราเตรียมตัวดี ก็มีทางที่จะฝ่าฟันไปได้
เราต้องเตรียมตัวอย่างไรจึงจะพอฟันฝ่า Extreme Weather ที่คาดเดายากไปได้

ในภาพใหญ่ประเทศไทย เราต้องหาทางบริหารจัดการน้ำให้ดี
โครงการบริหารจัดการน้ำของเราหยุดชะงักมาตั้งแต่ปี 2557
ผมไม่ได้โทษใครนะ แต่มันชะงักตั้งแต่ช่วงนั้น
มีโครงการเกิดขึ้นมากมายนะ แต่ไม่ได้แก้ โครงสร้างพื้นฐานเลย

โครงสร้างคูคลองในประเทศไทยจะเน้นคูคลองเพื่อการเกษตร
แม่น้ำเจ้าพระยาลงมาจากนครสวรรค์ แยกเข้าแม่น้ำน้อยไปคลองเขตบางบาลฝั่งแม่น้ำป่าสัก
เข้าคลองรังสิต เป็นการแตกสาขาเพื่อเลี้ยงทุ่งรังสิต
คำถามคือ ปัจจุบันทุ่งรังสิตเปลี่ยนจากทุ่งนาเป็นบ้านจัดสรรหมดแล้ว
แต่คลองรังสิตกลับไม่ได้ถูกออกแบบใหม่เพื่อเอาน้ำออก
เพราะเดิมมันถูกออกแบบให้เอาน้ำเข้า เหมือนกับคลองประเวศ
หรือฝั่งพระโขนงที่ถูกออกแบบให้เอาน้ำเข้าเช่นเดียวกัน
มันจึงต้องรอให้ระดับน้ำข้างในสูงพอสมควรแล้วถึงจะสูบออกทางฉะเชิงเทรา


ถ้าเราดูผังน้ำของประเทศไทย มันถูกออกแบบให้น้ำจากตอนเหนือ
แผ่ออกเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรให้ได้มากที่สุด
แล้วมารวบตรงอำเภอบางไทรเพื่อที่จะให้น้ำไหลออกทะเล
แต่ถ้าปีไหนน้ำมาก ก็ไม่ต่างอะไรกับการแผ่น้ำไปให้ท่วมมากที่สุด
นี่คือปัญหาของปี 2554 คือน้ำมาเยอะ ทำให้น้ำไม่ได้มาตามคลอง
แต่มาตามทุ่ง น้ำแผ่มาเต็มไปหมดจนท่วม
ประเด็นคือเราจะทำอย่างไรให้ประตูระบายน้ำทำหน้าที่ได้ดีมากขึ้น

อย่างที่ผมบอก ตั้งแต่ปี 2557 เรามีแผนบริหารจัดการน้ำก็จริง
แต่เราไม่มีการแก้โครงสร้าง เพราะโครงสร้างนี้เป็นปัญหามาตั้งแต่ปี 2554
ไม่เคยเปลี่ยนเลย เราต้องขยายการไหลของน้ำออกทางประตูระบายน้ำให้ได้อย่างรวดเร็ว
วิธีที่ดีที่สุดคือต้องขยายประตูระบายน้ำมโนรมย์
ซึ่งปัจจุบันมีกำลังระบายน้ำสูงสุดอยู่ที่ 210 เมตรต่อวินาที
แต่เขื่อนเจ้าพระยามีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 2,690 เมตรต่อวินาที
แปลว่าประตูระบายน้ำมโนรมย์มีกำลังน้อยกว่า 10 เท่า
แสดงว่าสถานการณ์ของฝนปีนี้ ไม่หนักเท่าเหตุการณ์ปี 2554?

ไม่หนักเท่าปี 2554 ครับ

ปี 2554 มันท่วมเพราะคันกั้นน้ำแถวๆ บางกรวยแตก
น้ำก็เลยท่วมฝั่งธนบุรี ที่หนักที่สุดคือคลองรังสิต
น้ำนอกคันกันน้ำสูงเกือบ 3 เมตร แต่น้ำด้านในสูง 1 เมตร
ประตูน้ำรับน้ำหนักไม่ไหว เพราะถ้าน้ำต่างกัน 1 เมตร
น้ำหนักประมาณ 500 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ถ้าสูงต่างกัน 3 เมตร
ก็จะรับน้ำหนักเกือบ 5 ตัน ประตูน้ำรับไม่ไหว พอประตูน้ำรังสิตแตก
น้ำก็ทะลักท่วมเข้ามาทางดอนเมือง นั่นคือปัญหาในปี 2554


