พิสิษฐ์ ฮามไสย์ กับเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มชุมชน
LSVคลังสมองออนไลน์ "ปีที่14"
พฤศจิกายน 24, 2024, 08:48:35 am *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พิสิษฐ์ ฮามไสย์ กับเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มชุมชน  (อ่าน 3992 ครั้ง)
ปื้น ปากพนัง
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน173
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 531


« เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2014, 10:21:11 am »

จาก http://www.108kaset.com/index.php/topic,27



เกษตรกรชาวอีสานตอบรับการจัดตั้งเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มชุมชนในพื้นที่ปลูกใหม่ ช่วยตัดปัญหาพ่อค้าคนกลางกดราคา ปฏิวัติสร้างรูปแบบการรับซื้อ-ขายปาล์มอย่างมีระบบรูปแบบใหม่ในพื้นที่อีสาน สู่การสร้างมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มคุณภาพดีของไทยในอนาคต

โรงสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไปน้ำชุมชน  CP-P  1,000    กำลังการผลิตที่ 4.5 ตันทลาย   ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ อ.รัตนวาปี  จ.หนองคาย สามารถรองรับการผลิตปาล์มในพื้นที่ 1,500 -3,000  ไร่    ปัจจุบันเริ่มทำการรับซื้อปาล์มในพื้นที่และเป็นที่ตอบรับของเกษตรกรชาวสวนปาล์มชุมชนในพื้นที่  จ.หนองคายและ จังหวัดใกล้เคียง

สืบเนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง    เป็นเหตุประเทศต่างๆหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานทางเลือกอย่างจริงจัง   เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง  และพลังงานจากถ่านหินที่นับวันจะหมดไป


บันทึกการเข้า

ปื้น ปากพนัง
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน173
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 531


« ตอบ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2014, 10:22:48 am »



ประเทศไทย  ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรอันดับต้นๆของโลก  ในแต่ละปีมีวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้โดยเปล่าประโยชน์    รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่พัฒนาพลังงานทดแทนจากพืช และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเหล่านั้น   เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างทางเลือกด้านพลังงานให้กับประเทศแล้ว   การพัฒนาพืชพลังงานยังช่วยเพิ่มมูลค่าและลดปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำอย่างยั่งยืนด้วย
ทั้งนี้ ปาล์มน้ำมันถือเป็นพืชพลังงานที่มีศักยภาพชนิดหนึ่งของประเทศไทย   ทั้งในด้านของผลตอบแทนต่อพื้นที่การผลิตและโอกาสในการพัฒนาต่อยอดสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ    ดังนั้นเมื่อปี 2547 รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะส่งเสริมการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มใหม่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน  60,000  ไร่  เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการปลูกปาล์มน้ำมันทดแทนพืชเดิมที่ให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าการลงทุน  รวมทั้งรองรับการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและความต้องการใช้พลังงานในประเทศที่สูงขึ้นด้วย    โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ส่งเสริมจะอยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มติดแม่โขงในเขตจังหวัดหนองคายประมาณ  40,000  ไร่    ซึ่งผลการดำเนินงานพบว่า   สวนปาล์มในหลายพื้นที่ของจังหวัดหนองคายที่อยู่ติดแม่น้ำโขงและมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยกับภาคใต้มีอัตราการเจริญเติบโต  และให้ผลผลิตใกล้เคียงกับสวนปาล์มในภาคใต้

     อย่างไรก็ตาม   ถึงแม้สวนปาล์มในจังหวัดหนองคายและหลายพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเริ่มทยอยให้ผลผลิต   อีกทั้งมีความเป็นไปได้ในการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มในหลายจังหวัดที่มีสภาพอากาศและปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสม   แต่เนื่องจากสวนปาล์มส่วนใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีขนาดเล็กและอยู่กระจาย   ทำให้ผู้ประกอบการไม่สนใจเข้ามาตั้งโรงสกัดน้ำมันปาล์มในพื้นที่    ที่ผ่านมาชาวสวนปาล์มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงต้องเสียค่าขนส่งทลายปาล์มไปจำหน่ายไกลถึงภาคตะวันออกและภาคใต้   อีกทั้งการขนส่งในระยะทางไกลทำให้เปอร์เซ็นต์ของกรด FFA สูงขึ้น   เป็นเหตุให้ถูกกดราคารับซื้อจากพ่อค้าคนกลางอีกด้วย
บันทึกการเข้า
ปื้น ปากพนัง
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน173
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 531


« ตอบ #2 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2014, 10:24:32 am »



