อย่างที่รู้ๆ กันว่า รัฐบาลของประเทศส่วนใหญ่มักจะแก้ปัญหาความยากจน
ด้วยการแจกเงินให้กับคนจนเท่าๆ กัน แต่รัฐบาลจีนไม่เป็นเช่นนั้น
จากประชากร 1,400 ล้านคน รัฐบาลจีนจะวิเคราะห์เจาะลึกปัญหาเป็นรายครอบครัว
จากนั้นจะวางแผนช่วยเหลือให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
และจะส่งเจ้าหน้าที่ทีมีประสบการณ์ เข้าไปตรวจสอบและพูดคุยกันแบบตัวต่อตัว
และเก็บข้อมูลของสมาชิกในครอบครัว เกี่ยวกับสุขภาพ รายได้
รวมถึงปัญหาความลำบากที่คนเหล่านั้นประสบอยู่โดย
ในปี 2013-2015 เจ้าหน้าที่รัฐกว่า 2 ล้านคนเข้าโครงการนี้
พวกเขาเก็บข้อมูลเหล่าคนจนไว้กว่า 89 ล้านแฟ้มนี่เท่ากับว่าจะมีโครงการช่วยเหลือคนจนกว่า 89 ล้านโครงการ
ทำไมถึงต้องลงแรงมากขนาดนี้ เนื่องจากแต่ละบุคคลแต่ละครอบครัว
มีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป
บางคนมีทุนน้อย
บางคนขาดทักษะการทำงาน
บางคนต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่ชรา
เพราะแม้แต่การสัญจรในหมู่บ้านก็ไม่สะดวก
ดังนั้นการที่จะทำให้โครงการบรรลุผลสูงสุด
รัฐบาลจึงได้จัดสรรกองทุนออกเป็นหลายๆประเภท
เพื่อแก้ปัญหาที่แตกต่างของแต่ละหมู่บ้าน
สี จิ้น ผิงประธานาธิบดีของจีนกล่าวว่า
ต้องดำเนินการจากความเป็นจริงปรับให้เข้ากับสภาพในพื้นที่นั้นๆ
จะปลูกอะไรจะเลี้ยงอะไรต้องเช้าใจให้ถ่องแท้
จะเพิ่มรายได้ทางไหนต้องหาทางที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้ประชาชนร่ำรวยให้ได้
บางหมู่บ้านสนับสนุนด้านการท่องเที่ยว
บางหมู่บ้านต้องสร้างถนนและสะพานเพื่อเพิ่มยอดขายให้ผลผลิต
ผู้ส่งอายุที่ไม่สามารถทำงานได้ก็รับเบี้ยยังชีพจากรัฐบาล
ผู้ที่ขาดทักษะทางวิชาชีพก็จะได้รับการอบรมเสริมสร้างวิชาชีพนี่คือวิธีการที่จีนช่วยบรรเทาความยากจนด้วยการสร้างแผนปฏิบัติการ
ตามสถานการณ์ของและหมู่บ้านที่แตกต่างกัน
นี่คือความแม่นยำของนโยบายนี้ ภายใต้ความช่วยเหลือของนโยบายรัฐบาลนี้
รัฐบาลจีนช่วยเหลือให้ประชาชนพ้นความยากจน 10 ล้านคนต่อปี
และตั้งเป้าหมายว่าจะขจัดความยากจนให้หมดในปี 2020
ขณะที่บังคลาเทศที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็น ตะกร้ารับบริจาคนานาชาติ มานาน
แต่วันนี้กำลังถูกจับตามองว่าเป็นเสือเศรษฐกิจแห่งเบงกอล
ฉะนั้นจะไม่พูดถึง มูฮัมหมัด ยูนูส
ผู้ก่อตั้ง ธนาคารคนจน หรือ กามีนแบงก์ ก็ไม่ได้
เนื่องจากโครงการสินเชื่อรายย่อยหรือไมโครเครดิต
ของกามีนแบงก์เป็นการให้เครื่องมือแก่สตรีในชนบทจำนวนมาก
ในการทำธุรกรรมย่อยทางเศรษฐกิจซึ่งให้กู้วงเงินน้อย
โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
วิธีการก็ง่าย โดยให้ความสำคัญกับครัวเรือนที่ยากจนที่สุด
คือครอบครัวที่มีที่ดินทำกินน้อยกว่า 1 ไร่
สมาชิกครอบครัวที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะถูกชักชวนให้มารวมกันเป็นกลุ่ม
จะมีการประชุมสัปดาห์ละครั้งในหมู่บ้าน
กับพนักงานของกามีนแบงก์เพื่อจ่ายคืนเงินกู้
สมาชิกต้องตรวจสอบการใช้เงินกันเองให้มั่นใจว่า
แต่ละคนสามารถชำระเงินกู้ได้ ซึ่งถูกกำหนดให้คืนใน 1 ปี
โดยชำระเป็นตัวเงินตายตัวในแต่ละสัปดาห์
สมาชิกที่ชำระเงินกู้ตรงเวลามีสิทธิ์ได้รับเงินกู้ก้อนใหญ่ขึ้น
การปล่อยกู้ของ กามีนใช้หลักทรัพย์ทางสังคมค้ำประกัน
ถือกันว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิผลมากในการปลดปล่อยพลังความสามารถ
ในการผลิตของคนในชนบทที่ติด กับดักรายได้ต่ำและทักษะต่ำ
ยูนุสมุ่งเน้นส่งเสริมการทำวิสาหกิจ เช่น ลูกค้า นำเงินไปลงทุนเลี้ยงไก่
หรือเปิดร้านกาแฟ ร้านขายของชำ ในหมู่บ้าน เป็นต้น
ต่อมาเริ่มปล่อยกู้เป็นรายบุคคล เพราะเห็นว่า
ครัวเรือนที่ยากจนมีความต้องการเงินกู้ ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
ซื้อของใช้ในครัวเรือน ค่าเล่าเรียนลูก ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
การกู้เงินของคนยากจนก็เพื่อเอาไปใช้จัดการปัญหาชีวิตให้ดีขึ้น นั่นเอง
จะเห็นว่าทั้งสองท่าน แก้ความยากจนโดยการเจาะลึกปัญหา
เป็นรายบุคคลเป็นกลุ่มย่อยแล้วเข้าชาร์จให้ตรงจุด
ไม่ใช่แก้ด้วยประชานิยมแบบเหวี่ยงแหเหมือนบางประเทศความสำเร็จทั้งในแบบของ
สีจิ้นผิงหรือของ ยูนูส ถือว่าเป็นโมเดล
ในการแก้ปัญหาความยากจนที่ได้ผลอย่างแท้จริง
Cr:
https://businesstoday.co/columnist/27/10/2019/%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%89%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%88%e0%b8%99/