ถามว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร ผมมองอย่างนี้นะว่า กทม.
ควรจะมีระบบกักเก็บน้ำ อย่างเขตประเวศมีบึงหนองบอนเป็นตัวรับน้ำ
ปกติแล้วน้ำจาก กทม. จะไปบึงหนองบอนเพื่อรอเวลาให้น้ำข้างนอกลดต่ำลง
แล้วจึงจะสูบน้ำที่บึงหนองบอนออก กทม.
จึงควรจะมีระบบกักเก็บน้ำแบบบึงหนองบอนให้มากขึ้น
โดยเฉพาะตามถนนสายสำคัญๆ

ผมยกตัวอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยมีปัญหาน้ำท่วม
ตามถนนเวลาฝนตกเยอะๆ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เพราะเขาทำถนนใหม่
แล้วตรงใต้ถนนประมาณครึ่งหนึ่ง เป็นท่อระบายน้ำ
ซึ่งไม่ได้เอาไว้ระบายน้ำหรอก แต่เอาไว้ให้น้ำลงไปอยู่ในนั้นตอนฝนตก
เมื่อถึงเวลาก็จะสูบออก แต่กระบวนการนี้ใช้งบประมาณมหาศาลเหมือนกัน

ด้วยสถานการณ์แบบนี้ กทม. สามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อรับมือปัญหาที่เกิดขึ้น

นโยบายเส้นเลือดฝอยของอาจารย์ชัชชาติโอเคเลย
แต่เส้นเลือดฝอยมันไม่สามารถจะไปเชื่อมแม่น้ำได้โดยตรง
เพราะระดับน้ำข้างนอกสูง ดังนั้น เส้นเลือกฝอยควรจะเชื่อมเข้าไปหาแหล่งเก็บน้ำ
แล้วค่อยสูบออก คราวนี้ทำอย่างไรเราจึงจะทยอยสร้างแหล่งเก็บน้ำไว้ในแต่ละพื้นที่เยอะๆ ได้
ถ้าถามว่าเรายังขาดพื้นที่แบบนี้เยอะไหม ก็เยอะนะ
เพราะมีแต่คนคิดแต่จะถมที่ หากคิดจะสร้างสวนสาธารณะ
ก็ควรจะเป็นลักษณะบึงหนองบอน ค่อยๆ ลงทุนสร้างไปเรื่อยๆ
แล้วเชื่อมต่อแหล่งเก็บน้ำเข้ากับเส้นเลือดใหญ่

ประเด็นสำคัญคือ กทม. มีส่วนที่ติดแม่น้ำแค่บางส่วน พื้นที่รอบนอกไม่ได้ติดกับแม่น้ำ
อย่างประเวศหรือลาดกระบังแถบนอกไม่ได้ติดกับแม่น้ำ
การจะเอาน้ำออกจะต้องพึ่งพื้นที่อื่น เช่น คลองประเวศต้องพึ่งฉะเชิงเทรา
ซึ่งอยู่นอกเขต กทม. มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของ กทม.
ปัญหาหนักคือทางที่ออกคลองประเวศเป็นประตูน้ำของกรมชลประทาน
ซึ่งเขาก็ไม่ยอมเปิดประตูน้ำหรือสูบออก เพราะมันไปกระทบพื้นที่การเกษตรข้างนอก

อีกตัวอย่างคือปัญหาหลักที่เกิดขึ้นที่ปทุมธานีคือ
เมื่อปทุมธานีอยากจะสูบน้ำออก แต่ประตูน้ำที่สูบน้ำไปที่เจ้าพระยาเป็นของกรมชลประทาน
มีเครื่องสูบน้ำ 20 ตัว แต่เสียไป 10 แล้วไม่ซ่อม
มันจึงระบายน้ำออกจากปทุมฯ ไม่ได้ พอระบายน้ำไม่ได้
น้ำจากกรุงเทพฯ ก็ออกไม่ได้ ฉะนั้นการบริหารจัดการจึงต้องร่วมมือกัน
บิ๊กแจ๊สถึงได้ควันออกหูไง เพราะเขารู้ว่าเครื่องสูบน้ำ 10 เครื่อง
มันเสียตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วเขาก็ขอให้ซ่อมแล้ว แต่ไม่ซ่อม


เพราะฉะนั้น ประเด็นหลักของกรุงเทพฯ ถ้าจะไปรื้อท่อระบายน้ำ
ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการที่จะแก้น้ำท่วม งบไม่พอ
นั่นคือปัญหาใหญ่ข้อหนึ่ง คุณจะไปแก้ท่อระบายน้ำในกรุงเทพฯ
 คุณแก้ไม่ได้ เพราะใช้งบมหาศาล