ดังนั้นเมื่อนายพิสิษฐ์  ฮามไสย์  หุ้นส่วนบริษัทรัตนอุตสาหกรรมปาล์ม  จำกัด  ได้ไปดูต้นแบบโรงสกัดน้ำมันปาล์มแบบไม่ใช้ไอน้ำ  CP-P 1500 ที่ อำเภอวิหารแดง  จังหวัดสระบุรี   ซึ่งเป็นงานวิจัยร่วมระหว่าง MTEC  และบริษัทเกรท  อะโกร จำกัด   กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร  เครือเจริญโภคภัณฑ์  จึงสนใจที่จะซื้อเครื่องสกัดน้ำมันปาล์มดังกล่าวมาดำเนินการติดตั้งในโรงงานที่อำเภอรัตนวาปี  จังหวัดหนองคาย    ด้วยเชื่อว่านวัตกรรมดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ของผู้ประกอบในพื้นที่ปลูกปาล์มใหม่ซึ่งมีพื้นที่ปลูกปาล์มรอบโรงงานเฉลี่ย  1,500-3,000  ไร่ได้   อีกทั้งยังช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่มีรายได้จากการขายปาล์มที่สูงขึ้นนอกจากนี้เกษตรกรยังสามารถคัดเลือกปาล์มที่สุกแก่เต็มที่มาขายที่โรงงานสกัดปาล์มได้ทุกวันด้วยระยะทางการขนส่งที่ไม่ไกลจากแหล่งปลูกปาล์มมากนัก  นับเป็นการปฏิรูปในการสร้างรูปแบบใหม่ของการซื้อ-ขายปาล์มในพื้นที่ปลูกใหม่สร้างความมั่นใจและพึงพอใจแก่เกษตรกรในพื้นที่เป็นอย่างมาก
 
 
    “ที่ผ่านมาชาวสวนปาล์มในภาคอีสานต้องเผชิญกับการกดราคารับซื้อจากพ่อค้าคนกลางที่เข้ามารับซื้อผลผลิตทุก 15 วัน   โดยบางช่วงราคารับซื้อต่ำกว่าราคากลางถึง กก.ละ 1-2  บาท   แต่เกษตรกรก็จำเป็นต้องขายโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล   เพราะไม่มีทางเลือก    อีกทั้งยังการกำหนดรอบรับซื้อผลผลิตทุก  15  วันยังเป็นที่มาของปัญหาการตัดผลปาล์มดิบ  หรือผลปาล์มไม่ได้คุณภาพที่เกิดขึ้น    เพราะเกษตรกรไม่อยากเสียโอกาสจึงเลือกที่จะตัดผลปาล์มทันทีเมื่อถึงรอบการรับซื้อแม้ปาล์มจะยังดิบก็ตาม    ในส่วนตัวคิดว่าการตั้งโรงสกัดน้ำมันปาล์มในพื้นที่จะช่วยลดปัญหาการตัดผลปาล์มดิบได้   เนื่องจากเกษตรกรสามารถเก็บผลผลิตมาส่งขายโรงงานได้ทุกวัน   โดยบริษัทฯยังเพิ่มเกณฑ์การให้ราคารับซื้อตามคุณภาพของผลิตแทนการรับซื้อจากน้ำหนักรวมเหมือนที่ผ่านมาด้วย   ซึ่งจากผลการดำเนินการที่ผ่านมา  พบว่าได้รับความร่วมมือและพอใจจากเกษตรกร” นางพะยอมกล่าว
 
    นายสมพงษ์   บังทอง  ชาวสวนปาล์มตำบลนาดง  อำเภอปากคาด  จังหวัดหนองคาย   ซึ่งเป็นเกษตรกรกลุ่มแรกๆของจังหวัดที่สนใจปลูกปาล์มน้ำมัน   กล่าวว่า   เริ่มทำการปลูกปาล์มน้ำมันปี  2548    และค่อยๆขยายพื้นที่ปลูกจนกระทั่งปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกปาล์มทั้งหมด   80  ไร่

   
      “สนใจที่จะปลูกปาล์มน้ำมันเพราะได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยฯหนองคาย  ซึ่งจากการศึกษาเพิ่มเติมเห็นว่า   ปาล์มน้ำมันน่าจะเป็นพืชที่มีอนาคตอีกทั้งยังเป็นพืชที่ดูแลรักษาไม่ยาก   ปลูกเพียง  3 ปีก็สามารถให้ผลตอบแทนได้แล้วจึงได้ตัดสินใจปลูก   ปัจจุบันต้นปาล์มที่ปลูกไว้เริ่มทยอยให้ผลผลิตแล้ว  โดยเมื่อปี  2553  ที่ผ่านมาให้ผลผลิตเฉลี่ย  3-4  ตันต่อสัปดาห์   ส่วนหน้าฝนปีนี้คาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ละ 7-8  ตันต่อสัปดาห์” 