เรื่องการแก้โครงสร้างบริหารจัดการน้ำใหม่ เคยมีหน่วยงานใดชงเรื่องนี้ขึ้นมาไหม

เคยครับ สมัยท้ายรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ มีการเจรจาจะขุดแม่น้ำเจ้าพระยาสายสอง
ขุดแยกไปแม่น้ำแม่กลอง ผ่านไปทางราชบุรี เป้าหมายคือ
ในฤดูน้ำหลากจะระบายน้ำผ่านเส้นนั้นเพื่อช่วยระบายออกก่อน
หรือถ้าช่วงไหนน้ำน้อยก็สามารถผันน้ำผ่านแม่กลองกลับเข้ามาได้
โดยการใช้ประตูระบายน้ำสองด้าน
(ประตูระบายน้ำมโนรมย์และประตูระบายน้ำมะขามเฒ่าอู่ทอง) สูบเข้ามาได้

แต่ว่าไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์​ เพราะตอนนั้นคนเพิ่งเจอน้ำท่วมปี 2554
คนยังตกใจกับน้ำท่วมอยู่มาก เขากลัวว่าจะเอาน้ำไปท่วมบ้านเขา
แปลว่าแนวคิดการปรับโครงสร้างมันเคยอยู่ในแผนมาก่อน แต่ชะงักไป


เริ่มมีการพูดถึงการย้ายเมืองหลวง อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร

เห็นด้วย แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลของการย้ายหนีน้ำท่วม
ข้อเสนอบางอันก็รับไม่ได้นะ เช่น ทำเขื่อนกั้นปิดปากอ่าว ก.ไก่
จากเพชรบุรียันสัตหีบ ปัญหาคือถ้าทำเขื่อนตรงนั้นปั๊บ
ระบบนิเวศน้ำในบริเวณ อ่าว ก.ไก่ มันจะพัง
เพราะน้ำจืดจะระบายออกทะเลลำบากขึ้น คุณภาพน้ำภายในจะเสีย
แล้วจะพังทั้งระบบ ถึงจะทำเป็นประตูน้ำแบบเปิด-ปิดก็ตาม
ผมคิดว่าระบบที่ทำอยู่คือทำเขื่อนเหนือดิน โอเคแล้ว ทำเฉพาะเมืองไป

ผมมองว่าตอนนี้กรุงเทพฯ หนาแน่นเกินไป ทุกๆ เช้าคนจะวิ่งจากขอบเมือง
เข้ามาในตัวเมืองเป็นระลอกคลื่น ทำไมเราไม่เอาส่วนราชการออกไปไว้ข้างนอก
แล้วทำรถไฟฟ้าออกไปตรงนั้น คนไปติดต่อราชการก็นั่งรถไฟฟ้าไปได้
ไปต่อรถวงแหวนแล้วเข้าหน่วยราชการที่ตัวเองต้องการติดต่อ
คนไปทำงานก็เอารถออกไปได้ คุณสร้างที่จอดรถไว้

ดังนั้นผมมองว่าควรขยับส่วนราชการ ขยับธนาคารทั้งหลาย
เอาส่วนที่คนเยอะไปอยู่ในที่ห่างหน่อย ส่วนข้าราชการถ้าไปไกลหน่อย
คุณก็ทำสวัสดิการที่พักให้เขา โจทย์คือทำอย่างไรคุณจะกลับทิศรถได้
แทนที่ตอนเช้าทุกคนจะต้องวิ่งจากข้างนอกเข้ามาในเมือง
จากที่กว้างเข้าหาที่แคบ ให้กลายเป็นวิ่งจากข้างในออกไปข้างนอก
เพื่อให้กระจายออก ตรงกลางคุณจะทำสวนสาธารณะหรือทำอะไรก็ทำไป
แต่ย้ายส่วนข้าราชการออกไปให้ได้มากที่สุด
แล้วเอาพื้นที่เหล่านั้นมาทำแหล่งกักเก็บน้ำ ปัญหาน้ำท่วมก็จะเบาลง


กลับมาที่เรื่อง Extreme Weather ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของ Climate Change
อยากให้ขยายความถึงสาเหตุ ผลกระทบ
และกลไกการเกิดภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

คาร์บอนไดออกไซด์มันมีคุณสมบัติพิเศษคือ
มันสามารถดูดกลืนรังสีอินฟาเรดที่ออกจากโลกแล้วแผ่กลับลงมา
มันคือก๊าซหลักชนิดหนึ่งในกระบวนการที่ทำให้โลกอุ่น
ทำให้เราอยู่ได้ ถ้าโลกเราไม่มีคาร์บอนไดออกไซด์
อุณหภูมิจะติดลบประมาณ 30 องศา ซึ่งเราอยู่ไม่ได้

ทีนี้ สมดุลตรงนี้มันเปลี่ยนไป แต่เดิมคาร์บอนไดออกไซด์ถูกเก็บไว้ใต้ดิน
ในรูปของเชื้อเพลิงฟอสซิลมาหลายพันล้านปีก่อน
เมื่อมาสู่ยุคไดโนเสาร์มันก็ถูกสะสมไว้ในถ่านหิน
ในรูปของน้ำมัน ปัญหาคือหลังศตวรรษที่ 18 เราเริ่มใช้รถยนต์
เอาน้ำมันมากลั่นแล้วเอามาเผา ทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยสู่อากาศ
ต้นไม้ซึ่งเป็นตัวซับคาร์บอนไดออกไซด์ก็ลดลง
ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ค้างในบรรยากาศเยอะ นี่คือความรู้พื้นฐาน

รายงานครั้งแรกของ Climate Change คือปี 1989
เราพบการเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วมากของคาร์บอนไดออกไซด์
มันส่งผลกระทบให้พลังงานที่โลกสะสมไว้จากแสงอาทิตย์
ออกไปสู่อวกาศได้น้อยลง ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของบรรยากาศสูงขึ้น
นอกจากคาร์บอนไดออกไซด์ยังมีตัวอื่นๆ ด้วย
อย่างมีเทน (Methane) ไนตรัสออกไซด์ (Nitrous oxide)
สิ่งเหล่านี้เกี่ยวพันกับจำนวนประชากร หากเราดูกราฟของคาร์บอนไดออกไซด์
มีเทน และไนตรัสออกไซด์ จะพบว่าจำนวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นพร้อมๆ กัน
ทำให้ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โดยในช่วงประมาณปี 2000
มันสูงขึ้นมาประมาณ 0.5 องศา ส่วนตอนนี้เขาบอกว่าประมาณเกือบๆ 1 องศา
ถ้าเทียบกับช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม

ผลกระทบเกิดขึ้นตามมาหลายเรื่อง ยกตัวอย่าง ฝน Extreme Weather
ที่เราเจอในเดือนกันยายนนี้ ความชื้นในอากาศสูงขึ้น อากาศยิ่งร้อน
ยิ่งเก็บความชื้นได้มากขึ้น เวลาเกิดฝนมันก็รุนแรงขึ้น
โอกาสที่จะเกิดฝนตกหนักบ่อยครั้งขึ้น
ทางมหาสมุทรแอตแลนติกมีจำนวนพายุและความแรงของพายุเพิ่มขึ้น
ส่วนในแถบบ้านเราคือมหาสมุทรแปซิฟิก
ก็มีรายงานเหมือนกันว่า จำนวนพายุเพิ่มขึ้นทั่วทั้งพื้นที่แปซิฟิก
และมีความรุนแรงสูงขึ้น

พายุจะมีความรุนแรงอยู่ 5 ระดับ
ซูเปอร์ไต้ฝุ่นถือเป็นความรุนแรงระดับ 5
ความเร็วลมประมาณ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในอดีตเราไม่ค่อยเจอซูเปอร์ไต้ฝุ่นในแปซิฟิกเท่าไหร่
แต่ปัจจุบันเราเริ่มเจอบ่อยขึ้นปีละ 1-2 ลูก เป็นประจำ
เริ่มจากไม่ค่อยเจอ มาเป็น 2-3 ปีเจอครั้ง
กลายเป็นเจอเกือบทุกปีในปัจจุบัน

อย่างที่ญี่ปุ่นเจอตอนนี้ กำลังจะเข้าเกณฑ์ซูเปอร์ไต้ฝุ่นแล้ว
ก่อนหน้านี้มีรายงานที่เชื่อถือไม่ค่อยได้เท่าไหร่
แต่ตอนนี้เริ่มมีรายงานที่เชื่อถือได้มากขึ้นว่ามีพายุเพิ่มขึ้นจริง
แต่มันจะเกิดขึ้นแถวฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เกาหลี
ส่วนด้านล่างอย่างประเทศไทย หรือจีน พายุมันลดลง
เพราะว่าการที่ซูเปอร์ไต้ฝุ่นจะเกิดขึ้นได้ ปัจจัยคืออุณหภูมิน้ำต้องพอเหมาะ
บ้านเราน้ำค่อนข้างร้อนเลยทำให้เกิดพายุน้อยลง จริงๆ แล้ว 30 ปีที่ผ่านมา
ประเทศไทยมีจำนวนพายุที่เข้ามาโดยเฉลี่ยลดลง
เคยมี 4-5 ลูก ตอนนี้เหลือประมาณ 2 ลูกต่อปี