      สำหรับช่องทางการขายนั้น   นายสมพงษ์กล่าวว่า   เดิมทีจะมีพ่อค้าคนกลางจากภาคตะวันออก  หรือภาคใต้ขึ้นมารับซื้อทุก  15  วัน   ซึ่งราคาเฉลี่ยประมาณ  กก.  3-3.50  บาท   แต่กรณีของเกษตรกรที่อยู่ไกลอาจจะราคาเพียง กก.ละ  1.50-2.00  บาทเท่านั้น    จนกระทั่งบริษัทรัตนอุตสาหกรรมปาล์ม  จำกัด  ได้ตั้งโรงสกัดน้ำมันปาล์มขึ้นที่อำเภอรัตนวาปี   นอกจากจะทำให้เกษตรกรในพื้นที่ขายผลปาล์มได้ราคาสูงถึง กก.ละ  6-6.80  บาทแล้ว   การมีโรงงานในพื้นที่ทำให้เกษตรกรสามารถเก็บผลปาล์มสุกขายได้ทุกวันโดยไม่ต้องเร่งตัดผลปาล์มดิบให้ทันรอบการรับซื้อเหมือนที่ผ่านมาด้วย
   
      “ตอนที่ยังไม่โรงสกัดน้ำมันปาล์มในพื้นที่   เกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ  3,500-3,700 บาท  แต่หลังจากมีโรงงานในพื้นที่แล้วเกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ยจากการเก็บผลปาล์มสูงถึงประมาณไร่ละ  6,800  บาท   ในส่วนตัวเชื่อว่า  ปาล์มน้ำมันเป็นน้ำมันบนดินที่ยังมีโอกาสและเป็นที่ต้องการของตลาด    ซึ่งเขตที่ลุ่มในหลายพื้นที่ของภาคอีสานยังสามารถที่จะขยายพื้นที่ปลูกได้” นายสมพงษ์กล่าว
บันทึกการเข้า
ปื้น ปากพนัง
.กลุ่มผู้มีน้ำใจงาม.
member
*

คะแนน173
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 531


« ตอบ #3 เมื่อ: กรกฎาคม 30, 2014, 10:26:16 am »








ด้านนายสมพงษ์  เพ็งไธสง   เจ้าของสวนปาล์มขนาด  300 ไร่ในเขต  ตำบลถ้ำเจริญ  อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดหนองคาย   กล่าวว่า  สาเหตุที่ปลูกปาล์มน้ำมันเพราะเชื่อมั่นว่า  ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีโอกาสทั้งในด้านของการผลิตเป็นพืชพลังงานและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง    จึงได้ซื้อพันธุ์ปาล์มจากศูนย์วิจัยฯหนองคายมาปลูกพร้อมทั้งจัดทำระบบสปริงเกอร์ตลอดทั้งสวนตั้งแต่ปี  2549   ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องการให้น้ำทำให้ต้นปาล์มมีการเจริญเติบโตดี   โดยสามารถเก็บผลผลิตได้ตั้งแต่ปลายปี  2552
 

 
    “เดิมทีพ่อค้าคนกลางจะเข้ามารับซื้อผลผลิตที่อำเภอโซ่พิสัยทุก  15  วัน   ราคาประมาณ  3-3.50  บาท   หรือในบางช่วงราคาก็อาจจะต่ำลงไปอีก   แต่เนื่องจากเป็นช่วงแรกที่ปาล์มของที่สวนให้ผลผลิต  ทำให้ผลผลิตยังไม่มากพอจะขนไปจำหน่ายเอง   จึงตัดสินใจขายกับพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อ   แต่ปัจจุบันเมื่อมีโรงสกัดน้ำมันปาล์มที่อำเภอรัตนวาปี   ทำให้ขายผลปาล์มสุกได้ราคาที่สูงขึ้น   และยังสามารถขายได้ทุกวันอีกด้วย    ขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจที่จะขยายพื้นที่ปลูกปาล์มเพิ่ม    เพราะเชื่อว่าผลผลิตปาล์มจะเป็นที่ต้องการและมีราคาที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน”   นายสมพงษ์กล่าว

จาก http://www.108kaset.com/index.php/topic,27
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1 RC2 | SMF © 2001-2006, Lewis Media

lsv2555Please follow the new website at https://www.pohchae.com

Valid CSS!