ผลกระทบอีกอย่างคือ วันที่อากาศร้อนเกินกว่า 35 องศาเซลเซียสจะมีมากขึ้น
กลางคืนที่มีอุณหภูมิมากกว่า 25 องศาเซลเซียสจะมีมากขึ้น
ในทางตรงข้าม วันที่มีอากาศเย็นจะลดลง เมื่ออากาศร้อนขึ้น น้ำขยายตัว
ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น มีหลายคนที่พูดถึงกรีนแลนด์ พูดถึงยอดภูเขาไฟฟูจิ
พูดถึงยอดเขาคิลิมันจาโร ซึ่งเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว
ถ่ายภาพของคิลิมันจาโรพบว่ายังมีหิมะ
แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว หรือหิมาลัยเองในบางช่วง ธารน้ำแข็งก็ลดลง

ตรงนี้มีข้อควรระวังนิดหนึ่ง คือบางครั้งมันใส่สีตีไข่กันเกินความเป็นจริง
อย่างหิมาลัยก็เคยมีคนท้วงว่า ภาพที่ถ่ายธารน้ำแข็งละลายมันถ่ายอยู่มุมเดียว
อีกมุมที่ธารน้ำแข็งเพิ่มกลับไม่ถ่าย หรือกรีนแลนด์เองก็ตาม
ตอนที่ถ่ายภาพ เขาไปถ่ายแค่ตอนละลาย แต่หน้าหนาวที่หิมะไปสะสมตัว
คุณก็ไม่ถ่าย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้มันก็มีประเด็นการเมืองเข้ามาเยอะ
แต่โอเค ผลกระทบนี้มันเกิดขึ้นจริง

มีข้อสรุปหนึ่งบอกว่า โอกาสที่ผลกระทบจะเกิดในศตวรรษที่ 21 แน่นอนคือ
จำนวนวันที่อากาศร้อนจะสูงขึ้น คลื่นความร้อน (heat wave) จะเกิดบ่อยครั้งขึ้น
ฝนตกหนักขึ้น พื้นที่แห้งแล้งมากขึ้น พายุรุนแรงขึ้น
ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ประเมินจากเมื่อปีประมาณ 2003
น้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 0.3 มิลลิเมตรต่อปี
หมายความว่า ใน 100 ปี ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นประมาณ 3 เซนต์
ตัวเลขนี้สำหรับพื้นที่ทั่วไปอาจไม่เยอะ
แต่สำหรับพื้นที่อย่างกรุงเทพฯ มันเยอะ
ตอนนี้สมุทรปราการอยู่ที่ 50 เซนติเมตร
จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ถ้า 100 ปีข้างหน้า
มันขึ้นมาอีก 3 เซนติเมตร
เมื่อไหร่ที่คุณอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง
แปลว่าคุณอยู่ใต้น้ำโดยสมบูรณ์​

นั่นคือคำตอบว่า ทำไมการย้ายเมืองหลวงเป็นตัวเลือกที่ดี
นั่นเพราะมันสามารถแก้ไขหลายปัญหาได้พร้อมกัน
แต่การย้ายเมืองหลวงไม่ใช่การพูดว่าพรุ่งนี้ย้ายกันเถอะ
ประชาชนไปไม่ทันนะ คุณต้องวางแผนระยะยาวว่า
ถ้าคุณจะย้ายสถานที่ราชการใหม่ คุณต้องมีพื้นที่ให้ข้าราชการ
มีอะไรต่อมิอะไรให้เขาเพื่อชักจูงให้เขาย้ายออกจากการทำงานในกรุงเทพฯ​
ต้องมีการวางโครงสร้างอะไรอีกมากมาย มันคือแผนระยะยาว
ฟังอย่างนี้แล้ว Climate Crisis ใกล้ตัวเรามาก ตัวอย่างง่ายๆ
คือฝนเดือนกันยายนที่กระทบคนกว่า 10 ล้านในเมืองหลวง

คำถามคือ อาจารย์มองว่าการตื่นตัวของคนอยู่ในระดับไหน

ผมเป็นคนที่โดนยกตัวอย่างว่า เป็นคนที่แอนตี้ Climate Crisis (หัวเราะ)
แล้วผมพูดว่า สถานการณ์ในเมืองไทยจะเข้าสู่รูปแบบ Climate Change Crazy (CCC)
แล้วมีคนเอาคำพูดผมไปอ้างอิงลงเปเปอร์เลยนะ
บอกว่าผมพูดว่า Climate Change Crazy แปลว่าผมไม่เชื่อในเรื่องของ Climate Change

ประเด็นคือผมไม่ใช่ไม่เชื่อ ผมศึกษาเรื่องนี้มา 30 ปี ผมเชื่อ
แต่ผมหมายความว่า การที่คุณส่งเสริมให้ใช้กระเป๋าผ้า
แต่คุณเอาใส่ไว้ในถุงพลาสติก การผลิตถุงพลาสติกมันปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
คุณซื้อกระเป๋าผ้าแล้วคุณรู้สึกว่า เฮ้ย
ฉันช่วยโลกแล้ว ฉันรักโลก แต่คุณไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณทำมันส่งผลกระทบอย่างไร
เทียบกับการที่คุณเอาถุงพลาสติกเก็บเอามาใช้ใหม่
มันยังได้ผลมากกว่า คำว่า crazy ของผมไม่ใช่ไม่เชื่อ
แต่มันคือภาวะที่คนตื่นตัวจนไม่ลืมหูลืมตา

อาจารย์มองระดับความวิกฤตของ Climate Crisis อย่างไร

มันวิกฤตนะ แต่ผมมีความเชื่อหนึ่งคือ life will find the way
คือสมดุลมันเปลี่ยน เราอาจมีชีวิตในอนาคตที่ลำบากลำบนมากกว่าปัจจุบัน
แต่เราอยู่ได้ แต่ถ้าเราช่วยกันมากกว่านี้
เราอาจจะชะลออาการนั้นออกไปได้

ถามว่าทำไมผมเชื่ออย่างนี้ ผมต้องยกเทียบกับเรื่องรูรั่วโอโซน (ozone hole)
เมื่อปี 1980 เขาพบว่า โอโซนที่ปกป้องรังสีอัลตราไวโอเลตในขั้วโลกใต้มันหายไป
เรื่องใหญ่มากเลย ทุกคนตกใจ เพราะขั้วโลกใต้คือแหล่งอาหาร
ถ้ารังสีอัลตราไวโอเลตไปถึงขั้วโลกใต้ถึงพื้นน้ำ
แพลงตอน ในน้ำจะหายไป พูดง่ายๆ คือปลาทะเลจะหายไปเยอะมาก
เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ

ตอนนั้นเขาตรวจเจอว่า ปัญหาหลักคือสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า
CFC (Chlorofluorocarbon) สมัยก่อนมันจะอยู่ในแก๊สที่เขาใช้อัดกระป๋อง
หรือเครื่องปรับอากาศ ถัดมาจึงมีข้อตกลงมอนทรีออล (Montreal Protocol)
สั่งแบนการผลิตสารชนิดนี้ทั้งหมดเลย ทุกประเทศหยุด
และมีเวลา 10 ปีในการกำจัดสารตัวนี้ให้หมดไป
ประเทศไทยใช้ช่วงปี 1990 ผมก็ต้องเอารถไปเปลี่ยนน้ำยาแอร์
จากรุ่นที่มี CFC เป็นรุ่นที่ไม่มี CFC มันใช้เวลาเป็น 10 ปีเลยนะ
เพราะว่ามีการลักลอบใช้ ของมันราคาถูก กว่าจะเก็บหมดก็ใช้เวลา

แต่จากปี 1980 ถึงปัจจุบัน 40 กว่าปีแล้ว รูรั่วโอโซนยังไม่ลดลง
เพิ่งมีสัญญาณของการหยุดการขยายตัวเมื่อ 1-2 ปีมานี้เอง
แล้วปริมาณสาร CFC ที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านั้น
จนถึงปัจจุบันเพิ่งลดลงมาอยู่ในระดับก่อนหน้าเกิดรูรั่วโอโซนในปีนี้เอง
หมายความว่าใช้เวลาเกือบ 50 ปี กว่าที่เราจะชะลอมันได้
อย่าว่าแต่จะกลับไปสู่สภาพปกติเลย

ทุกคนเอาโมเดลนี้มาใช้กับคาร์บอนไดออกไซด์
ทำความตกลงปารีส หรือ Paris Agreement ให้ทุกประเทศลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
ล่าสุดประเทศเราสัญญาไว้ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัญหาคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เหมือน CFC ครับ
เพราะสาร CFC เราสามารถหาสิ่งอื่นมาใช้แทนได้
แต่คาร์บอนไดออกไซด์คือ เพียงแค่สตาร์ตรถ เปิดพัดลม เปิดไฟ
มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา แค่หายใจออกก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว
คาร์บอนไดออกไซด์มันไม่ได้ปล่อยที่เรานะ
แต่มันปล่อยที่โรงไฟฟ้า ตราบใดที่เรายังใช้โรงไฟฟ้าที่ใช้การสันดาป
แปลว่าเรายังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ตลอดเวลา

เราแก้ตรงนี้ไม่ได้เพราะอะไร ทางเลือกที่จะได้พลังงานไฟฟ้าที่มากพอ
ในการชดเชยความต้องการพลังงานของประชาชน คือนิวเคลียร์
แต่ก็ไม่มีใครอยากได้นิวเคลียร์ (หัวเราะ) โครงสร้างพลังงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทย 90 เปอร์เซ็นต์มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล
เพราะฉะนั้น คาร์บอนไดออกไซด์มันอยู่ทุกอิริยาบถที่เราทำ
คุณทำได้ไหมล่ะหากวันหนึ่งบอกว่า พรุ่งนี้รถยนต์ทุกคันต้องหยุดวิ่ง
ทุกคนไปทำงานด้วยการขี่จักรยาน ไม่มีการใช้ไฟในเวลากลางคืน มันทำไม่ได้
ถ้าเอาเฉพาะเรื่องการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
เราพอมีวิธีปรับตัวอย่างไร หรือมีเทคโนโลยีใหม่ในการรับมือไหม

มันมีไหม (นิ่งคิด)

วิธีที่ถูกต้องสำหรับคนทั่วไป คือการใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถ้าคุณมีหลอดไฟที่เป็นหลอดขั้ว 30 วัตต์ เปลี่ยนเป็นหลอด LED ไหม
พยายามลดขยะ เพราะขยะที่มีอยู่มันปล่อยมีเทน ควรใช้ซ้ำ เน้นรีไซเคิลให้มากที่สุด
เพราะระหว่างพลาสติกเก่า พลาสติกใหม่ ผ้า สองอย่างหลังมันส่งผลกระทบเยอะ
คุณต้องไปตัดต้นไม้ คุณต้องไปขุดเชื้อเพลิงฟอสซิลขึ้นมาเพิ่ม
หรือการใช้แก๊สโซฮอล์ หรือ ไบโอดีเซล ก็ช่วยได้นะ แต่ถ้าคุณจะไปใช้รถไฟฟ้า
แล้วคุณภูมิใจว่าช่วยโลก คำถามคือ คุณชาร์จไฟจากไหน
จากบ้านใช่ไหม แล้วไฟบ้านมาจากไหน ก็คือโรงไฟฟ้า แล้วโรงไฟฟ้าใช้อะไร
ใช้ก๊าซธรรมชาติ ใช้น้ำมัน ยังไม่นับเรื่องปัญหาขยะจากแบตเตอรี่อีก
ประเด็นของผมคือ บางครั้งมันทำให้ crazy เกินไป
แต่ต้องช่วยกันลด ละ เลิก แล้วก็เอากลับมาใช้ใหม่

แล้วในระดับรัฐล่ะ ควรมีวิธีรับมืออย่างไรได้บ้าง

ใช่ ระดับรัฐจะทำได้เยอะกว่า ซึ่งบางเรื่องเขาก็ทำแล้ว
เช่น คาร์บอนเครดิต ไทยเรายังมีคาร์บอนเครดิตที่เป็นบวกอยู่
คือประเทศที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มาก คาร์บอนเครดิตน้อย
เขาก็ให้โอกาสประเทศเหล่านั้นมาลงทุนในประเทศ
ที่ต้องการใช้พลังงานโดยที่มีคาร์บอนเครดิตเป็นบวก
เหมือนกับมาซื้อคาร์บอนเครดิตจากเรา

แต่มันคือดาบสองคม อย่างเราตอนนี้ยังผลิตคาร์บอนไดออกไซด์น้อย
บางประเทศเขาปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เยอะ
เขาก็มาลงทุนสร้างโรงงานในบ้านเรา ชดเชยโดยการเอาคาร์บอนเครดิตไปหักลบกับของเขา
เขาก็จะมีแต้มเสียน้อยลง ขณะที่เราได้การลงทุน แล้วเราก็ส่งเสริมการเป็นโรงงานสีเขียว
หมายถึงการให้โรงงานปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ขณะเดียวกันก็ทำกิจกรรมที่จะสร้างตัวดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น

บางคนก็บอกว่า WIN-WIN ทั้งสองฝ่าย แต่บางคนบอกว่า ถ้าเป็นแบบนี้
หากฉันเป็นประเทศใหญ่ๆ ฉันก็ใช้วิธีเอาเงินซื้อสิ เช่นว่า
บ้านคุณคาร์บอนเครดิตเป็นบวกอยู่ใช่ไหม อ่ะ
เอาเงินไปพันล้าน แล้วเอาคาร์บอนเครดิตมา

จริงๆ รัฐสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้จากการทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น
เปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานจากน้ำมันหรือถ่านหิน
ตอนนี้โลกมีเทคโนโลยีถ่านหินใหม่ๆ มีประเภทที่เอาถ่านหินกลับมาใช้ซ้ำ
มีโรงงานไฟฟ้าถ่านหินที่มลภาวะน้อย
หรืออีกวิธีคือใช้พลังงานนิวเคลียร์ ถ้าใช้นิวเคลียร์ได้
ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ของเราจะลดลงมหาศาล

นิวเคลียร์ เป็นการผลิตพลังงานไฟฟ้าชนิดเดียว
ที่ไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ข้อเสียของมันคือรังสี
คนเลยกลัวเหตุการณ์อย่างเช่นที่ฟุกุชิมะ หรือที่เชอร์โนบิล
คนกลัวอย่างนั้น รวมถึงคนไทยไม่ไว้ใจคนไทย
เรามีคำพูดว่า ถ้าฝรั่งทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เราเชื่อ
แต่ถ้าคนไทยทำ มันต้องระเบิดแน่เลย

ปัจจุบัน วิทยาการของเราในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์
อย่างฟุกุชิมะหรือเชอร์โนบิล มีครับ ต้องบอกว่าเหตุการณ์ที่ฟุกุชิมะ
คือความโชคร้าย เพราะโดนเแผ่นดินไหว
ส่วนเชอร์โนบิลคือความผิดพลาดของคน
หรืออุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่เกาะทรีไมล์ สหรัฐ
ก็เป็นความผิดพลาดที่คนไม่รู้ทันระบบ แต่ปัจจุบันเรารู้ทันแล้ว

ใน 30 ปีข้างหน้า คนที่คุมเทคโนโลยีนิวเคลียร์จะเป็นคนที่คุมโลก
เพราะปัจจุบัน แทบมองไม่เห็นทางเลือกอื่น
หลายคนบอกว่าทำไมไม่ดูพลังงานลม แสงแดด หรือพลังงานอื่นๆ
ที่มาทดแทน ใช่ครับ แต่มันไม่เยอะ
มันไม่สามารถสนองความต้องการของประชากรได้เร็ว
ถ้ามองประเทศที่มั่นคงทางด้านนี้อย่างอเมริกา
เขาใช้นิวเคลียร์ เยอรมนีก็ดูเหมือนว่ามีสมัยหนึ่งที่ยกเลิกการใช้นิวเคลียร์
แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะกลับมาใช้แล้ว
สุดท้ายแล้ว นอกจากฝนตก น้ำท่วม และพายุ
เราต้องเจอภัยพิบัติอะไรอีกบ้าง
ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

เอาแค่ใกล้ตัวก่อนนะ 3 เดือนหน้าข้างเลย
ตอนนี้เราอยู่ในช่วงปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña)
ซึ่งเป็นช่วงที่สภาพน้ำเย็นเข้ามาในมหาสมุทรแปซิฟิก
ผลกระทบต่อประเทศไทยคือ
ถ้ามันเกิดในหน้าแล้ง จะทำให้อากาศเย็นและชื้นกว่าปกติ

ลูกศิษย์ผมทำวิจัยไว้ พบว่า เอลนีโญ (El Niño) กับลานีญา (La Niña)
ไม่ส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยอย่างเด่นชัดนัก
ในช่วงฤดูฝน แต่มันส่งผลชัดเจนในช่วงฤดูแล้ง
ตั้งแต่เดือนตุลาคม-มีนาคม เราพบว่าปีนี้เป็นปีลานีญา อยู่ที่ -0.5 แปลว่า
ปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยจะสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย
เพราะฉะนั้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า จะมีฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์
แต่ถ้าลานีญาแรงกว่านี้ สัก -1.5
ภาคใต้ของเราจะฝนตกหนักเพิ่มเป็น 100 เปอร์เซ็นต์เลย

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยเจอปัญหาเรื่องความร้อน
เราเจอแต่ปัญหาด้านลานีญา ซึ่งถือว่าเป็นโชคดี
เพราะถ้าเป็นกรณีร้อน หรือเอลนีโญ หน้าแล้งจะมีน้ำน้อย
แล้วร้อนกว่าปกติ มันจะแห้ง สรุปคือเตือนง่ายๆ 3 เดือนข้างหน้า
ฝนตกมากขึ้น 10-15 เปอร์เซ็นต์ และเราอาจเจอหน้าหนาวที่ฝนตกด้วย
อันนี้ต้องเตรียมตัวไว้ โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออก
ที่อาจเกิดฝนหนักจนมีโคลนถล่มได้

โค๊ด:
Cr: https://waymagazine.org/sathon-vijarnwannaluk-extreme-weather/

 ping!


บันทึกการเข้า

ช่างเล็ก(LSV)
Administrator
member
*

คะแนน1346
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 18843


คิดดี ทำดี ชีวิตมีแต่สุข


อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2022, 08:47:19 am »

 Lips Sealed THANK!! wav!!
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!